ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 54
ซูเหลียนอวิ้นหลับตาทั้งสองข้างของตนลง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เปิดเผยความรู้สึกของตนออกไป เนื่องจากเรื่องราวในอดีตที่ผุดขึ้นในใจของตน ตอนนี้นางจะต้องรวบรวมสมาธิไปยังหมากกระดานนี้ต่างหาก
แม้จะรู้ว่าควรทำเช่นไร แต่ก็ไม่อาจข่มใจให้สงบลงได้ เพราะนับตั้งแต่ที่นางกลับมาเกิดใหม่ นางยังไม่มีเวลากลับไปเยี่ยมท่านอาจารย์เลย และตอนนี้นางเองก็ไม่แน่ใจแล้วว่าท่านอาจารย์ยังจำตนได้อยู่หรือไม่
ส่วนหยางอวี้หลินในตอนนี้กลับมิได้คิดอะไรมากนัก หรืออาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์บีบคั้นนาง ดังนั้นนางจึงมิอาจคิดถึงเรื่องอื่นใดได้ในตอนนี้
เมื่อนางเห็นการเดินหมากแต่ละครั้งของซูเหลียนอวิ้น นางก็มิอาจห้ามใจมิให้ร้อนรนได้ เพราะเดิมทีนางคิดว่าตนจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิ์จะเอาชนะกันได้ทุกเมื่อ ทั้งยังใช้วิธีการเช่นนั้นปั่นหัวนาง แล้วจะให้นางนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร
ความแค้นเก่าใหม่ผสมปนเปเข้าด้วยกัน หยางอวี้หลินยิ่งอยากจะเอาชนะหมากกระดานนี้ให้ได้เสียเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นรอยยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มีของซูเหลียนอวิ้น เพราะนั่นยิ่งถือเป็นการปลุกปั่นความรู้สึกของนางมากขึ้นไปอีก
มือซ้ายของหยางอวี้หลินกำแน่น เป็นเช่นนี้อีกแล้ว เป็นเช่นนี้อีกแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่สนใจสิ่งใด นางมีท่าทีเปิดเผยและไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติใดๆ แต่กลับไม่มีผู้ใดพูดอะไร และไม่มีผู้ใดว่ากล่าวอะไรนางด้วย เรื่องราวบนโลกใบนี้เหตุใดจึงอยุติธรรมถึงเพียงนี้ ทั้งที่เห็นๆอยู่ว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นสตรีที่ไม่รักษาเกียรติของตน วิ่งตามบุรุษไปทั่ว เหตุใดหลังจากเกิดเรื่องราวขึ้น ผู้ที่ได้รับการลงโทษกลับเป็นตนเองไปได้ คงมิใช่เป็นเพราะว่านางเป็นธิดาของเรือนใหญ่ ส่วนตนเป็นธิดาเรือนเล็กหรอกนะ หรือจะเป็นเพราะบิดาของซูเหลียนอวิ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องแผ่นดิน ดังนั้นจึงสามารถเปลี่ยนสีดำให้กลายเป็นสีขาวได้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกคนบนแผ่นดินนี้ต่างมีอคติและใช้อำนาจบาตรใหญ่
ซูเหลียนอวิ้นกำลังหลุบตาต่ำ หากนางรู้ว่าตอนนี้ในใจของหยางอวี้หลินกำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่ นางจะต้องคิดว่าคนผู้นี้ใกล้เสียสติเต็มทีแล้ว ภายในหนึ่งวันคิดอะไรได้มากมายเพียงนี้เชียว? ใต้หล้านี้ยังมีสตรีที่มีเกียรติสูงส่งกว่านางอีกมากมาย อย่างนั้นแล้วจะให้นางใช้ชีวิตอยู่ด้วยความอิจฉาเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร
อีกอย่างพ่อแม่ของนางยังไม่เคยตำหนิอะไรนาง เหตุใดคนนอกอย่างเจ้าต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย มือของเจ้านั้นยาวเกินไปหน่อยหรือไม่ และเรื่องที่นางทำไปขัดผลประโยชน์ของใครหรือ เอาแต่โทษฟ้าโทษดินเช่นนี้มิสู้เอาเวลาไปคิดว่าอาหารมื้อเย็นวันนี้จะได้กินอะไรไม่ดีกว่าหรือ
