ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 50 ประลอง
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้านั้น ไฟโทสะก็ลุกโชนขึ้นในใจอีกครั้ง นังเด็กต่ำ อย่างไรเสียวันนี้จะต้องจัดการนางให้จงได้!
“ฝ่าบาทเพคะ” คิดได้ดังนี้ หยางอวี้หลิงก็กระแอมแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันนั่งอยู่ตรงนี้มานานขนาดนี้แล้ว ความสามารถของคุณหนูคนอื่นหม่อมฉันก็ดูมาหมดแล้ว น่าเสียดายที่ยังไม่มีโอกาสได้ดูความสามารถของคุณหนูซู เพราะอย่างไรงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเวทีแสดงความสามารถ หากคุณหนูซูไม่เข้าร่วม นั่นเกรงว่าคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง”
เสียงของหยางอวี้หลินไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป ทว่าน้ำเสียงออดอ้อนเช่นนี้ แม้ว่าผู้อื่นจะไม่อยากฟังเท่าไรแต่ก็ยากที่จะไม่ได้ยิน
ลี่หยวนตี้ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “คุณหนูซู? หมายถึงคุณหนูซูคนไหนหรือ”
เมื่อหยางอวี้หลินเห็นลี่หยวนตี้สนใจคำยุของตนก็ยิ่งได้ใจ “จะยังมีคุณหนูซูผู้ใดอีกเพคะ ย่อมต้องเป็นคุณหนูซู ซูเหลียนอวิ้น บุคคลผู้มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของเมืองหลวงนี้ ฝ่าบาทไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยหรือเพคะ”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินผู้ที่อยู่ตรงแท่นประทับด้านบนเอ่ยถึงชื่อนาง ก็เริ่มเกิดความกังวลใจขึ้น จึงรีบเคี้ยวขนมครึ่งชิ้นที่อยู่ในปากตนจนละเอียดแล้วกลืนลงคอไปทันที จากนั้นจึงเช็ดปากแล้วนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น
แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบเหลือบตามองไปทางด้านนั้น แม่หยางอวี้หลิงผู้นี้คิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก?
“ซูเหลียนอวิ้น?” หนานกงจิ่นเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดทบทวน เพราะเป็นชื่อที่เขาคุ้นหูมากทีเดียว
ขันทีที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบเข้าไปพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาจนได้ยินกันเพียงสองคน “ฝ่าบาท คุณหนูผู้นั้นก็คือคนที่ฮองเฮาทรงประทานกำไลให้ ธิดาของแม่ทัพใหญ่ซูปั๋วชวนพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนี้เอง” ลี่หยวนตี้พยักพระเศียร พระพักตร์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
“ฝ่าบาทเพคะ” เมื่อหยางอวี้หลิงเห็นว่าลี่หยวนตี้ตรัสเพียงครึ่งประโยคแล้วไม่สนใจตนอีกจึงร้อนใจขึ้นมา “ฝ่าบาทว่าดีหรือไม่เพคะ”
เกาอู่เตี๋ยหันไปมองหยางอวี้หลิงที่นั่งอยู่ด้านข้างกำลังออดอ้อนบิดตัวไปมาแบบนั้นก็คิดไม่ออกไปชั่วขณะว่าจะพูดอะไรออกไปดี จึงกระแอมเบาๆ คราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หยางกุ้ยเหริน ระมัดระวังกิริยาด้วย ด้านล่างมีรุ่นน้องอยู่มากมาย เจ้าถือเป็นรุ่นพี่ อย่างน้อยก็ควรมีกิริยาในแบบที่รุ่นพี่ควรมีเถิด อีกอย่างการประลองเช่นนี้ ตลอดมามิใช่เจ้าเชิญข้ายินยอมหรือ เหตุใดน้องหยางต้องบีบบังคับให้ผู้อื่นเข้าร่วมเช่นนี้?”
