ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 57 ฝังเข็ม
ซูเหลียนอวิ้นมองหมอหลวงสวีที่อยู่ด้านข้างของนาง สีหน้าเขาดูจริงจังแล้วก็นิ่งงันไป โทสะในใจสามารถทำลายชีพจรได้ด้วยหรือ นี่เป็นการเปิดหูเปิดตาให้นางยิ่งนัก
นี่กระมังที่เขาเรียกว่าโกรธจนอกแตกตาย? เพราะหากเป็นอันตรายต่อชีพจรจริง ตอนที่เอาลงจากสนามไปก็คงจะถือว่าโกรธจนอกแตกตายจริงๆ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานหมอหลวงสวีจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ยังมิต้องกังวลใจไป ขอแค่ให้นางฟื้นขึ้นมาได้ก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว หากข้าฝังเข็มให้คุณหนูรองหยางสักเข็มหนึ่ง อีกครู่เดียวนางก็จะฟื้นขึ้นมา” ระหว่างที่พูดก็ยื่นมือไปยังกล่องยาที่วางไว้ด้านข้างแล้วหยิบเข็มสีเงินออกมาหนึ่งแถว
หมอหลวงสวีหยิบเข็มแถวนั้นขึ้นมา จากนั้นนำไปส่องต้องกับแสงตะวันครู่หนึ่งแล้วรำพึงเสียงเบาๆ ว่า “ตัวข้าแก่แล้ว ตาก็ไม่ค่อยจะดี อาการหมดสติของคุณหนูรองหยางร้ายแรงถึงเพียงนี้ หากต้องการจะให้ฟื้นขึ้นมาเกรงว่าคงต้องใช้เข็มใหญ่สุดเสียแล้ว”
เข็มเงินเมื่ออยู่ภายใต้แสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ ก็ส่องประกายเย็นเฉียบที่ไม่ว่าผู้ใดเห็นต่างต้องตื่นตระหนกทั้งสิ้น
ซูเหลียนอวิ้นยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้านข้างโดยไม่เปิดปากเอ่ยอะไร
เพราะเมื่อดูเหตุการณ์จนถึงตรงนี้ หากนางยังดูไม่ออกว่าหมอหลวงสวีผู้นี้ตั้งใจจะลงโทษหยางอวี้หลิน นางก็คงโง่เต็มที ทว่าเหตุใดหมอหลวงสวีถึงได้ชิงลงมือกะทันหันเช่นนี้ เขาเองก็ดูไม่ใช่พวกตาแก่จอมเจ้าเล่ห์แต่อย่างใด
หมอหลวงสวีทำการเปรียบเทียบขนาดเข็มแต่ละเล่ม สุดท้ายจึงเลือกเข็มเล่มที่ใหญ่ที่สุดขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อคุณหนูรองหยางเป็นลมไปแล้ว ตอนนี้คงไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร เช่นนั้นก็ใช้เล่มนี้ก็แล้วกัน” ระหว่างพูดก็ยื่นเข็มเล่มนั้นเข้าไปใกล้ๆ หยางอวี้หลินมากขึ้นเรื่อยๆ
หยางอวี้หลินที่กำลังหรี่ตาแอบมองเหตุการณ์อยู่ นางเห็นชายชราเคราขาวผู้หนึ่งยื่นเข็มในมือเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“กรี๊ด! เจ้าออกไปห่างๆ ข้าเดี๋ยวนี้!”
เดิมทีหยางอวี้หลินตั้งใจว่าจะหลับตากัดฟันทนให้ผ่านพ้นไป แต่ช่วยไม่ได้ที่เข็มเล่มนั้นมันน่าสยดสยองเกินไป สุดท้ายนางจึงอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงดังออกมา จากนั้นจึงลุกขึ้นคลานไปอีกด้านแล้วพูดขึ้นว่า “ออกไปเดี๋ยวนี้นะตาเฒ่า! ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าไม่ต้องเข้ามา!”