หยางอวี้หลินจ้องมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่าหมากกระดานนี้ฝ่ายได้เปรียบคือหยางอวี้หลิน! แต่เหตุใดซูเหลียนอวิ้นยังยิ้มออกมาได้อีก มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้นางกล่าวเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องชนะให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม มิเช่นนั้นใจอาฆาตของนางคงจะบีบให้นางกลายเป็นบ้าได้
ซูเหลียนอวิ้นมองเข้าไปยังดวงตาสับสนคู่นั้นของผู้ที่อยู่ตรงข้ามตน จากนั้นจึงไม่รู้ว่าตนควรดีใจหรือว่าสลดใจดี
การแข่งขันครั้งนี้ หากไม่เกิดเรื่องผิดคาดขึ้น นางจะต้องเป็นฝ่ายชนะแน่
ซูเหลียนอวิ้นรู้ซึ้งถึงความสามารถด้านหมากล้อมของตนเป็นอย่างดี หรืออาจจะกล่าวได้ว่าค่อนข้างรู้ นางรู้ตัวดีว่าตนมีความสามารถมากน้อยเพียงใด มิควรดูถูกตนเองอย่างเด็ดขาดและก็มิอาจประเมินค่าตนจนสูงเกินไป
นางรู้ดีว่าด้วยความสามารถที่ตนมีคงทำได้เพียงป้องกันเท่านั้น มิอาจใช้โจมตีได้ และหากใช้วิธีนี้ต่อไปจะเอาชนะกันได้อย่างไร อย่างมากก็คงทำได้เพียงแค่เสมอกันเท่านั้น
อีกอย่างคำโบราณยังกล่าวไว้ว่า การโจมตีเท่านั้นถึงจะเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด
ที่นางตั้งใจวางท่าไม่ใส่ใจ ทั้งยังยุแหย่หยางอวี้หลิน นั่นเป็นเพราะนางหวังว่าจะสามารถปลุกปั่นหยางอวี้หลินให้เสียสมาธิได้ เพราะมีเพียงวิธีการนี้เท่านั้น นางถึงจะมีโอกาสกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหยางอวี้หลินเริ่มมีทีท่ากระสับกระส่ายขึ้นมา นางจึงรู้แน่แล้วว่า แผนการของตนประสบผลสำเร็จ
สิ่งที่ผู้ลงแข่งขันประลองหมากล้อมหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือความว้าวุ่นใจ ไร้สมาธิ ทว่าในยามนี้หยางอวี้หลินกลับหลีกเลี่ยงสิ่งที่อันตรายนั้นไม่พ้น
ซูเหลียนอวิ้นพยายามที่จะข่มอารมณ์ของตนและหายใจให้เป็นปกติ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ หากการประลองยังไม่สิ้นสุด นางก็มิควรย่ามใจจนเกินไปนัก
ตะวันช่วงต้นคิมหันต์เริ่มลอยสูง ในตอนแรกเพียงแสงส่องลงมาช้าๆ แต่ตอนนี้กลับสาดแสงแผดจ้าจนร้อนเร่าเป็นร้อยเท่าพันทวี เพียงครู่เดียว หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ก็ผุดขึ้นที่ข้างแก้มของหยางอวี้หลินและหยดลงสู่พื้นอย่างช้าๆ
หยางอวี้หลินยกแขนเสื้อของตนขึ้นมาซับเหงื่อ เดิมทีนางตั้งใจเอาไว้ว่าจะแข่งต่อไปอีกสักหนึ่งชั่วยาม ใครเลยจะคิดว่าซูเหลียนอวิ้นกลับไม่เป็นอะไรเลย แต่นางกลับร้อนจนแทบจะทนไม่ได้ ทว่าตอนนี้นางขึ้นหลังเสือยากจะลงแล้ว เมื่อมองเห็นท่าทางผ่อนคลายของซูเหลียนอวิ้น หยางอวี้หลินก็กัดฟันกรอด แล้วคิดว่าตนยังทนไหวอยู่
ในความเป็นจริงแล้วแม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะยังดูผ่อนคลาย แต่ที่จริงแล้วนางเองกลับรู้สึกทุกข์ทรมานมากเช่นกัน เพราะตอนนี้อากาศร้อนอบอ้าวอย่างยิ่ง แถมนางยังนั่งคุกเข่าอยู่อีกด้วย
แต่คนอย่างนางนั้น ในชาติก่อนมีความโดดเด่นที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง นั่นก็คือความสามารถในการอดทนอดกลั้น
ซูเหลียนอวิ้นในอดีต เพื่อต้วนเฉินเซวียนแล้วมีเรื่องใดบ้างที่นางไม่เคยทำ เรื่องใดบ้างที่ไม่ต้องอดทน
