ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 42 ลงโทษเป็นเยี่ยงอย่าง
“ข้าจะรู้จักได้อย่างไรเล่า!” เมื่อหลินเหวินเสี่ยวได้ยินน้ำเสียงเคลือบแคลงเช่นนี้ก็กระทืบเท้า “เขาเองก็ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อะไร ข้าจะไปรู้จักแน่ชัดได้อย่างไร” หลินเหวินเสี่ยวพูดเสียงดัง ทำให้คนรอบตัวล้วนหันมามอง
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังจะเอ่ยบางอย่าง เสียงอันระคายหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น นางจึงหันไปมอง “เอ๊ะ คุยอะไรกันอยู่ ดูคึกคักเชียว” ซูเหลียนอวิ้นหันไปมองต้นเสียง คนผู้นี้คือ…ช่วงเวลานั้นเองในหัวของนางกลับคิดไม่ออกว่าคนผู้นี้คือใคร
คนผู้นั้นกลับไม่ได้สนใจอะไร จากนั้นจึงเดินตรงเข้ามาหาซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคือคุณหนูตระกูลซูเองหรือ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ” ท่าทางการเดินบิดซ้ายบิดขวาของคนผู้นี้ ทำเอาซูเหลียนอวิ้นตกใจจนรีบหลีกทางให้ เพราะนางกลัวว่าอีกประเดี๋ยวหากเอวนี้หักขึ้นมาจะกลายเป็นความผิดของนางไปอีก อีกอย่างท่าทางเช่นนี้ดูอย่างไรแล้วก็เป็นการหาเรื่อง จะไม่หลบให้ไกลสักหน่อยได้อย่างไร
“ทำไมกัน ข้าทำเจ้าตกใจงั้นหรือ” เสียงของสตรีผู้นี้ค่อนข้างแหลม “อีกอย่าง เจ้าพบหน้าข้า เหตุใดจึงไม่ทำความเคารพ”
ซูเหลียนอวิ้น “…?”
ให้อภัยนางด้วยที่นางความรู้คับแคบ แต่พี่สาวคนนี้คือใครกัน ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ยอมบอกว่าตนคือใคร หากจะให้นางทำความเคารพ นางก็ไม่รู้ว่าควรยึดชั้นยศใดในการทำความเคารพ
หลินเหวินเสี่ยวที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นรูปการณ์เช่นนี้จึงกระตุกแขนเสื้อของนางแล้วกระซิบว่า “คนผู้นี้คือพระสนมหยาง สนมรักคนใหม่ของฮ่องเต้ ว่ากันว่านางเกลียดสตรีที่งามกว่านางเป็นที่สุด ดูท่าแล้วตอนนี้คงจะมาหาเรื่องเจ้าแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง มิน่าเล่าเมื่อดูๆ ไปแล้วจึงรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง คนผู้นี้คือ หยางอวี้หลิง พี่ใหญ่ของสองพี่น้องตระกูลหยางนั่นเอง
ดูแล้วครั้งนี้คงมิได้เข้ามาเพราะการแต่งตัวของนางเพียงอย่างเดียวกระมัง แต่ต้องมาเพราะความแค้นของสองพี่น้องคู่นั้นด้วย เมื่อครู่ตอนที่ตนมาถึงไม่เห็นคนผู้นี้เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับเข้ามาหาตนด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน ดูจากรูปการณ์แล้ว พอนางทราบข่าวก็คงรีบตามมาทันที
ทว่าเมื่อเงยหน้าเห็นสายตาคู่นั้นแล้ว ตนจึงคิดว่าคงเป็นความแค้นใหม่และเก่าผสมเข้าด้วยกัน วันนี้ตนคงโดนนางแผลงฤทธิ์ใส่อย่างแน่นอน
ซูเหลียนอวิ้นดูรูปการณ์แล้วก็เกิดลางไม่ดีขึ้น จากนั้นจึงทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “คารวะหยางกุ้ยเหริน” ในใจของนางก็แอบก่นด่าว่าแค่ตำแหน่งกุ้ยเหรินเท่านั้น ทำท่าวางโตกว่าฮองเฮาเสียอีก
