ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 48 ยอมรับ
ทุกคนพากันลุกขึ้นแล้วเดินไปยังบริเวณโคมม้าวิ่ง ต่างก็กระซิบกระซาบกับคนข้างกายไปพลาง และจดจ่อกับบทกวีที่ถูกแขวนเอาไว้อย่างตั้งใจ
ซูเหลียนอวิ้นตัดสินใจดีแล้ว ในเมื่อมีป้ายลงคะแนนสามป้าย ใบแรกนางจะให้ตัวเอง อีกใบจะให้หลินเหวินเสี่ยว ส่วนอีกใบที่เหลือ…ต้องดูอารมณ์ก่อน ดูว่าบทไหนอ่านแล้วเข้าท่าก็จะให้แก่บทนั้น
เฮ้อ…นางก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหรือ…เป็นคนที่ให้คะแนนตัวเอง! ในเมื่อให้คะแนนตัวเองได้แล้วทำไมถึงจะไม่ทำเล่า จะว่าไปถ้านางไม่ให้ตัวเอง แล้วไม่มีใครให้คะแนนนางสักคน…แม้แต่คะแนนเดียว มันจะน่าอายขนาดไหน
ในใจของหลินเหวินเสี่ยวเองก็คิดไม่ต่างไปจากจากซูเหลียนอวิ้น อันดับแรกคือให้คะแนนตัวเองก่อน หลังจากนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้ซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “อันไหนคือของเจ้า ข้าจะให้คะแนนเจ้าด้วย!”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็หันหน้าไปแล้วเม้มริมฝีปากแน่น เพราะท่าทีเช่นนี้ คนที่สื่อสารกันเข้าใจได้โดยไม่ต้องพูดก็สามารถเข้าใจกันได้ปรุโปร่ง ทำให้นางเกิดความรู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาคลอเบ้า
หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นให้คะแนนตัวเองแบบไม่กระโตกกระตากอะไรก็แอบส่งสายตาไปให้หลินเหวินเสี่ยว หลินเหวินเสี่ยวเมื่อเห็นดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น ไม่ต้องพูดอะไรกันมากก็เข้าใจกันดี! เพราะหลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นเห็นหลินเหวินเสี่ยวให้คะแนนตนแล้วก็ให้ป้ายคะแนนอีกใบกับนางต่อทันที
ร่วมมือกันเป็นอย่างดีเช่นนี้ ทุกคนควรจะปรบมือชื่นชมถึงจะเหมาะสม
“ข้าขอไปดูทางนั้นต่ออีกหน่อย ทางด้านนี้ข้าดูครบแล้ว” หลินเหวินเสี่ยวถือป้ายลงคะแนนแผ่นสุดท้ายแล้วเอ่ยขึ้นอย่างระวังตัว เพราะนี่เป็นคะแนนสุดท้ายแล้วจึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนสักหน่อย
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “เจ้าไปเถิด ทางด้านนี้ข้ายังดูไม่ครบ” พอคิดได้ดังนั้นซูเหลียนอวิ้นก็กวาดตามองไปด้านข้าง จึงไปสะดุดตาเข้ากับบทกลอนที่อยู่ห่างจากตัวนางไปไม่ไกลบทหนึ่ง
“ฤดูวสันต์ริมฝั่งตระการตา สุดสายตาผลิใบใหม่ทั่วแผ่นผืน ลมวสันต์พัดโชยกายสะดุ้งไหว พฤกษาไสวสะพรั่งพร้อมหมื่นสี”
ซูเหลียนอวิ้นยืนนิ่งจ้องมองบทกลอนที่แขวนอยู่บทนั้นแล้วพึมพำขึ้นมา จากนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสตัวอักษร เป็นตัวอักษรที่สวยงามยิ่ง เข้มแข็งแต่นุ่มนวลสอดเสมอกัน เมื่อมองก็ดูออกว่าเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เทียบกับนางที่รีบร้อนใช้เวลาฝึกลวกๆ เพียงสามวันครึ่งถือว่าต่างชั้นกันมากนัก
ทว่าเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นตาเช่นนี้ได้ เพราะนางจำได้ว่าในช่วงเวลาอันรีบเร่งไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นางไม่เคยเห็นกลอนบทนี้ แต่นี่เป็นบทกลอนที่งดงามมากบทหนึ่ง หรือว่าจะลงคะแนนที่เหลือให้กลอนบทนี้เสียเลย? แต่ซูเหลียนอวิ้นยังคงลังเลใจเพราะมีกลอนด้านหลังอีกมากมายที่นางยังไม่ได้ดู