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าอากาศร้อนเพียงเท่านี้ นางมิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้หากยังทนไม่ได้ จะไม่ผิดต่อชื่อเสียงของตนเองในอดีตที่เคยขึ้นชื่อว่าไล่ตามจีบต้วนเฉินเซวียนถึงห้าปีหรือ
เวลาถึงห้าปี นางได้โยนเกียรติและศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงทิ้งไปหมดสิ้น ทั้งยังต้องทนต่อสายตาเย็นชาและถ้อยคำเยาะเย้ยถากถางมากมาย การกระทำเย็นชาที่นางต้องเผชิญทุกครั้งมิได้ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยใจหรือถอดใจเลยแม้สักครั้ง ดังนั้นอุปสรรคเล็กน้อยเพียงเท่านี้จะให้นางก้มหัวยอมแพ้ได้อย่างไร นั่นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
หากจะแข่งความอดทนอดกลั้น เช่นนั้นก็เลือกคนได้ถูกต้องแล้ว
ตอนนี้หยางอวี้หลินรู้สึกว่าบริเวณข้อเท้าของตนเจ็บปวดอย่างยิ่ง ทั้งดวงอาทิตย์เหนือศีรษะของตนก็ยิ่งแผดเผาจนนางเริ่มหน้ามืด แต่พอคิดว่าตนอดทนมาได้นานเพียงนี้แล้ว หากยอมแพ้ สิ่งที่ลงแรงไปก่อนหน้าทั้งหมดก็คงเปล่าประโยชน์? ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะอดทนต่อไป
หลังจากที่ฝืนอดทนต่อมาอีกเป็นเวลาครึ่งก้านธูป ขณะที่หยางอวี้หลินกำลังจ้องมองหมากทุกตัวบนกระดานอยู่นั้น ร่างกายของนางก็เริ่มสั่นไหว สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด
นั่นเป็นลางว่านางกำลังจะพ่ายแพ้ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร หยางอวี้หลินขบริมฝีปากของตัวเองแน่น แววตาของนางคล้ายกำลังขบคิดสิ่งใดอยู่
“โอ๊ย!” ทันใดนั้นเองหยางอวี้หลินก็ร้องดังขึ้น จากนั้นจึงเป็นลมล้มฟุบไปกับพื้น
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างก็ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก เพราะเมื่อครู่สถานการณ์ยังปกติอยู่ เหตุใดจู่ๆ จึงมีคนเป็นลมไปได้ ทว่านิ่งอึ้งอยู่เพียงครู่เดียว ต่างก็พากันวิ่งเข้าไปประคองหยางอวี้หลินเพื่อนำออกไปไว้ที่อื่น
“ช้าก่อน! คุณหนูหยางเพิ่งจะหมดสติไป อย่าเพิ่งรีบร้อนเคลื่อนย้ายนางจะดีกว่า เพราะหากอาการของนางแย่ลง นั่นอาจจะเป็นเพราะพวกเจ้ากระทำการโดยพลการ” ซูเหลียนอวิ้นรีบเอ่ยขึ้นทันที
เหล่าขันทีเมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเช่นนี้ จึงเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะหากให้เลือกขัดใจผู้ที่ยังมีสติอยู่ในตอนนี้กับผู้ที่เป็นลมล้มพับไปแล้วนั้น พวกเขาควรเชื่อฟังผู้ที่ยังมีสติอยู่น่าจะดีกว่า ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้สตินั้น…อย่างไรเสียก็ยังไม่ฟื้นมิใช่หรือ
เมื่อซูเหลียนอวิ้นมองไปยังหยางอวี้หลินที่นอนตัวอ่อนปวกเปียกอยู่บนเบาะนั่ง สายตาของนางพลันปรากฏแววถากถาง
ทำไมหรือ…ไม่อยากแพ้จนถึงขั้นต้องแสร้งเป็นลมล้มพับไปเช่นนี้? วางแผนเอาไว้ดีเกินไปหน่อยกระมัง
“ฝ่าบาทเพคะ!” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นรูปการณ์ดังนี้จึงลุกขึ้นอย่างสงบแล้วเอ่ยปาก “ฝ่าบาท คุณหนูหยางผู้นี้ตั้งใจจะหนีการประลองเพคะ! คนอยู่ดีๆ จะเป็นลมไปได้อย่างไรกัน คงมิได้เป็นเพราะดูออกว่าตนกำลังจะเป็นฝ่ายแพ้? จึงชิงเป็นลมไปเสียก่อน”