ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 56 เยาะเย้ย
“เช่นนั้นหรือ” ซูเหลียนอวิ้นเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยอย่างดูแคลน “อย่างนั้นข้าขอถามคุณชายหัน เมื่อครู่ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด พอจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนจะพูดหรือไม่”
หันหงไท่คิดไม่ถึงว่าซูเหลียนอวิ้นจะถามขึ้นเช่นนี้ แต่ยังเอ่ยตอบไปตามตรงว่า “เป็นเพราะข้าได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดชัดเจน ข้าจึงเข้ามาห้ามปราม! คุณหนูซู ตอนนี้คุณหนูรองหยางเป็นลมไปแล้ว แต่เจ้ายังกัดนางไม่ยอมปล่อย ใจคอเจ้าโหดร้ายยิ่งนัก”
ซูเหลียนอวิ้นมองจากมุมไกลๆ แล้วเห็นการวางทีท่าสง่าสุขุมของหันหงไท่ ในท้องของนางจึงบังเกิดระลอกความคลื่นไส้ขึ้นมา
น่าขยะแขยงยิ่งนัก!
สง่าน่าเกรงขาม? บุรุษผู้ปกป้องสตรีเพศ?
เช่นนั้นขอถามหน่อยว่าเมื่อครู่ที่หยางอวี้หลิงบังคับซูเหลียนอวิ้นให้ลงสนามนั้น เหตุใดคนที่อยู่ด้านล่างจึงไม่มีผู้ใดเอ่ยค้านสักคำ ตอนนี้แสร้งทำเป็นคนดี หากมีคนคัดค้านเสียแต่แรกนางก็ไม่ต้องลงสนาม และไม่ต้องเป็นลมล้มพับอยู่อย่างนี้
“คุณชายหันรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด คุณหนูรองหยางถึงเป็นลมล้มพับอยู่บนนี้” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นถามด้วยแววตาเย็นเฉียบ
“ฤดูร้อนที่อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ไม่ว่าผู้ใดนั่งอยู่ตรงนี้นานๆ ก็คงจะทนไม่ไหวทั้งนั้น อีกอย่างคุณหนูรองหยางเดิมทีก็มีร่างกายอ่อนแอ” หันหงไท่ขมวดคิ้วแน่น มองไปยังสตรีที่เป็นลมอยู่บนเวทีอย่างกังวลแล้วเอ่ยขึ้น
หยางอวี้หลินที่เป็นลมอยู่บนเวทีเมื่อได้ยินหันหงไท่พยายามปกป้องตนเช่นนั้น ในใจของนางพลันบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ เพราะใจของนางตลอดมามีเพียงต้วนเฉินเซวียนเพียงผู้เดียวเท่านั้น และไม่เคยสนใจคุณชายใหญ่หันมาก่อน ทว่าตอนนี้หันหงไท่กลับชายสายตาจริงใจและดูเป็นกังวลมองมาที่นาง ทำให้หัวใจของนางเต้นอย่างไม่เป็นระส่ำยากที่จะควบคุมได้ หยางอวี้หลินกำลังคิดว่า ชายผู้นี้แอบชอบนางมาตลอด…ใช่หรือไม่
“หึ…” ซูเหลียนอวิ้นแค่นหัวเราะ “จากที่คุณชายหันกล่าว ข้าเองก็นั่งตากแดดตรงนี้มาเป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้วเช่นกัน เหตุใดข้าจึงมิเป็นลมไปด้วยเล่า ข้าเองก็เป็นหญิงอ่อนแอเช่นกัน ไม่เห็นคุณชายหันพูดแทนข้าบ้าง นั่นคงจะเป็นเพราะข้ากับคุณหนูรองหยางนั้นเป็นคนละคนกัน คุณชายใหญ่หันว่าถูกต้องหรือไม่”
ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเช่นนี้ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ
ต้องถูกสิ เป็นสตรีอ่อนแอเหมือนกัน เหตุใดอีกคนเป็นลมแต่อีกคนกลับไม่เป็นอะไร? แถมตอนที่อีกฝ่ายเป็นลมตนเองก็เป็นฝ่ายได้เปรียบด้วย
กำลังจะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่กลับเป็นลมไปกะทันหัน