ตอนนี้คนที่อยู่ด้านล่างได้โยนบรรยากาศความตึงเครียดเมื่อครู่ทิ้งไปแล้ว เพราะได้เห็นภาพอันน่าขบขันของหยางอวี้หลินแทนที่ ทุกคนต่างยกมือขึ้นปิดปากแล้วแอบหัวเราะ ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีกต่อไป ที่แท้แล้วหยางอวี้หลินผู้นี้แกล้งเป็นลมนั่นเอง! จากนั้นจึงมีสายตาหลากหลายอารมณ์จ้องมองไปยัง หันหงไท่ที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เมื่อเหตุการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้
หมอหลวงสวีเมื่อได้ยินหยางอวี้หลินเอ่ยวาจาเช่นนี้กลับมิได้มีท่าทีขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนใจแล้วพูดต่อไปว่า “หากเป็นเช่นนี้ เข็มของข้าก็คงเตรียมไว้เสียเปล่าแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่ง น่าเสียดายจริงๆ”
“น่าเสียดายตรงไหนหรือเจ้าคะ หมอหลวงสวีถ่อมตัวเกินไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นปรบมือแล้วก้าวไปข้างหน้า “วันนี้มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ จึงได้รู้ว่าหมอหลวงสวีก็คือหวาถัว[1] ที่ยังมีชีวิต เพราะเพียงเข็มเล่มนี้เปล่งประกายขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ได้ปักลงไปบนร่าง แต่คนผู้นี้กลับสามารถฟื้นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ศาสตร์การรักษาเช่นนี้น่านับถือยิ่งเจ้าค่ะ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นพูดจบจึงยกมือขึ้นประสานคารวะไปทางหมอหลวงสวีอย่างยอมรับ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือ
“คุณหนูซูล้อข้าเล่นแล้ว” หมอหลวงสวียิ้มแย้มเอ่ยขึ้น “เป็นแค่ศาสตร์การรักษาที่ไม่คู่ควรต่อการเอ่ยถึงก็เท่านั้น จะน้อมรับฉายาหวาถัวที่ยังมีชีวิตได้อย่างไรกัน” จากนั้นจึงหมุนตัวแล้วหันไปพูดกับหยางอวี้หลินที่ห่อตัวด้วยความหวาดกลัวอยู่ไกลๆ “มิทราบว่าตอนนี้คุณหนูรองหยางยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่หรือไม่ หากยังคงรู้สึกอยู่ โปรดบอกให้ข้ารู้เถิด”
ตอนนี้หยางอวี้หลินกำลังขบริมฝีปากล่างของตัวเองไว้แน่น พยายามไม่ให้เสียงของตัวเองหลุดรอดออกไป เพราะเกรงว่าหากเปิดปาก นางจะแผดเสียงตะโกนด่าออกไปอย่างห้ามไม่อยู่ ในแววตาของนางตอนนี้บ่งบอกว่าอยากจะฉีกซูเหลียนอวิ้นออกเป็นชิ้นๆ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ หยางอวี้หลินเริ่มได้สติกลับคืนมา จึงเอ่ยขึ้นด้วยริมฝีปากที่สั่นเครือ “ขอบคุณหมอหลวงสวี ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ”
หันหงไท่ที่อยู่ด้านหลังไม่ใส่ใจเสียงหัวเราะเยาะ สีหน้ากังวลหรือแววตาเวทนาของผู้คนรอบด้าน สายตาของเขาจับจ้องไปยังละครฉากนั้นด้านบนเวทีตลอดเวลา ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกของเขายิ่งทวีความเจ็บปวดยิ่งขึ้น
ที่แท้แล้ว ความหมายที่นางอยากจะบอกเขาคือละครฉากนี้เองหรือ…
จริงอย่างที่เขาว่ากันไว้ว่า สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
“ในเมื่อคุณหนูหยางไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นเรามานับแต้มหมากที่เดินค้างไว้เมื่อครู่ดีหรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่หวาดหวั่นสิ่งใด “คุณหนูหยางอยากจะแข่งต่อหรือจะหยุดเพียงเท่านี้?” ไม่ว่าจะเลือกอะไรข้าก็จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี!”
