ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 47 ลงคะแนน
“ข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน” เมื่อหนานกงเช่อโดนสายตาของคนรอบด้านเพ่งเล็งเช่นนี้ก็รู้สึกอึดอัด จึงรีบดึงมือของตนออกแล้วเอ่ยขึ้น
“เพคะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า เพราะถึงอย่างไรการวางตัวของราชวงศ์กับพวกเขาที่เป็นลูกขุนนางย่อมแตกต่างกัน “พระองค์แอบหนีมาคนเดียว แม้แต่คนรับใช้ส่วนพระองค์สักคนก็ยังไม่มี คาดว่าตอนนี้พวกเขาคงร้อนใจแย่แล้ว รีบกลับไปเถิดเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นลดเสียงลงแล้วเอ่ยเบาๆ ทว่าด้วยความสูงของหนานกงเช่อแล้ว นางจำต้องก้มตัวลงไปพูดกับเขา มิเช่นนั้นเสียงเบาเช่นนี้ นางเองก็ไม่แน่ใจว่าหนานกงเช่อจะได้ยินหรือไม่
แต่หากมองจากอีกมุมหนึ่ง ในสายตาของผู้คนที่อยู่รอบๆ แล้ว ทำให้เห็นชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนี้ไม่ธรรมดา
“ข้ารู้อยู่แล้ว! เจ้าไม่ต้องยุ่ง” หนานกงเช่อมีท่าทีหงุดหงิดเมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาไม่รอให้ซูเหลียนอวิ้นกล่าวอะไรต่อ จากนั้นจึงกระแทกเท้าวิ่งจากไป โดยไม่เปิดโอกาสให้ใครเอ่ยสิ่งใดอีก
ซูเหลียนอวิ้นมองตามเงาด้านหลังของเด็กร่างน้อยผู้นั้นอย่างจนปัญญา
“เหลียนอวิ้น!” หลินเหวินเสี่ยวเดินวนไปมาอยู่รอบหนึ่งกว่าจะเห็นนาง จากนั้นจึงลากนางไปอีกด้านหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “เจ้าไม่เป็นไรแน่หรือ ตอนนั้นเห็นชัดๆ ว่าองค์ชายเก้า…” หลินเหวินเสี่ยวพูดไปได้ครึ่งประโยคก็คล้ายคิดสิ่งใดขึ้นมาได้จึงหยุดพูดแล้วปิดปากไม่ยอมพูดต่ออีก
เพราะในวังหลวงแห่งนี้ หากวิพากษ์วิจารณ์องค์ชายส่งเดชแล้วมีผู้ไม่หวังดีจับผูกเป็นเรื่องเป็นราว จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
“ตกลงเจ้าไม่เป็นไรนะ เมื่อครู่ข้าเกือบไปขอร้องให้ฮองเฮามาช่วยเสียแล้ว น่ากลัวจะแย่” หลินเหวินเสี่ยวทุบอกตัวเอง “คำพูดที่คนเขาพูดกันนั้นเป็นจริง ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือวังหลวง แต่ละฝีก้าวล้วนต้องระวังเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นการแสดงออกที่มากเกินไปของนางก็ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดดี แต่ในใจลึกๆ ของนางกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น เพราะหากจะว่ากันตามตรงแล้ว นางกับหลินเหวินเสี่ยวมิได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันมากนัก แต่นางกลับทำเพื่อตนถึงขั้นนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ ก็แค่เด็กคนหนึ่ง ให้ขนมชิ้นเดียวก็ปลอบได้แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยด้วยท่าทางผ่อนคลายราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เพราะอย่างไรตอนนี้คนมาถึงงานเลี้ยงกันมากแล้ว พวกเรารีบหาที่นั่งดีๆ สักที่หนึ่งกันก่อน ไปเถอะ” นางพูดพลางจูงมือซูเหลียนอวิ้นไปยังที่นั่งที่ห่างไกลผู้คน เพราะสถานที่แบบนี้ คนอย่างพวกนางก็เป็นคนประเภทที่จับปลาได้ในน้ำขุ่น[1] เฝ้ามองดูผู้คนแสดงความสามารถ เพราะพวกนางคง…
“ตรงนี้ก็แล้วกัน เจ้าว่าอย่างไร” หลินเหวินเสี่ยวหันหน้าไปถามซูเหลียนอวิ้น เนื่องด้วยที่นั่งตรงนี้ค่อนข้างสงบ ทั้งยังห่างจากที่นั่งของบุรุษ เพราะยิ่งไกลเท่าไหร่ บรรดาสตรีน้อยใหญ่ยิ่งไม่อยากเลือกมากเท่านั้น
“ตรงนี้ก็ดี” ซูเหลียนอวิ้นตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตำแหน่งตรงนี้ดียิ่ง คนยิ่งน้อยเท่าไหร่ นั่นยิ่งรับประกันได้ว่าหูของพวกเราจะโล่งไปครู่หนึ่ง ถือว่าไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้า” หลินเหวินเสี่ยวพยักหน้า
ซูเหลียนอวิ้นนั่งลงบนเก้าอี้แล้วพิงพนักเบาๆ พลางรับรู้ถึงกำลังที่หลีมู่พัดให้อย่างไม่เบาไม่แรงจนเกินไปจากทางด้านหลัง หูของนางยังคงได้ยินเสียงต่างๆ รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเสียงสรรพสัตว์และเสียงผู้คนรอบกาย พอรวมๆ กันแล้วกลับทำให้คนฟังรู้สึกอื้ออึงและรู้สึกง่วงนอนเป็นอย่างยิ่ง
“ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จ!”
ในตอนที่ตาคู่นี้ของซูเหลียนอวิ้นหนักอึ้งและใกล้จะปิดลงเต็มที เสียงร้องเล็กแหลมของขันทีได้ดังขึ้นขับไล่เอาความง่วงทั้งปวงของนางออกไป
สุดท้ายก็ได้เวลา เริ่มกันเลย…
“แม้ว่าจะเป็นการสอบ จะว่าไปก็ไม่ต่างจากงานฉลองงานหนึ่ง หวังว่าทุกคนจะตั้งใจ แต่มิต้องเคร่งเครียดจนเกินไปนัก” บนพระที่นั่ง ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า “บัดนี้ เริ่มลงมือสอบได้”
เช่นเดียวกับเมื่อชาติก่อน ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่ามีความมั่นใจมากขึ้น การเตรียมตัวอย่างเร่งด่วนบวกกับความทรงจำที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อชาติก่อน ทำให้นางรู้สึกเบาใจขึ้นมาก
“บทกวีหัวข้อ วสันตฤดู” เสียงเล็กแหลมของขันทีดังขึ้นอีกครั้ง ป่าวประกาศหัวข้อของสนามแรก
หัวข้อคือวสันตฤดู? พอได้อยู่ ไม่ถือว่ายากจนเกินไปนัก ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า นางคิดว่าตนทำได้ เพราะตำราเล่มนั้นที่อาจารย์ถงมอบให้นางมีบทกวีที่เกี่ยวข้องกับวสันตฤดูอยู่ไม่น้อย เมื่อรวมกับส่วนที่นางแต่งเองแล้ว หัวข้อนี้ถือว่าง่ายยิ่งนัก
ซูเหลียนอวิ้นยกพู่กัน เพียงช่วงเวลาสั้นๆ นางก็สามารถเขียนเสร็จได้อย่างราบรื่นและส่งข้อสอบไป
หลินเหวินเสี่ยวที่อยู่ด้านข้างเมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นส่งข้อสอบเร็วปานนั้นจึงรู้สึกประหลาดใจยิ่ง “เหลียนอวิ้น เจ้ามิได้เขียนมั่วไปใช่หรือไม่ อีกประเดี๋ยวต้องมีการตัดสินนะ!”
ซูเหลียนอวิ้นเก่งขนาดไหนกันเชียว แม้ว่านางจะไม่ได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งมากนัก แต่นางก็พอเข้าใจบ้าง ตอนนี้เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นเขียนเสร็จโดยแทบจะไม่ได้คิด ทั้งยังส่งข้อสอบไปแล้วจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “เจ้าจะเอากลับมาก่อนหรือไม่ นางในผู้นั้นยังเดินไปได้ไม่ไกล” หากเรียกเบาหน่อยก็คงจะไม่ทำให้คนหันมาสนใจด้านนี้สักเท่าไหร่กระมัง คงจะไม่อับอายผู้อื่นเท่าไหร่นักหรอก
หากยอมอายตอนนี้จะอายเพียงไม่กี่คน นั่นย่อมดีกว่ารอให้ถึงเวลาตัดสินต่อหน้าผู้คนมากมาย นั่นจะขายหน้าสักแค่ไหน!