ซูเหลียนอวิ้นไม่รอให้หันหงไท่ได้พูดอะไรต่อก็เอ่ยว่า “เมื่อครู่ที่ข้าถามคุณชายใหญ่หันว่า เพราะเหตุใดคุณหนูรองหยางจึงเป็นลม ดูเหมือนคุณชายหันยังตอบไม่ตรงคำถาม เพราะคนที่ทำให้นางเป็นลม มิใช่คนอื่น ทั้งยังมิใช่ข้า และมิใช่พระอาทิตย์ที่สาดแสงแรงกล้า แต่กลับเป็นคุณชายใหญ่หันเองต่างหาก! เป็นท่านที่ทำให้นางเป็นลม” ซูเหลียนอวิ้นพยายามกลั้นหัวเราะ ในสายตาปรากฏแววเยาะเย้ยถากถาง
หันหงไท่เลิกคิ้วขึ้น “คุณหนูซูกำลังพูดถึงอะไร ต่อให้เป็นการพูดเหลวไหล ก็ควรมีเหตุผลมาอธิบายสักหน่อยได้หรือไม่”
“ให้ข้า…หาเหตุผลหรือ” ซูเหลียนอวิ้นก้าวเข้าไปข้างหน้า จนไปหยุดอยู่ตรงหน้าหยางอวี้หลิน จากนั้นจึงหันตัวกลับมา แล้วเอ่ยวาจาถากถางหันหงไท่ว่า “คุณชายใหญ่หัน ที่ท่านเอ่ยเมื่อครู่ว่าท่านอยู่ที่นี่มาตลอด เช่นนั้นท่านคงได้เห็นแล้ว ตอนที่หยางกุ้ยเหรินบีบบังคับข้า คะยั้นคะยอให้ข้าเข้าร่วมการประลองเสียให้ได้ เหตุใดตอนนั้นจึงไม่เห็นเทวดาผู้มีจิตใจเมตตาปรานีอย่างท่านออกหน้าแทนเลยเล่า”
“ตอนนั้นข้าพยายามอ้อนวอนอยู่เป็นเวลานานเท่าไหร่ ทำไมท่านถึงไม่เอ่ยถึงความเป็นธรรมสักคำ หากตอนนั้นท่านมีใจเมตตาให้ข้าสักครึ่งหนึ่งของตอนนี้ ช่วยพูดขอความเป็นธรรมแทนข้า เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องลงสนามและประลองกับหยางอวี้หลิน นางก็จะไม่ต้องนั่งตากแดดนานเช่นนี้และนางก็จะไม่มีทางเป็นลม ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ตอนนี้ที่นางเป็นลมไปมีความเกี่ยวข้องกับท่านอย่างแยกออกจากกันมิได้ คุณชายใหญ่หันว่าข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่”
เมื่อผู้ชมได้ยินซูเหลียนอวิ้นอธิบายเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแต่ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด เพราะตอนนี้หากจะว่าไปแล้ว คำพูดของนางนั้นถูกต้อง หากตอนนั้นหันหงไท่เห็นใจนางสักหน่อยจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร
หันหงไท่ไร้คำพูดใด
เขามองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของสตรีชุดแดงที่ยืนไม่ไกลจากเขา ทว่านางมิอาจแสดงความเยาะเย้ยออกมาทางแววตาได้ชัดเจนนัก ตอนนั้นเขาพลันรู้สึกหน้าชา บิดาของเขากล่าวไว้ถูกต้อง เขายังเด็กและหยิ่งยโสเกินไป การจะแยกแยะถูกผิดให้กระจ่างแจ้งบนโลกใบนี้ คงต้องยืนอยู่บนมุมมองที่แตกต่างจากกันเท่านั้น
มองจากมุมมองของคนที่อยู่นอกเหตุการณ์ เขาจึงคิดว่าหยางอวี้หลินนั้นน่าสงสาร เพราะตอนนี้นางเป็นลมไปแล้ว แต่เขากลับมิได้ยืนดูเหตุการณ์ในมุมมองของซูเหลียนอวิ้น เขาถามตัวเองว่า หากต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจะสามารถทำได้อย่างที่ตัวเองพูดหรือไม่
ทั้งที่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะสร้างความเดือดร้อนให้กับตน เขากลับมิได้คิดแค้นและไม่เอ่ยถามสิ่งใด แต่กลับเรียกคนให้มาเชิญนางลงไปจากเวที?