หยางอวี้หลินได้ยินน้ำเสียงหม่นหมองของซูเหลียนอวิ้นดังนั้น ร่างของนางพลันสั่นระริก
ก่อนหน้านี้ซูเหลียนอวิ้นยังสงวนท่าทีและไม่เผยความรู้สึกของตนเองออกมา แต่ตอนนี้นางกลับมีทีท่าแข็งกร้าวไร้ความยำเกรง ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำให้นางหวาดกลัวได้อีกแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าในตอนนี้นางจะยอมวางมือหรือไม่
“อวิ้นเอ๋อร์” เสียงเรียกของเกาอู่เตี๋ยดังขึ้นมาจากบนพระที่นั่ง “เจ้ามาตรงนี้ก่อน” จากนั้นจึงกวักมือเรียกขันทีผู้น้อยที่นับคะแนนไปเมื่อครู่มาด้วย “เจ้ารู้ผลแพ้ชนะแล้วหรือไม่ ผลคะแนนเป็นอย่างไรบ้าง”
สายตาของเกาอู่เตี๋ยมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่กำลังเดินช้าๆ เข้ามาหาตน เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากันเกาอู่เตี๋ยจึงจับมือขวาของซูเหลียนอวิ้นมากุมไว้ และสิ่งที่นางสัมผัสได้คือมือของซูเหลียนอวิ้นเย็นเฉียบราวกับโรงเก็บน้ำแข็งในวันที่อากาศหนาวเหน็บที่สุด หนาวเหน็บเข้ากระดูก ทั้งๆ ที่ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูที่อากาศร้อนอบอ้าว แต่ฝ่ามือกลับเย็นเฉียบถึงเพียงนี้ นางคงจะ…
เกาอู่เตี๋ยแอบถอนหายใจอยู่ในอก เด็กคนนี้…คงเหนื่อยมากแล้ว
ขันทีผู้น้อยเมื่อถูกเรียกชื่อก็มิกล้าโอ้เอ้ และหลังจากที่ได้ยินเกาอู่เตี๋ยตรัสถามคำถามนี้ก็รีบตอบทันที “กราบทูลฮองเฮา ผลของการประลองครั้งนี้…คุณหนูซูเป็นฝ่ายชนะคุณหนูรองหยางหนึ่งแต้มพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นกล่าวรายงานอย่างตะกุกตะกัก เพราะใครเลยจะคิดว่าผู้ที่เป็นฝ่ายชนะจะเป็นซูเหลียนอวิ้น? แต่เขานับคะแนนทวนอยู่หลายรอบแล้ว ผลคะแนนออกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ดังนั้นผลแพ้ชนะครั้งนี้เขานับไม่ผิดอย่างแน่นอน
อีกด้านหนึ่งหยางอวี้หลิงหลับตาของนางลงทั้งสองข้าง สุดท้ายผลการประลองก็ถูกประกาศออกมาจนได้ หลังจากนั้นสักพักนางจึงขยับเข้าไปใกล้ลี่หยวนตี้แล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อตัดสินผลแพ้ชนะเรียบร้อยแล้ว ให้น้องสาวของหม่อมฉันลงไปพักผ่อนได้แล้วหรือไม่เพคะ เพราะเมื่อครู่หมอหลวงสวีบอกว่าเกือบจะเป็นอันตรายต่อชีพจรของน้องสาวหม่อมฉัน”
ลี่หยวนตี้หันไปมองอย่างไร้อารมณ์ด้วยสายตาหมางเมิน “เจ้าพูดมีเหตุผล ทหาร พาคุณหนูรองหยางลงไปพักเถิด”
ตอนที่หยางอวี้หลิงเฝ้ามองน้องสาวของตนถูกพยุงลงไปจากสนามนั้น ในอกของนางรู้สึกราวกับโดนมีดคมๆ กรีด เป็นนางที่พลาดเอง สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายเดินตามเกมของซูเหลียนอวิ้น!
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังคงยืนอยู่ด้านข้างเกาอู่เตี๋ยดังเดิม มือขวาของนางก็ยังคงถูกเกาอู่เตี๋ยกุมไว้แน่น ด้วยเหตุนี้เองมือที่เย็นเฉียบของนางจึงเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้าง
“ที่แท้คุณหนูซูก็ซ่อนคมไว้ในฝัก” เมื่อหยางอวี้หลิงเห็นท่าทีใกล้ชิดของนางกับเกาอู่เตี๋ยเช่นนั้น ในใจยิ่งบังเกิดความพลุ่งพล่าน “โชคดีตอนที่คุณหนูซูบอกว่าตนไม่มีความสามารถใดเลย ทำให้หม่อมฉันเชื่ออย่างสนิทใจได้ หากมีความสามารถถึงเพียงนี้ แต่ยังกล่าวว่าตนไร้ความสามารถ อย่างนั้นแล้วผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้จะนับว่ามีความสามารถได้อย่างไร”
——
[1] หวาถัว หมายถึง หมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก