ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 52
เมื่อตกอยู่ในภาวะบิดาไม่ถนอมมารดาไม่รักเช่นนี้ หยางอวี้หลินจึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว
ยกตัวอย่างเช่น หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในอดีต แล้วคนที่อยู่ในเหตุการณ์ยังกล้าที่จะยืนยิ้มและพูดคุยกับนางอยู่อีกละก็ นางคงพุ่งเข้าไปตะบันหน้าคนผู้นั้นเรียบร้อยไปแล้ว คงไม่ยืนสงบนิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนี้เป็นแน่
“เช่นนั้น หม่อมฉันคงได้แต่แสดงความขายหน้าเสียแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่มีความสามารถอะไรเลย ให้คุณหนูหยางเป็นฝ่ายเลือกไม่ดีกว่าหรือเพคะ เพราะสำหรับหม่อมฉันไม่ว่าจะประลองอะไรก็เหมือนกัน หม่อมฉันหวังว่าคุณหนูหยางจะเลือกการแข่งขันที่ไม่ยากจนเกินไปนัก”
ซูเหลียนอวิ้นยกมุมปากยิ้ม คำพูดของนางนั้นน้ำไม่รั่วแม้สักหยดเดียว[1]
ในเมื่ออีกฝ่ายยังคงโกรธแค้นนางอยู่ จึงถือว่าจัดการได้ไม่ยากนัก เพราะหากอีกฝ่ายไม่คาดหวังสิ่งใด นางเองก็คงไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาจุดอ่อนเพื่อชิงลงมือได้จากที่ใด ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[2] นางจึงขอรับมือกับปัญหาทีละเรื่องก็แล้วกัน
“ในเมื่อคุณหนูซูเอ่ยเช่นนี้ หม่อมฉันขอเลือกการแข่งหมากล้อมดีหรือไม่ แม้ว่าคุณหนูซูจะเป็นคนที่ไม่มีความสามารถพิเศษใดสักอย่าง แต่อย่างน้อยก็น่าจะเดินหมากเป็นกระมัง” หยางอวี้หลินยิ้ม จากนั้นจึงคว้าเอาป้ายที่มีตัวอักษรสะกดว่า ‘หมากล้อม’ มาไว้ในมือ
ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง สุดท้ายแล้วก็เป็นไปตามที่นางคาดเดาไว้แปดถึงเก้าส่วนจากสิบส่วน
เพราะแม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วหยางอวี้หลินจะหยิ่งผยอง แต่ระดับความสามารถด้านหมากล้อมและดนตรีกลับไม่เลวนัก ซูเหลียนอวิ้นพนันว่าการประลองครั้งนี้นางจะต้องเลือกแสดงสิ่งที่เป็นความชำนาญของตนออกมา ซึ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาไว้
เพราะหากประชันกันด้วยดนตรีคงยากที่จะตัดสินแพ้ชนะได้ หากหยางอวี้หลินต้องการจะกลั่นแกล้งนาง ก็ต้องเลือกการแข่งขันที่คนสองคนสามารถแข่งขันและตัดสินกันได้ง่าย
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ตกลงเพคะ แต่หม่อมฉันอยากจะขอร้องสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” นางหันไปกราบทูลกับลี่หยวนตี้ “หม่อมฉันขอไปดูผู้อื่นว่าแข่งขันกันอย่างไรก่อน จากนั้นจึงค่อยมาแข่งขันกับคุณหนูหยางได้หรือไม่เพคะ”
ลี่หยวนตี้ได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าเป็นเพียงคำขอร้องเพียงเล็กน้อย อีกทั้งไม่อยากหักหน้านางอีกครั้ง เท่าที่นางยอมร่วมประลองในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการฝืนใจนางมากแล้ว เมื่อครู่ซูเหลียนอวิ้นเองก็กล่าวหลีกเลี่ยงและปฏิเสธไปหลายต่อหลายครั้ง เขากลับมิตกลง ครั้งนี้หากยังคงปฏิเสธนางอีกคงจะดูไม่ดีอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป[3] อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นเองก็เป็นถึงธิดาของแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องคุ้มครองแผ่นดิน จะไม่ไว้หน้าเลยได้อย่างไร ทว่ายามคิดถึงนิสัยเสียๆ ของซูปั๋วชวนแล้ว ลี่หยวนตี้กลับรู้สึกปวดขมับขึ้นมา เพราะเกรงว่าพรุ่งนี้คนผู้นั้นจะมาเข้าเฝ้าเขาเพื่อพูดถึงเรื่องนี้อีก นั่นยิ่งจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายกันไปใหญ่