เขารู้ตัวว่ามิอาจทำได้ เพราะตนก็เป็นคนธรรมดาที่ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง
“ดังนั้นแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปยังด้านข้างหยางอวี้หลินพลางเอ่ยขึ้น “สิ่งใดที่ตนไม่ปรารถนา อย่าได้ยัดเยียดให้ผู้อื่น คุณชายหันโปรดจำไว้ว่า จะพูดจะจาอะไรออกมาโปรดใช้สมองไตร่ตรองก่อนทุกครั้ง! โปรดคิดในมุมมองของผู้อื่นแล้วค่อยพูด เพราะในบางครั้งสิ่งที่ตาเห็น อาจจะมิใช่ความจริงเสมอไป” ซูเหลียนอวิ้นมองหยางอวี้หลินที่ยังคงเป็นลมอยู่บนพื้น นางเผยรอยยิ้มที่ซับซ้อน แล้วจึงหันไปมองหันหงไท่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาอีกคราหนึ่ง
โชคดีที่ในตอนนี้ หมอหลวงมาถึงพอดี จึงยุติการโต้เถียงนี้ไว้ได้
“ฝ่าบาท” หมอหลวงสวีเอ่ยพร้อมคารวะ
“หมองหลวงสวีไม่ต้องมากพิธี รีบตรวจดูเถิดว่าคุณหนูรองหยางเป็นอย่างไรบ้าง” ลี่หยวนตี้โบกมือไปยังหยางอวี้หลินที่อยู่บนพื้น
“เช่นนั้นขอคุณหนูซูกรุณาถอยออกไปก่อนสักครู่ ข้าจะได้ตรวจชีพจรให้คุณหนูรองหยาง” หมอหลวงสวีวางกล่องยาในมือลงเตรียมตัวที่จะเริ่มตรวจชีพจร
“เป็นหม่อมฉันที่ไม่ดีเองเจ้าค่ะ รบกวนหมอหลวงสวีแล้ว”
หมอหลวงสวีหลับตาลง แล้ววางนิ้วมือลงบนตำแหน่งชีพจรของหยางอวี้หลินพลางครุ่นคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ที่ซูเหลียนอวิ้นเอ่ย ระหว่างทางที่เขามาที่นี่เขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สตรีตัวน้อยนางนี้เมื่อถึงคราวจะสั่งสอนใครขึ้นมาจะไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ทั้งยังน่าสนใจอีกด้วย
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หมอหลวงสวีลืมตาขึ้น กวาดสายตาไปยังหยางอวี้หลินที่นอนหลับลึกอยู่ จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ดูจากอาการแล้ว คุณหนูรองหยางมิได้มีเพียงอาการที่เกิดจากอากาศร้อนอบอ้าวเท่านั้น แต่เป็นเพราะโทสะที่อยู่ในใจเป็นเหตุด้วย คุณหนูซูทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะหากเคลื่อนย้ายคนป่วยไม่ถูกวิธีแล้ว จะเป็นการทำลายเส้นชีพจร หากเป็นเช่นนั้นคงถึงคราวลำบาก ตอนนี้อาการถือว่าปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหยางอวี้หลินได้ยินหมอหลวงสวีเอ่ยเช่นนี้จึงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ทำลายเส้นชีพจร? ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ ทว่านางกลับมิกล้าเปิดปาก เพราะที่โรงหมอหลวง หมอหลวงสวีถือว่าเป็นหมอฝีมือดีคนหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน!