ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 51
เกาอู่เตี๋ยเมื่อได้ยินคำพูดของหยางอวี้หลิงก็ขมวดคิ้ว “หยางกุ้ยเหริน เจ้าหมายความว่าอะไร” ถึงอย่างไรอันเพ่ยอิงก็เป็นสหายสนิทของตน แต่วันนี้นางกลับกล้าพูดจาเหน็บแนมต่อหน้าตนเชียวหรือ ช่างกล้าดีเสียจริง
“ฮองเฮาเพคะ น้องพูดอะไรผิดไปหรือ” หยางอวี้หลิงเอนกายพิงไปด้านหลังแล้วเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล “อันฮูหยินในตอนนั้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหลวง น้องพูดอะไรผิด หากน้องพูดผิด ฮองเฮาช่วยบอกน้องได้หรือไม่ว่าคำพูดใดไม่ถูกต้อง” เมื่อหยางอวี้หลิงพูดจบก็เบิกตากว้าง ทำท่าทีราวกับหวาดกลัวและไม่รู้ว่าตนทำสิ่งใดผิด หากคนที่ไม่รู้เหตุการณ์มาเห็นเข้า คงคิดว่านางกำลังถูกผู้อื่นรังแกอยู่เป็นแน่
ฮองเฮาได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงักไป คำพูดเช่นนี้ของหยางอวี้หลิน ชนรุ่นหลังด้านล่างมากมายถึงเพียงนี้ คงมิอาจแยกแยะความผิดถูกของเรื่องนี้ได้ เพราะว่าหากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป ตอนนั้นเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่ายเสียมากกว่า
อกของเกาอู่เตี๋ยสั่นกระเพื่อมไปด้วยแรงโทสะ
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยคมหอกคมดาบด้านบนสงบลงจึงรีบเอ่ยปากขึ้นว่า “พระสนม พวกเราไม่พูดเรื่องนี้ได้หรือไม่เพคะ เมื่อครู่ที่เรียกหม่อมฉันมามีเรื่องจะสั่งสอนหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ มิทราบว่าจะสั่งสอนหม่อมฉันเรื่องใด”
ซูเหลียนอวิ้นยิ้มกว้างแต่ไม่เสียกิริยา ชุดสีแดงต้องลมที่กำลังพัดไหวเบาๆ จนเริ่มโบกสะบัด นางเหยียดหลังตรงและยืนนิ่งไม่ไหวติง เมื่อรวมกับการแต่งหน้าของนางในวันนี้แล้ว จึงดูแข็งแกร่งราวกับดอกบ๊วยที่ไม่สะท้านต่อลมหนาวยะเยือก[1]
เมื่อหยางอวี้หลิงเห็นท่าทางของนางที่สง่างามเช่นนั้นก็กัดฟัน ตอนนี้เจ้าพยายามให้เต็มที่ไปก่อนเถิด เจ้ามันก็แค่หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก[2] เท่านั้น อีกประเดี๋ยวข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะแสร้งทำแบบนี้ไปได้อีกสักกี่น้ำ
“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นน้องสาวข้า คิดว่าคุณหนูคงรู้จักใช่หรือไม่” พอพูดถึงตอนท้ายก็กัดฟันกรอด ดูท่าแล้วคงให้ความสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นอย่างมาก
แต่ก็ถูก เรื่องนั้นเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่ว่าในเมืองหลวงคงจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องนี้ ทำเอาในวันแรกๆ หยางอวี้หลิงต้องหลบอยู่หลายวันจนกว่าเรื่องจะซาลง เพราะจะอย่างไรก็พี่น้องกัน เรื่องดีหรือเสื่อมเสียล้วนต้องรับด้วยกัน
“หลินเอ๋อร์ เจ้าออกมาเถิด” หยางอวี้หลินกวักมือเป็นการส่งสัญญาณให้หยางอวี้หลินปรากฏตัวออกมา
หยางอวี้หลินเองก็เฝ้าฟังเหตุการณ์อยู่นานแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นหยางอวี้หลิงกวักมือ จึงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก้าวเดินอย่างระมัดระวังมายังด้านหน้า “ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮาและหยางกุ้ยเหรินเพคะ”