“ข้า…” ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี เพราะถึงอย่างไรนางก็หวังดีกับตน เพราะหากเป็นตัวเองในสมัยก่อน ถ้าได้เห็นภาพภาพนี้ก็คงจะทำเช่นเดียวกับหลินเหวินเสี่ยวเช่นกัน สงสัยว่าตัวเองจะหลับตาเขียนส่งไป!
“ก่อนหน้าไม่กี่วันนี้ ข้ามีโอกาสอ่านตำราเกี่ยวกับหัวข้อนี้อยู่บ้าง เพราะเห็นว่าใกล้จะเข้าวสันตฤดูแล้ว อีกทั้งบังเอิญหยิบเรื่องนี้มาอ่าน ทำให้เขียนได้เร็วอย่างนี้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ดังนั้นข้ามิได้หลับตาเขียน เจ้าเองก็เร่งมือเข้าเถิด” ไม่ต้องถามต่อแล้ว ซูเหลียนอวิ้นแอบคิดในใจ มิเช่นนั้นนางเองก็ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาอธิบายดี! หากรู้แต่แรก นางขอส่งข้อสอบเป็นคนสุดท้ายคงจะไม่วุ่นวายเหมือนตอนนี้
หลินเหวินเสี่ยวยังแอบสงสัยอยู่ บังเอิญเช่นนี้เลยหรือ แต่เมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นกล่าวเช่นนี้จึงไม่ซักไซ้ต่ออีก นางหยุดคิดต่ออีกเพียงครู่เดียว จากนั้นจึงยกพู่กันเขียนจนเสร็จและส่งข้อสอบไป
ตอนนี้ทุกคนส่งข้อสอบกันจนครบแล้ว เหลือแค่รอการประกาศผลคะแนนเท่านั้น
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับความทรงจำของซูเหลียนอวิ้นเมื่อชาติก่อน ในครั้งนี้ ไม่ได้มีกรรมการเพียงคนเดียวตัดสินแล้วประกาศผล แต่จะนำเอาบทกวีที่ทุกคนเขียนเสร็จแล้วไปแขวนไว้บนโคมม้าวิ่ง[2] จากนั้นให้ทุกคนลงคะแนนอย่างเป็นธรรม แต่ละคนสามารถเลือกใครก็ได้ แน่นอนว่าทุกบทกวีจะไม่มีชื่อเจ้าของปรากฏ ทำเช่นนี้ถึงจะเกิดความยุติธรรม เพราะจะได้ตัดสินว่าบทกวีบทไหนดีหรือไม่ดีด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
แต่ละคนจะมีป้ายลงคะแนนสามใบ หากถูกใจบทกวีบทไหนก็ให้ใส่ป้ายไว้ในกระบอกไม้ไผ่ด้านหลัง แล้วค่อยมานับคะแนนรวมในภายหลัง
เมื่อทุกคนได้ฟังกติกาแล้วก็ไม่มีข้อคัดค้าน เพราะทุกคนต่างคิดว่าบทกวีของตัวเองนั้นดีที่สุด สามารถแสดงให้ทุกคนได้เห็นเช่นนี้จะไม่ดีได้อย่างไร และหากใช้วิธีอย่างเมื่อก่อนที่พอนับคะแนนเสร็จแล้วประกาศผล ทุกคนก็มักจะรู้สึกไม่ยอมรับเท่าไหร่นัก ตอนนี้ทั้งสะดวกและโปร่งใสจะยังมีอะไรให้ไม่พอใจอีกเล่า
——
[1] จับปลาได้ในน้ำขุ่น เป็นสำนวน หมายถึง ได้ประโยชน์จากความวุ่นวาย
[2] โคมม้าวิ่ง คือ โคมที่ตรงกลางภายในโคมจะมีแกนขนาดเล็ก บนตัวแกนจะติดกระดาษที่เป็นภาพคนขี่ม้าเมื่อจุดเทียนภายในโคม ไอร้อนจะทำให้กระดาษที่เป็นรูปคนขี่ม้าหมุนจึงทำให้ดูเหมือนคนขี่ม้าบนกระดาษวิ่งไล่กันเป็นวงกลม