ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 59 รังเกียจ
หันชิงอวี่เห็นว่าซูเหลียนอวิ้นมีทีท่าว่าจะกลับไปมีอาการเหมือนเมื่อตอนงานเลี้ยงฉลองวสันตฤดูอีกครั้ง
นั่นคือมีขนพองขึ้นทั่วร่าง
เขาก็ไม่รู้ว่าควรเอ่ยสิ่งใดต่อไปดี จึงยกมือลูบคางแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คำพูดของคุณหนูซูนั้นมีเหตุผลยิ่ง เพราะหากเป็นข้า ถ้าต้องเห็นหน้าท่านพี่ข้าบ่อยๆ ข้าก็คงรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวเช่นกัน โดยเฉพาะกับคุณหนูซูที่มีร่างกายอ่อนแออยู่แล้วด้วย ถูกหรือไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้ามิขอรบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว คุณหนูซูหากมีวาสนาโอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่” เมื่อเอ่ยจบก็ประสานมือคารวะพวกเขาทั้งสองคน
“มิต้องหรอก ครั้งหน้าก็คงไม่มีธุระอันใดให้ต้องพบกันอีก” ซูเหลียนอวิ้นลากซูมั่วเยี่ยมายังข้างกายแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา และในช่วงเวลาที่ทั้งสองเดินเฉียดใกล้กันนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ชาตินี้ข้ามิขอพบหน้าพวกท่านอีก”
แน่นอนว่าต้วนเฉินเซวียนย่อมได้ยินคำพูดนี้ของนางด้วยเช่นกัน ร่างกายของเขาพลันแข็งขึ้น ทว่าอีกครู่เดียวร่างกายก็เริ่มผ่อนคลายลงแล้วกลับคืนสู่ท่าทางไม่ใส่ใจต่อเรื่องราวใดอีกครั้ง
ชาตินี้มิขอพบเจออีก? อยู่ในเมืองเดียวกันจะมีเหตุผลใดที่จะไม่พบเจอกันอีก? อาจกล่าวได้ว่า ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมต้องมีโอกาสได้พบเจอกันอีก มิใช่หรือ
หันชิงอวี่เหม่อมองเงาของพวกเขาทั้งสองคนอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงหันกลับไปพูดว่า “พี่ต้วน เมื่อครู่ท่านได้ยินคำพูดของคุณหนูซูหรือไม่ ข้ามีความรู้สึกว่านางแฝงความหมายบางอย่างอยู่” หันชิงอวี่หยิบพัดจากในอกออกมาบังใบหน้าของตนเอาไว้แล้วขำเบาๆ
“ย่อมต้องมีความหมายแฝงแน่นอนอยู่แล้ว” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้น “วันนี้พี่ชายใหญ่ของเจ้าทั้งไม่ให้เกียรติและใส่ร้ายนางเช่นนั้น นางย่อมไม่อยากเห็นหน้าน้องชายอย่างเจ้าแน่นอน” เมื่อเอ่ยจบก็สาวเท้าเดินจากไปโดยทิ้งหันชิงอวี่ที่มีสีหน้าประหลาดใจเอาไว้
“เอ๊ะ ไม่ใช่สิ!” หันชิงอวี่วิ่งไล่ตามไป “พี่ต้วน ท่านอย่าแสร้งหลอกข้าว่าไม่เข้าใจเลย ที่ท่านบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าข้านั้นยังพอเข้าใจได้ แต่น้ำเสียงของคุณหนูซูในตอนท้ายเย็นชาเสียขนาดนั้น จะต้องมิได้เกิดจากเรื่องเล็กๆ เช่นนี้เป็นเหตุแน่นอน แต่ต้องเป็นความรู้สึกที่อัดอั้นมานาน พอสะสมนานเข้าจึงออกมาเป็นคำพูดเช่นนี้
ข้ารู้สึกว่าที่นางมีความหมายแฝง สาเหตุนั้นมาจากท่าน พี่ต้วนท่านมีปัญหาหัวใจเยอะไม่ใช่เล่นเลย” ระหว่างพูด หันชิงอวี่ก็เอาไหล่กระแซะต้วนเฉินเซวียนที่อยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยต่อ “ว่าแต่ว่าตอนนี้ท่านมีความรู้สึกอย่างไรกับคุณหนูซู เกลียดนางขนาดนั้นจริงหรือ”
ไม่ว่าอย่างไรหันชิงอวี่ก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนรู้ใจของต้วนเฉินเซวียนในจำนวนอันน้อยนิด การเปลี่ยนแปลงของต้วนเฉินเซวียนในช่วงนี้ เขาย่อมต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าต้วนเฉินเซวียนกำลังคิดอะไรอยู่