จากนั้นซูเหลียนอวิ้นก็แอบกำมือขวาไว้แน่นแล้วถอนใจ
เฮ้อ น่าเสียดายยิ่ง สนมองค์เล็กๆ ของฮ่องเต้ตนยังมิอาจลงมือได้ หากทำร้ายนางเข้า ตนก็คงจะเข้าหน้าฮ่องเต้ไม่ติดอีก แม้ว่าตนจะหุนหันพลันแล่น แต่นางก็เข้าใจเรื่องเช่นนี้ดี จึงแอบสิ้นหวังกับมือขวาของตนเอง เพราะครั้งนี้เจ้าคงไม่มีโอกาสได้ออกโรงแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นเห็นว่านางอ้อยอิ่งไม่ยอมให้ตนยืนขึ้น หัวเข่าของนางก็เริ่มแข็งเกร็ง คนผู้นี้ไม่ยอมจบหรือ ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ขาของตนก็ลุกขึ้นยืนเองโดยอัตโนมัติ
เมื่อจังหวะที่หยางอวี้หลิงรอคอยมาถึง นางจึงรีบพูดขึ้นว่า
“เฮ้อ ข้านึกว่าเจ้าเป็นเด็กที่รู้จักมารยาทเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ได้! ข้าให้เจ้าลุกขึ้นมาแล้วหรือ เจ้าลุกขึ้นมาเองเช่นนี้ เจ้าคงมิเห็นข้าอยู่ในสายตาแล้ว การที่เจ้ามิเห็นข้าอยู่ในสายตาก็เหมือนเจ้ามิเห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาเช่นกัน! เฟิ่นจู ไปเอาตัวนางมา คุณหนูซูจะได้รู้จักกฎระเบียบในวังเสียบ้าง อีกประเดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้ว หากให้คนในงานหัวเราะเยาะได้ นั่นคงจะไม่ดีแน่”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนี้ จึงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว จะยังแสร้งทำสุภาพอ่อนโยนไปทำไมกัน ผู้อื่นเล่นหัวตนเช่นนี้ อย่างไรก็มีโทษอยู่แล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นนางก็ไม่หวั่นหากความผิดนี้จะร้ายแรงมากขึ้นอีกหน่อย
“น้องหยางคุยกับผู้ใดอยู่หรือ ถึงโมโหขนาดนี้ ทำเอาผู้อื่นตกอกตกใจกันหมด”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินน้ำเสียงนี้ ร่างกายพลันผ่อนคลายลง ยังดีที่ทหารกองหนุนมาช่วยได้ทันเวลา
หยางอวี้หลิงเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าฮองเฮาจะมาปรากฏตัวในช่วงเวลานี้ ใบหน้าชะงักค้างคราหนึ่ง แล้วหันไปพูดว่า “ฮองเฮาคิดมากเกินไปแล้ว น้องจะกล้าไปสั่งสอนผู้อื่นได้อย่างไร เพียงแค่บอกเล่าถึงกฎระเบียบภายในวังให้คุณหนูซูทราบก็เท่านั้น เพื่อไม่ให้ทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าฝ่าบาท หากเป็นเช่นนั้นจะมิกลายเป็นความผิดใหญ่โตกว่านี้หรือเพคะ”
เกาอู่เตี๋ยอดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเองก็เพิ่งจะมาถึง มิทราบว่าคุณหนูซูกระทำสิ่งใดผิด แล้วควรลงโทษอย่างไร มิสู้น้องหยางลองบอกให้ข้าทราบก่อนดีหรือไม่ หากมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ข้าจะได้ช่วยชี้แนะได้”
หยางอวี้หลิงคิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เกาอู่เตี๋ยจะพูดง่ายเช่นนี้ คำพูดที่เตรียมเอาไว้แล้วจึงยังไม่ทันได้พูดออกไป จากนั้นจึงหันหน้ากลับไปมองซูเหลียนอวิ้นที่ยืนก้มหน้าอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าอยู่ ลำคอของนางจึงบังเอิญปรากฏออกมาให้เห็น ผิวของนางขาวละเอียด เนียนนุ่มราวเส้นไหม