หากมิกล่าวถึงเรื่องนี้คงจะไม่ได้ ไม่รู้ว่าต้นเหตุเกิดมาจากเหตุการณ์ในวันนั้นหรืออย่างไร ตอนนี้หยางอวี้หลินถึงได้มีกิริยาเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังมีท่าทีสงบนิ่ง ท่วงท่าการพูดจาสง่างาม แต่หากมองโดยรวมแล้วค่อนข้างจะหมองหม่นไปสักหน่อย ราวกับไม่ใช่หญิงสาวในช่วงวัยนี้
“เป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน เจ้าจะมากพิธีรีตองไปทำไมกัน” หยางอวี้หลิงฉีกยิ้ม เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ก็แอบสะใจ ดูท่าแล้วบิดาของนางคงสั่งสอนน้องไปไม่น้อยหลังจากเหตุการณ์วันนั้น แม้ว่าน้องเล็กจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากไม่น้อย แต่ก็นับว่าเป็นผลดี เพราะถือว่าเป็นการปรับปรุงนิสัยของนางอีกครั้งหนึ่ง
“เรื่องราวระหว่างเด็กๆ อย่างพวกเจ้า ก็ให้พวกเจ้าเป็นผู้ตัดสินเองก็แล้วกัน หลินเอ๋อร์ เจ้าลองปรึกษากับคุณหนูซูดูเถิดว่าพวกเจ้าจะประลองอะไรกัน”
หยางอวี้หลินหันตัวมา ก้มหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสงบว่า “เช่นนั้นให้คุณหนูซูเป็นฝ่ายเลือกดีหรือไม่ แขกย่อมต้องว่าตามที่เจ้าของบ้านสะดวก คุณหนูซูจะเลือกอะไรก็เอาอันนั้นก็แล้วกัน”
ซูเหลียนอวิ้นจ้องมองหยางอวี้หลินที่อยู่ตรงหน้านางด้วยความรู้สึกประหลาดใจ นางกลับไม่กลัวหากหยางอวี้หลินจะเป็นฝ่ายโวยวายเข้ามาหาเรื่องนางก่อน เพราะผู้เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีจะแสดงข้อบกพร่องออกมา ตอนนี้หยางอวี้หลินมีท่าทางสงบเงียบเช่นนี้ ทำให้ยากที่ผู้อื่นจะหาจังหวะลงมือได้
เพราะอย่างไรแล้วหมาที่กัดคนมักจะไม่เห่าก่อน ท่าทีสงบเงียบของนางทำให้ในหัวของซูเหลียนอวิ้นเกิดสัญญาณเตือนบางอย่างขึ้น
“แต่หม่อมฉันไม่เชี่ยวชาญเรื่องใดเลยเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นแบมือแล้วหันหน้าไปพูดกับลี่หยวนตี้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มีความสามารถอะไรเลยเพคะ มิสู้ให้หม่อมฉันยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ ให้หม่อมฉันกลับเถิดเพคะ”
ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย ภายใต้สถานการณ์ที่ศัตรูอยู่ในที่ลับแต่ตนอยู่ในที่แจ้งนั้น ซูเหลียนอวิ้นขอเลือกที่จะต่อสู้อย่างรอบคอบจะดีกว่า เพราะตั้งแต่ได้กลับมาเกิดในชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใดหากไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน นางไม่เคยบุ่มบ่ามลงมือเลย แม้ว่าตอนนั้นนางจะกล้าลงมือกับหยางอวี้หลิน นั่นก็เป็นเพราะว่านางสบโอกาสที่จะลงมือรวมทั้งเป็นเพราะฐานะของตัวนางด้วย แต่ตอนนี้เรื่องราวกลับข้องเกี่ยวกับพระสนมของฮ่องเต้? นางจึงมิอาจบุ่มบ่ามได้
นางมองไปยังลี่หยวนตี้ สีพระพักตร์ดูลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในตอนนี้แม้ว่าผู้อื่นจะพูดมากเท่าใดก็สู้คำพูดของลี่หยวนตี้เพียงประโยคเดียวไม่ได้ เพราะเขาต่างหากที่เป็นผู้มีอำนาจตัดสิน ตอนนี้คงต้องรอดูแล้วว่าลี่หยวนตี้จะตัดสินพระทัยอย่างไร