“ความต้องการนี้ของเจ้า เราย่อมไม่ว่าอะไร เราเห็นว่าเบื้องหน้าพวกเจ้าคล้ายว่ามีกระดานหมากล้อมตั้งอยู่ พวกเจ้าก็รอให้พวกเขาแข่งเสร็จก่อนเถิด เมื่อพวกเขาประลองกันจบ พวกเจ้าสองคนค่อยประลองต่อจากเขาเถิด”
ซูเหลียนอวิ้นทำความเคารพลี่หยวนตี้ จากนั้นจึงเดินช้าๆ ไปยังด้านหลังของผู้ที่กำลังเดินหมากทั้งสองแล้วเฝ้ามองพวกเขาอย่างตั้งใจ
หยางอวี้หลิงที่อยู่ด้านบนเมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยใส่ใจของซูเหลียนอวิ้นเช่นนั้น ใจของนางก็กระตุกวูบ เจ้าเด็กนี่มิใช่กำลังแสร้งโง่อยู่กระมัง นางคงมิได้…
จะเป็นไปได้อย่างไร! หยางอวี้หลิงสะบัดหน้าราวกับต้องการจะขับไล่ความคิดไร้สาระนั้นทิ้งไป
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยได้ยินว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นผู้มีความสามารถด้านศิลปะหมากล้อม หากเป็นเช่นนั้นจริงจะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน อีกอย่างสำหรับคนทั่วไปแล้ว หากมีความสามารถเพียงเล็กน้อยก็คงจะรีบหยิบออกมาคุยโว แต่เหตุใดนางจึงเก็บเงียบได้ถึงเพียงนี้หยางอวี้หลิงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางซูเหลียนอวิ้นอีกปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว และเห็นนางเอามือลูบคาง ราวกับว่ากำลังเพ่งพินิจมองคนสองคนนั้น แต่ก็มิได้มีท่าทางครุ่นคิดแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้นางจึงวางใจลงได้บ้าง
นางเองก็หาเรื่องไม่สบายใจมาให้ต้องขบคิดอยู่ทุกวัน ความสามารถด้านหมากล้อมของหลินเอ๋อร์เป็นอย่างไรนั้น ตัวนางเองก็รู้อยู่แก่ใจ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งแต่ก็โดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ด้วยเหตุนี้ยังจะต้องกังวลใจอะไรอีกเล่า ตอนนี้เพียงรอดูเรื่องน่าขันก็เพียงพอแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยางอวี้หลิงก็หยิบถ้วยน้ำชาตรงหน้าขึ้นมาจิบคำหนึ่งแล้วเหลือบมองไปทางซูเหลียนอวิ้น อีกประเดี๋ยวคอยดูเถิดว่ายังจะวางท่าสบายอกสบายใจอยู่ได้อีกหรือไม่!
ซูเหลียนอวิ้นเฝ้ามองดูการแข่งขันอย่างจริงจัง ทว่าหากผู้อื่นเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางคงคิดว่านางแสร้งทำเป็นเข้าใจเท่านั้น เพราะจะมีใครเล่าที่มองผู้อื่นเล่นหมากล้อมไปพลางยิ้มไปพลางเช่นนี้ ทุกคนควรต้องมีท่าทีเคร่งขรึมมิใช่หรือ
ทั้งสองคนยังคงจดจ่อสมาธิกับกระดานหมากล้อมตรงหน้า โดยไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบกาย แต่น่าเสียดายที่ชั้นเชิงในเกมของพวกเขาห่างชั้นกันเกินไป ไม่นานเท่าไรจึงรู้ผลแพ้ชนะ
ชายผู้สวมใส่ชุดเขียวประสานมือคารวะพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชี้แนะ ข้าน้อยเป็นฝ่ายแพ้ ทว่าระหว่างเดินหมากกลับได้รับความรู้มากมาย”
ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ลุกขึ้นเช่นกัน พลันจัดชุดของตนให้เข้าที่พลางเอ่ยกลับว่า “ศิลปะหมากล้อมนี้เป็นความสามารถที่ต้องช่วยกันฝึกฝน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะล้วนไม่สำคัญ เมื่อพี่ชายรู้สึกว่าได้รับประโยชน์ไม่น้อย เช่นนั้นเท่ากับว่าเราทั้งสองต่างไม่เสียเปล่าที่ได้ประลองฝีมือกันเมื่อครู่”
ซูเหลียนอวิ้นมองบุรุษทั้งสองที่กำลังโต้ตอบกันตามมารยาทอยู่ตรงหน้า ก็เม้มปากเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว คำพูดในสนามก็เท่านั้น ใครก็พูดได้ แต่นางกำลังคิดอยู่ว่าหากนางกับหยางอวี้หลินแข่งเสร็จแล้วจะเป็นอย่างไร จะพูดโต้ตอบกันเช่นนี้?