ตอนนั้นเองหยางอวี้หลินคิดว่าตนตระหนักบางสิ่งขึ้นมาได้ นางคิดว่าต้องเป็นเพราะนังป่าเถื่อนผู้นี้ที่ทำให้เกาอู่เตี๋ยทนดูต่อไปไม่ได้ ทำมารยาสาไถยดีนัก ทันใดนั้นราวกับว่านางได้กินยาสงบใจลงไป นางจึงไม่คิดมากอีกและพูดออกมาว่า “คุณหนูซูผู้นี้พบหน้าน้องแล้วไม่ยอมทำความเคารพ ช่างโอหังยิ่งนัก! ตามความเห็นของน้องแล้ว ควรถูกโบยสามสิบทีเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่างเพคะ“ พูดจบก็วางท่าเชิดหน้าชูคอ ส่งสายตาให้ซูเหลียนอวิ้นราวกับนางเป็นสิ่งต่ำต้อย
เกาอู่เตี๋ยแย้มยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงเดินเข้ามาแล้วยื่นมือมาดึงตัวซูเหลียนอวิ้น แล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าเองก็คิดว่าความคิดของน้องหยางดีทีเดียว แต่ที่น้องหยางพูดเมื่อครู่ว่าเป็นเพราะคุณหนูซูไม่ทันได้ทำความเคารพเจ้า เจ้าจึงจัดการเช่นนี้ใช่หรือไม่”
หยางอวี้หลิงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มิผิดเพคะ เสด็จพี่ คนผู้นี้ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลยสักนิด! ควรจะลงโทษให้หนักหน่อยจึงจะสาสม”
“มีเหตุผล จะต้องลงโทษให้หนัก แต่…” ตอนนั้นเองที่น้ำเสียงของเกาอู่เตี๋ยพลันแปรเปลี่ยน “แต่ข้าคิดว่า วิธีการจัดการเช่นนี้มิถูกต้อง ทั้งหมดนี่เป็นเพราะผู้ใหญ่มีพฤติกรรมไม่สมควร เด็กจึงเลียนแบบ น้องหญิงคิดว่าอย่างไร”
“ถูกต้องเพคะ!” คงไม่ได้จะลงโทษคนในตระกูลของซูเหลียนอวิ้นด้วยกระมัง? เช่นนั้นก็ดียิ่ง
หยางอวี้หลิงพยักหน้าถี่ “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะมารดาของซูเหลียนอวิ้นสั่งสอนไม่ดี พวกเจ้า ไปนำตัวซูฮูหยินมา!”
“มิจำเป็น!” น้ำเสียงของเกาอู่เตี๋ยพลันแข็งกระด้างขึ้น “ดูแล้วข้าคงพูดไม่ชัดเอง น้องหยาง เมื่อครู่ตอนเจ้าพบหน้าข้า ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ได้ทำความเคารพข้ากระมัง ตามคำพูดของน้องหยางแล้ว เจ้าเองก็ควรถูกโบยสามสิบทีจึงจะถูกใช่หรือไม่”
หยางอวี้หลินเมื่อได้ยินเกาอู่เตี๋ยเอ่ยเช่นนี้ แววตาพลันเบิกกว้างถลึงมอง “ฮองเฮาหมายความว่าอย่างไรเพคะ ให้ข้าถูกโบยสามสิบทีหมายความว่าอย่างไร!”
“ความหมายนั้นตรงตามตัวอักษร!” แววตาคู่งามของเกาอู่เตี๋ยหันมาพร้อมเอ่ยเสียงแข็งขึ้น “ผู้ใหญ่มีพฤติกรรมมิสมควร เด็กจึงเลียนแบบ คงเป็นเพราะน้องหญิงเห็นข้าแล้วไม่ยอมทำความเคารพ จึงทำให้คนเหล่านี้เลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดีมา หากต้องการลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง เช่นนั้นมิสู้ให้น้องหยางมาเป็นแบบอย่างจะดีกว่าหรือไม่ ข้าพูดตรงไหนผิดหรือ อีกอย่างเมื่อครู่น้องหยางเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้แล้วมิใช่หรือ”