“ฝ่าบาท เมื่อครู่พระองค์ทรงรับปากหม่อมฉันแล้วนะเพคะ พระองค์จะทรงผิดคำพูดไม่ได้ ผู้คนด้านล่างตั้งมากมายจับตาดูอยู่นะเพคะ” หยางอวี้หลิงหันไปพูดกับซูเหลียนอวิ้นต่อว่า “คุณหนูซูเหตุใดถึงกังวลเช่นนี้เล่า แค่การแข่งขันสนามเล็กๆ ก็เท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก”
คำพูดที่ลี่หยวนตี้เตรียมจะตรัสต่อไปนั้นจำต้องกลืนลงไปกะทันหัน เพราะที่หยางอวี้หลิงพูดก็มิผิด เขาเป็นโอรสสวรรค์ คำพูดของโอรสสวรรค์ต้องมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เมื่อครู่เขารับปากนางแล้วจริงๆ อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาคงไม่สามารถผิดคำพูดได้เสียแล้ว
“เอาเช่นนั้นก็ได้เพคะ” ซูเหลียนอวิ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ “ทว่าตามที่หม่อมฉันได้กราบทูลไปแล้ว หม่อมฉันไม่มีความสามารถใด หวังว่าเมื่อถึงตอนประลองคุณหนูหยางจะออมมือให้กับหม่อมฉันบ้าง เพื่อไม่ให้หม่อมฉันเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้อื่น”
หยางอวี้หลินเงยหน้าขึ้น คราวนี้ซูเหลียนอวิ้นเห็นชัดเจนถึงแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
เรื่องราวที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ก็คือ ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้นกับหยางอวี้หลิน นางจำต้องหลบอยู่แต่ในเรือนเล็กๆ ของตัวเอง เพราะหากนางคิดจะออกไปที่ใดก็ตาม เมื่อก้าวออกจากประตูเรือนไปได้เพียงก้าวเดียว ก็จะโดนบรรดาคนรับใช้แอบหัวเราะเยาะนาง
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะเรื่องนี้ ทำให้ซูปั๋วชวนเริ่มพูดขัดผลประโยชน์หยางเกิ่งรั่ง หยางเกิ่งรั่งจึงโยนความผิดทั้งหมดไปที่หยางอวี้หลิน โดยทำโทษนางด้วยการกักบริเวณเป็นเวลาสามเดือน หากไม่ได้เป็นเพราะงานฉลองวสันตฤดูครั้งนี้ นางคงยังต้องอยู่ในเรือนหลังเล็กๆ ของนางและไม่ได้ก้าวออกสู่โลกภายนอกแม้แต่ก้าวเดียว
เรื่องที่บังเอิญยิ่งไปกว่านั้นคือ…วันต่อมาหยางอวี้ฉินพี่ชายของนางโดนลากกลับมาส่งที่เรือน โดยมีท่าทางหวาดผวาคล้ายตระหนกตกใจกลัวอะไรบางอย่าง เอ่ยวาจาซ้ำไปซ้ำมาว่าไม่กล้าอีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของหยางอวี้หลิน ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เช่นนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ยิ่งเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจของหยางอวี้หลินมากขึ้นไปอีก
มารดาของหยางอวี้หลินเองก็แค้นเคืองนางมากเช่นกัน เพราะหากเปรียบเทียบลูกชายกับลูกสาวแล้ว แน่นอนว่าลูกชายย่อมสำคัญกว่ามาก ตอนนี้ลูกชายก็มากลายเป็นแบบนี้ไปเสียอีก โดยมีต้นเหตุมาจากลูกสาวที่ไร้ประโยชน์ อีกทั้งด้วยฐานะของนางที่กำลังจะมีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นฮูหยินใหญ่ก็เป็นไปได้ยากมากขึ้นไปอีก ดังนั้นในใจของนางจึงยิ่งทวีความชิงชังหยางอวี้หลินมากขึ้น
——
[1] ดอกบ๊วยที่ไม่สะท้านต่อลมหนาวยะเยือก หมายถึง ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจ
[2] หมูตายจึงไม่กลัวน้ำร้อนลวก หมายถึง ไม่กลัวอันตรายตรงหน้า เหมือนกับหมูที่ตายแล้วจึงไม่กลัวโดนน้ำร้อนลวก