“ฮองเฮาท่าน…” หยางอวี้หลิงได้ยินเกาอู่เตี๋ยเอ่ยเช่นนี้จึงกัดฟันทองในปากจนแทบแตก
รุ่นพี่? ฮองเฮาล้อเลียนนางต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้เชียวหรือ อีกทั้งยังเลือกใช้คำว่ารุ่นพี่มาบรรยายนางอีกด้วย! นางยังเป็นสาวอยู่นะ!
“เอาล่ะ!” เมื่อลี่หยวนตี้เห็นว่าพวกนางทั้งสองเริ่มต่อล้อต่อเถียงกันต่อหน้าพระองค์ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “หยางกุ้ยเหริน ในเมื่อเจ้าอยากประลองกับคุณหนูซู เช่นนั้นก็ให้เจ้าประลองด้วยตัวเองแล้วกัน แต่ผู้ที่จะแสดงความสามารถในครั้งนี้ ล้วนเป็นเพียงคุณหนูที่ยังไม่ได้ออกเรือนทั้งสิ้น”
เพราะที่นี่ไม่ต่างจากสถานที่สำหรับดูตัวขนาดใหญ่ของหญิงชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน เป็นทั้งที่ประลองความสามารถ สนทนาแลกเปลี่ยนทัศนคติ เรียนรู้นิสัยใจคอของแต่ละคน เมื่อถึงคราที่ต้องแต่งงานจึงสามารถหยิบยกขึ้นมาเอ่ยอ้างได้ว่าตนเคยประลองความสามารถในงานเลี้ยงวสันตฤดูมาแล้ว จนได้ตำแหน่งที่เท่าไรๆ อันถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเอง
แต่สิ่งที่ลี่หยวนตี้คิดไม่ถึงก็คือ คำพูดที่ตนพูดออกไปอย่างไม่ได้มีเจตนาเมื่อครู่ กลับไปกระทบกระเทือนจิตใจอันบอบบางของหยางอวี้หลิงเข้า
เพราะเมื่อหยางอวี้หลิงได้ยินดังนั้นแล้ว ความหมายของลี่หยวนตี้ก็คือ ผู้ที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้มีเพียงแม่นางที่ยังไม่ได้แต่งงานเท่านั้น หากสนมที่ผ่านการแต่งงานแล้วมาเข้าร่วมการแข่งขันด้วย…จะไปน่าสนใจอะไร
ด้วยเหตุนี้ หลังจากสิ้นคำพูดของฮองเฮาที่ว่านางเป็นรุ่นพี่แล้ว ยังมีประเด็นการเหยียดอายุที่หยางอวี้หลิงต้องเผชิญอีก
หยางอวี้หลิงเพียงรู้สึกว่าตอนนี้เริ่มรักษารอยยิ้มบนหน้าของตนเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เพราะคนที่พูดออกมาเมื่อครู่คือฮ่องเต้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับลี่หยวนตี้
“ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไปเพคะ หม่อมฉันมิได้เป็นผู้เข้าประลองเอง แต่เป็นน้องสาวของหม่อมฉันต่างหากเพคะ หลินเอ๋อร์จะเป็นผู้เข้าประลอง พระองค์ว่าอย่างไรเพคะ”
“ลองถามคุณหนูซูเอาเถิด” ลี่หยวนตี้ตรัสแบบขอไปที เพราะตลอดมาเขารู้สึกไม่ชอบใจเสียเลยกับการแก่งแย่งชิงดีของสตรี อีกทั้งครั้งนี้เขายังเป็นคนกลางอีกด้วย
หลังจากนั้น สายตาของเขาก็แอบเหลือบมองไปยังเกาอู่เตี๋ยที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ลี่หยวนตี้จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
เพราะว่าเขาเองก็ดูออกว่าเกาอู่เตี๋ยปฏิบัติต่อเด็กผู้นี้ไม่เหมือนคนทั่วไป นั่นคือมีความเอ็นดูมากเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้หยางอวี้หลิงขอร้องเขาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะปฏิเสธนางอย่างไม่ไว้หน้า อีกทั้งวังหลังกับราชสำนักก็มักจะมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันอยู่เสมอ เพราะอาจจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้ ดังนั้นเขาจึงต้องครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน
“ฝ่าบาทมองหม่อมฉันทำไมหรือเพคะ” เกาอู่เตี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “หม่อมฉันมิได้เป็นผู้ขอร้องพระองค์” เมื่อพูดจบเกาอู่เตี๋ยก็ยืดหลังขึ้นตรงโดยไม่รู้ตัว
ดูท่าจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนนั้นลี่หยวนตี้จึงไร้คำพูด
ช่างเถิดๆ ถึงเวลาก็ให้สาวน้อยผู้นั้นถอนตัวออกไปเท่านั้นเอง หากเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นผลดีต่อทั้งสองคน
ลี่หยวนตี้คิดดังนั้นจึงตรัสขึ้นว่า “ตามซูเหลียนอวิ้นมาตรงนี้ จะได้ถามนางว่าเต็มใจจะประลองกับคุณหนูหยางหรือไม่”
บรรดาขันทีที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็รีบถอยออกไปเพื่อนำสารที่ได้รับฟังไปส่ง ซูเหลียนอวิ้นจึงถูกเชิญตัวมาด้านหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ซูเหลียนอวิ้น เจ้ายินดีจะประลองความสามารถกับน้องสาวของหยางกุ้ยเหรินหรือไม่” ลี่หยวนตี้พูดกดดัน ทำให้คนรอบด้านรู้สึกถูกบีบคั้นจนแทบหายใจไม่ออก
เพราะตอนนี้สิ่งที่ลี่หยวนตี้คิดคือต้องการให้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกถึงภัยเบื้องหน้าแล้วถอยไปเสียเอง หากเป็นเช่นนี้ เกาอู่เตี๋ย หยางอวี้หลิงและตัวเขาเองถึงจะสบายใจขึ้นบ้าง
ซูเหลียนอวิ้นเองก็คิดเช่นนั้น เพราะภายใต้สถานการณ์ที่กดดันเช่นนี้ ทุกคนคงคิดอยากจะถอยไปด้วยกันทั้งนั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ลี่หยวนตี้คิดก็ดีหรือว่าสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นทำก็ดี กลับสู้กับคนผู้หนึ่งที่คิดต่างไม่ได้ เพราะตอนนั้นเองที่ซูเหลียนอวิ้นเกือบจะตอบออกไปว่านางคงจะประลองไม่ได้และกำลังจะปฏิเสธแบบมีชั้นเชิงอยู่นั้น คำพูดถากถางก็ลอยมาเข้าหูนาง
“คุณหนูซู ข้าคิดว่าเจ้าต้องตอบรับแน่ๆ ใช่หรือไม่” หยางอวี้หลิงกะพริบตาปริบๆ “เพราะได้ยินมาว่าในตอนนั้นที่ฮูหยินอันยังอยู่ในวังก็นับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งของเมืองหลวง ทั้งยังเป็นสตรีที่เก่งกาจ คุณหนูซูคงจะได้รับการถ่ายทอดมาจากนางเช่นกันใช่หรือไม่”
แม้หยางอวี้หลิงจะพูดจาไพเราะ แต่จุดประสงค์ของนางคือต้องการกล่าววาจาดูถูกต่อหน้าทุกคน
เพราะคนในสมัยนั้น ใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าอันเพ่ยอิงเป็นหญิงห้าวเหมือนผู้ชายที่ใช้ชีวิตไปอย่างไร้จุดหมาย แต่วันนี้กลับมาชื่นชมว่านางเป็นสตรีที่เก่งกาจ? ทั้งยังบอกว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง? ถือว่าเป็นการถากถางกันอย่างไม่ไว้หน้า
ซูเหลียนอวิ้นเองก็มิใช่คนโง่ ย่อมต้องเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในคำพูดของหยางอวี้หลิง ไฟโทสะจึงลุกโชนขึ้นในทันใด กล้าเอาคนในครอบครัวของนางมาล้อเล่นเชียวหรือ ดูท่าคงจะเตรียมการมาดีแล้วเป็นแน่