“เป็นอะไรหรือ มีปัญหาอะไรหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลัง “ข้าเห็นว่าเจ้ายืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นหันหน้าไปมอง ตัวเองคงยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วจริงๆ เหม่อลอยจนแทบไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง
“หนาน หนานกงมู่เสวี่ย?” ซูเหลียนอวิ้นพูดตะกุกตะกัก พร้อมทั้งถอยหลังไปอีกสองสามก้าว
นางคิดอยู่แล้วว่าทำไมกลอนถึงได้คุ้นหูนัก! นี่คือกลอนที่เมื่อชาติที่แล้วได้รับการชื่นชมมากที่สุดบทนั้น เป็นฝีมือของหนานกงมู่เสวี่ย…มิน่าเล่าถึงอยู่ในความทรงจำของนางลึกขนาดนี้
เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเห็นนางเห็นนางถอยหลังไปหลายก้าวเช่นนี้ก็ชะงักไป “เป็นอะไรหรือ”
“ข้าไม่เป็นอะไร” ซูเหลียนอวิ้นเอามือจัดปิ่นปักผมแล้วก้าวกลับมาข้างหน้า “ได้ยินคุณหนูหนานกงพูดขึ้นกะทันหัน ข้าเลยตกใจไปก็เท่านั้น หวังว่าคุณหนูจะไม่ถือสา” การแสดงออกของนางเมื่อครู่คงจะเป็นการแสดงออกตามสัญชาตญาณกระมัง เพราะท่าทางคล้ายกับหนูเห็นแมวที่อยากจะหลบไปให้ไกลๆ อย่างไรอย่างนั้น
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้มขึ้น เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทีเช่นนี้ก็ไม่พูดสิ่งใดต่อเพราะเกรงว่าจะทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาอีก
ซูเหลียนอวิ้นมองหนานกงมู่เสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างตนก็แอบถอนใจ เมื่อมองใกล้ขนาดนี้…หนานกงมู่เสวี่ยนั้นสวยมากจริงๆ
วันนี้หนานกงมู่เสวี่ยใส่กระโปรงยาวสีเหลืองนวลลายดอกฝ้ายเล็กๆ ที่เอวยังมีเข็มขัดสีเขียวอ่อนคาดไว้พร้อมแขวนป้ายหยกสีขาวสว่างราวแสงจันทร์ ขับให้ช่วงเอวและขาดูยาวยิ่งขึ้น
ริมฝีปากราวกับดอกโบตั๋น คิ้วเข้มคมชัด แต่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนว่านางแต่งหน้า เมื่อแก้มของนางต้องกับแสงแดด ยิ่งขับให้ใบหน้าของนางดูขาวสว่างใส รวมกับรอยยิ้มที่มีลักยิ้มปรากฏให้เห็นเด่นชัด ยิ่งทำให้ไม่ว่าผู้ใดเห็นต่างต้องรู้สึกหลงใหล ถือว่างามเลิศไปด้วยรูปโฉมและกลิ่นหอมราวดอกโบตั๋น
ซูเหลียนอวิ้นอดนำมาเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ จากนั้นจึงรู้สึกเหมือนว่าตนถูกฆ่าตายภายในพริบตาเดียว
เพราะหากพิจารณาการแต่งตัวและการแต่งหน้าของตนในวันนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโฉมสะคราญที่งามแม้ไร้เครื่องสำอางแบบนี้ ก็รู้สึกว่าตนก็เหมือนกับคนอื่นทั่วไปเท่านั้น
“ยินเสียงดอกสาลี่โรยหล่น คีรีหม่นสงัดเงียบราตรีหมอง แสงจันทร์ส่องวิหคโบยผวา มวลปักษาส่งเสียงก้องคีรี” หนานกงมู่เสวี่ยอ่านบทกลอนรอบกาย แต่กลับอ่านออกเสียงกลอนบทนี้ออกมา ราวกับนางกำลังร้องเพลงอยู่เพราะน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง “กลอนบทนี้น่าสนใจนัก”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงนี้จึงหันกลับมามอง นางจะบอกหนานกงมู่เสวี่ยดีหรือไม่ว่ากลอนบทนี้เป็นของนางเอง?