เพราะในตอนแรกมีท่าทีรังเกียจนางเสียขนาดนั้น ทว่าท่าทางในตอนนี้กลับไม่ได้เป็นเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว
“ไม่ได้คิดอะไรเหมือนตอนแรกนั่นละ” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้นพลางสาวเท้าไปเรื่อยๆ
“เหมือนตอนแรก?” หันชิงอวี่หุบพัดแล้วนำมาเคาะเบาๆ ที่ศีรษะตน “เช่นนั้นก็ยังรังเกียจนางอยู่? แต่เพราะอะไรกันเล่า พี่ต้วนข้าไม่เข้าใจจริงๆ คุณหนูซูดวงหน้างดงาม ตระกูลก็ดี ความคิดอ่าน…แต่ที่เห็นนั่นเป็นเพราะนางกำลังจะคิดบัญชีคืนก็เท่านั้น ดังนั้นจึงคิดว่านางโหดเ**้ยมไม่ได้ เพราะถือเป็นการป้องกันตัวเองเท่านั้น เช่นนั้นทำไมท่านต้องรังเกียจนางขนาดนั้นด้วย”
“เจ้าพูดมากไปแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนตอบเสียงแข็ง “ไม่มีเรื่องอื่นจะพูดแล้วหรือ เอาเวลาไปคิดเรื่องที่เป็นงานเป็นการจะดีกว่า”
เมื่อหันชิงอวี่เห็นต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้วขึ้นพร้อมสีหน้าท่าทางหมองหม่นดุจปีศาจ ตอนนั้นจึงเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่พูดแล้วก็ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน พี่ต้วนก็ลองดูแล้วกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ” เอ่ยจบก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับมีน้ำมันถูเท้าเอาไว้
เพียงครู่เดียวเสียงโวยวายรอบกายก็สงบลง ต้วนเฉินเซวียนจึงสงบนิ่งเพื่อครุ่นคิด จากนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้นคล้ายนึกบางสิ่งขึ้นมาได้
ซูเหลียนอวิ้นได้ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายเขาอีกแล้ว กล้าแสดงออก อวดดี สง่างาม ดุร้าย ออดอ้อน ราวกับทุกอย่างนี้คือตัวนาง ทว่าก็คล้ายไม่ใช่นางเลยแม้แต่สิ่งเดียว
เมื่อก่อนต้วนเฉินเซวียนไม่เคยรู้มาก่อนว่านางเป็นคนที่มีบุคลิกหลากหลาย เพราะซูเหลียนอวิ้นคนเดิมมีแต่จะขี้อายเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเขา แต่ความเป็นนางเหล่านั้นได้เริ่มหายไปตั้งแต่เมื่อไรกันแน่
เหลือเพียงความว่างเปล่าและสายตาอันเย็นชาทิ้งไว้ให้เขา?
ต้วนเฉินเซวียนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้นที่มีต่อเขานั้น เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน อาจเรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่มากมายและท่วมท้น แต่เหตุใดความรู้สึกที่เข้มข้นรุนแรงเช่นนี้กลับเลือนหายไปภายในระยะเวลาอันสั้น?
มันไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ
“หลิวจือ” ต้วนเฉินเซวียนตะโกนเรียก “เจ้าจงไปสืบให้ข้าทีว่า ช่วงนี้ซูเหลียนอวิ้นได้พบเจอใครบ้าง แล้วติดตามด้วยว่าช่วงนี้นางใช้ชีวิตอย่างไร”
ทันทีที่หลิวจือได้ยินต้วนเฉินเซวียนสั่งการเช่นนั้น สติก็พลันกลับมารีบตอบรับอย่างกระตือรือร้น “ขอรับ นายท่าน ข้าน้อยจะรีบกลับมารายงานทันทีเมื่อทราบเรื่อง”
ในที่สุดนายท่านก็เริ่มรู้ใจตัวเองแล้ว! ถึงขนาดเป็นฝ่ายเริ่มให้คนไปสืบเรื่องราวของแม่นางคนหนึ่งเลยทีเดียว ได้เลยๆ หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปคราวหน้าเวลาที่ฮูหยินมาถาม ข้าน้อยจะได้มีคำตอบให้เสียที!