อืม…จะว่าไปแล้วก็รู้สึกว่าน่าขนลุกอยู่ไม่น้อย
ต้วนเฉินเซวียนสังเกตเห็นซูเหลียนอวิ้นตั้งแต่ในตอนที่นางลุกขึ้นมาแล้ว เพราะซูเหลียนอวิ้นในวันนี้แตกต่างจากวันอื่นๆ มากนัก
ความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้นที่มีต่อเขานั้น ใช่ว่าเขาจะไม่รับรู้ อาจกล่าวได้ว่าหากมีผู้ใดแสดงความรู้สึกของตนออกมาเช่นนี้ คนที่อยู่ตรงหน้าย่อมรับรู้ได้ อีกอย่างความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้นนั้นก็แสดงออกมาอย่างกระจ่างชัด มองปราดเดียวก็สามารถเข้าใจทะลุปรุโปร่งถึงความคิดทั้งหมดของนางได้
ทว่าซูเหลียนอวิ้นในช่วงนี้กลับไม่เหมือนเช่นในอดีต ต้วนเฉินเซวียนใช้นิ้วมือเคาะไปบนที่วางแขนเก้าอี้ กิริยาของเขาเช่นนี้ทำให้ผู้พบเห็นไม่อาจคาดเดาความหมายที่ชัดเจนได้
เพราะหากเป็นเหมือนเช่นสมัยก่อน ในสถานที่เช่นนี้ต่อให้ซูเหลียนอวิ้นไม่สามารถอยู่กับเขาได้อย่างเปิดเผย นางก็คงจะคิดหาวิธีให้อยู่ใกล้เขามากที่สุด แต่วันนี้กลับเลือกที่จะอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลเขา แล้วยังสายตาที่นางใช้มองเขาเมื่อครู่นี้อีก คงมิได้หมายความว่านางจะถอดใจจากเขาแล้วกระมัง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หว่างคิ้วของต้วนเฉินเซวียนพลันมีประกายยิ้มเยาะเย็นชาพาดผ่านสายหนึ่งอย่างอดไม่ได้…ช่างเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาเสียจริง
“พี่ต้วน ทางด้านนั้นทำอะไรกันอยู่หรือ ข้าเห็นท่านมองด้านนั้นตลอดเวลา รวมทั้งคนรอบข้างก็ยังพากันมองไปยังด้านนั้นด้วย” หันชิงอวี่หันหน้ามา คายเปลือกเมล็ดแตงในปากออกแล้วเอ่ยถามขึ้น “น่าเสียดายที่นั่งไกลไปหน่อยเลยมองหน้าไม่ค่อยถนัด แต่ก็ยังพอดูออกว่าเป็นสาวงาม ข้าพูดถูกหรือไม่”
ต้วนเฉินเซวียนได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็เลิกคิ้วพลางเอ่ยว่า “ของกินอุดปากเจ้าไม่อยู่หรือ จะเป็นสาวงามหรือไม่หาได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า ในเมื่อเจ้าสนใจนางถึงเพียงนี้ เจ้ามิแต่งกับนางไปเลยเล่า”
——
[1] น้ำไม่รั่วแม้สักหยดเดียว อุปมาว่า มิดชิด ไม่มีช่องโหว่
[2] ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้
[3] ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป หมายถึง เห็นแก่หน้าบุคคลที่สาม จึงให้ความช่วยเหลือและให้อภัย