หนานกงมู่เสวี่ยกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก นางเพียงคิดว่ากลอนบทนี้ไม่เลว จึงหยอดป้ายคะแนนลงไปโดยไม่ได้คิดอะไร ทั้งไม่รอให้ซูเหลียนอวิ้นทันมีปฏิกิริยาก็เดินจากไปด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ซูเหลียนอวิ้นเปิดปากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ทำเพียงอ้าปากขึ้นเท่านั้น เพราะหากตนเรียกนางไว้ ในหัวตอนนี้กลับยังคิดคำพูดใดไม่ออก
ทว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง! เหตุใดหนานกงมู่เสวี่ยถึงให้คะแนนนางได้! เพราะจะว่าไปแล้วพวกนางสองคนก็เป็น…เอาเถอะ เมื่อก่อนเคยเป็น
ซูเหลียนอวิ้นหมุนแขนเสื้อตนไปมา นางเพียงรู้สึกว่าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงเดินต่อไปด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น อยากจะให้คะแนนสุดท้ายของตนไปเสียเร็วๆ จะได้รีบไปนั่งพักผ่อนบนเก้าอี้
แต่ตอนนี้นางรู้สึกว่ายิ่งดูไปก็ยิ่งรำคาญใจ ในใจก่นด่ากลอนพวกนี้ว่าคืออะไรกัน! ทำไมนางถึงรู้สึกว่าเขียนดีสู้นางไม่ได้สักคน พอเปลี่ยนไปดูอีกบทหนึ่ง แต่งได้ไม่เลวนัก แต่ตัวอักษรกลับไม่น่าดูชมสักนิด เมื่อนางดูจนทั่วรอบหนึ่งแล้ว กลับไม่มีกลอนบทไหนที่ถูกใจนางเลย สุดท้ายจึงวนกลับมาหยุดอยู่ที่เดิม
กลอนบทที่เข้าตานาง สุดท้ายก็ยังคงเป็นกลอนบทนั้นของหนานกงมู่เสวี่ย
พูดตามจริงแล้ว เมื่อซูเหลียนอวิ้นพิจารณาอย่างสงบ ตัวนางเองรู้สึกว่ากลอนบทนี้ไม่เลวเลย อีกทั้งหากให้ป้ายคะแนนกับกลอนบทนี้ก็น่าจะคุ้มค่าที่สุดแล้ว? ทว่าในใจของซูเหลียนอวิ้นยังคงคับข้อง
เพราะถึงอย่างไรเมื่อชาติก่อนนางก็ถือว่าเป็นศัตรูหัวใจคนหนึ่ง! ซูเหลียนอวิ้นเบะปาก หากตนให้คะแนนเช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการยอมรับแล้วหรือ…แต่เมื่อครู่ก็คล้ายว่าตนได้ยอมรับไปแล้วมิใช่หรือ อีกอย่างนางก็ให้คะแนนตัวเองไปแล้วด้วย
เมื่อเห็นว่าผู้คนรอบงานเริ่มเบาบางลงแล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงรีบร้อนขึ้นมา ช่างเถิดๆ ให้บทนี้ก็แล้วกัน! ถือว่าเป็นการให้คะแนนหนานกงมู่เสวี่ยเพื่อคืนคะแนนที่นางให้ตนเมื่อครู่ เมื่อคิดดังนี้ ซูเหลียนอวิ้นจึงรีบนำป้ายคะแนนที่ยิ่งถือก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่ากำลังลวกมือให้แก่หนานกงมู่เสวี่ยไป
‘เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน’
ทว่าเมื่อให้คะแนนเสร็จแล้ว ซูเหลียนอวิ้นหันไปมองหนานกงมู่เสวี่ยอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองหาต้วนเฉินเซวียน