นายท่านชอบสตรี! ทั้งยังชอบด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเสียด้วย!
ต้วนเฉินเซวียนเห็นเขามีท่าทางตื่นเต้นเช่นนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก “ข้าเพียงให้เจ้าไปสืบเรื่องเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ต้องทำ จำไว้ด้วยว่าอย่าให้คุณหนูซูรู้ตัว หากนางรู้ตัวเข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาอีก”
“นายท่านคิดมากเกินไปแล้ว จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างแน่นอนขอรับ” หลิวจือตบอกตนเพื่อยืนยันให้รู้ว่าจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
ต้วนเฉินเซวียนยังคงรู้สึกแคลงใจอยู่ แต่ไม่รู้ว่าควรจะถามอย่างไรดี จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้ามีแผนในใจก็ดีแล้ว”
‘มีแผน! ในใจของข้าน้อยนั้นมีแผนมากมายเลยทีเดียว! และภารกิจนี้จะต้องสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน!’
…
บนรถม้า
“ท่านพี่อีกประเดี๋ยวพอกลับถึงเรือน ท่านพี่อย่านำเรื่องนี้ไปบอกท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่ได้หรือไม่เจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ท่านย่าอายุมากแล้ว หลานอย่างพวกเรามิอาจแบ่งเบาความกังวลใจของท่านได้ แต่ก็อย่าได้เพิ่มความรำคาญใจให้ท่านเลย ท่านพี่ว่าถูกหรือไม่เจ้าคะ”
หลีมู่เมื่อเห็นคุณหนูของตนมีทีท่าน่าเวทนา ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปดี แต่ในครั้งนี้นางจะไม่ช่วยพูดให้คุณหนูอย่างเด็ดขาด! ครั้งนี้คุณหนูเลือดร้อนมากเกินไป ถึงขนาดไม่ยอมให้นางแอบไปตามคุณชายใหญ่กลับมา! หากในตอนนั้นตามคุณชายใหญ่มาได้ อย่างไรก็มีคนเป็นพวกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน แล้วเหตุใดจะต้องเป็นทหารรับศึกอยู่เพียงผู้เดียวด้วย ถึงอย่างไรในครั้งนี้นางก็อยู่ข้างคุณชายใหญ่แน่นอน!
“ไม่ได้” ซูมั่วเยี่ยที่กำลังปิดตาทำสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้เจ้าหุนหันพลันแล่นเกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้เจ้าได้รับการตำหนิจึงจะถูก อีกทั้งต่อให้ข้าไม่พูด เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะไม่รู้เชียวหรือ เจ้าอย่าได้คิดตื้นๆ ไปหน่อยเลย”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ยิ่งสลด “เช่นนั้นท่านพี่โบยข้าสักทีสองที หรือจะเตะข้าสักครั้งสองครั้งก็ได้ ขอแค่ท่านอย่านำเรื่องนี้ไปถ่ายทอดให้พวกท่านรู้ก็พอเจ้าค่ะ บางทีพวกท่านอาจจะไม่รู้ก็ได้…” หากซูปั๋วชวนรู้เรื่องราววันนี้ที่นางหุนหันพลันแล่น นางเองก็ไม่รู้ว่าจะโดนบ่นอะไรบ้าง! หรือว่าจะถูกลงโทษสั่งกักบริเวณนางให้อยู่แต่ในจวนสักเดือนหนึ่ง? และหากรู้ว่าวันนี้นางเป็นไข้แดดอีก ก็คงจะคะยั้นคะยอให้นางกินบรรดาอาหารบำรุงร่างกายอีกหลากหลายชนิด!
พระเจ้า นางกินของพวกนั้นจนกลืนไม่ลงแล้ว ปล่อยนางไปเถิด ครั้งนี้นางผิดไปแล้ว…