ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 60 คาดเดา
“ข้าเป็นบุรุษจะกล้าลงมือกับสตรีได้อย่างไร! แถมเจ้ายังเป็นน้องสาวของข้าด้วย” ซูมั่วเยี่ยไม่ใส่ใจคำพูดของซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยขึ้น “และตอนนี้ข้าหลับตาอยู่ ดังนั้นข้าจึงไม่เห็นเจ้า เจ้าไม่ต้องพยายามบีบน้ำตาแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นเบะปากแล้วเช็ดน้ำตาสองหยดที่ใช้ความพยายามอย่างมากในการบีบออกมาด้วยแววตาผิดหวัง
“คุณหนู คุณชายใหญ่เจ้าคะ ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่เลิกม่านขึ้น
ซูมั่วเยี่ยลืมตาขึ้น “อือ ถึงเรือนแล้ว ไปกันเถิด”
“เจ้าค่ะ”
…
ณ เรือนฉืออัน
“หลานอวิ้นกับพี่ชายเยี่ยกลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง งานฉลองวสันตฤดูสนุกหรือไม่” หวังฉือหวนเดิมทีที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเบาะรองนุ่มๆ เมื่อเห็นหลานทั้งสองเข้ามาก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง “อย่าเป็นไข้แดดก็พอ ย่าของพวกเจ้าดูแลตัวเองไม่ดีเลยเป็นไข้แดดจนได้ เฮ้อ พวกเจ้าทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำถามเช่นนี้ ถ้วยน้ำชาที่ยกขึ้นมาพลันชะงัก “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ งานเลี้ยงสนุกดี ทั้งวันนี้ท่านพี่ยังประลองฝีมือด้วย ใช่ไหมเจ้าคะท่านพี่ ฝีมือท่านพี่เยี่ยมมากเลย”
“อืม…โดยรวมแล้วสนุกดี ท่านย่าอย่าได้กังวล” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้าเรียบๆ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
หวังฉือหวนถึงอย่างไรอายุก็มากแล้ว แม้ปกติจะดูสุขภาพแข็งแรง ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับอากาศร้อนเช่นนี้ร่างกายก็เริ่มแสดงอาการไม่ดีออกมาเช่นกัน
“เอาล่ะ ดูท่าพวกเจ้าทั้งสองแล้ว พอเข้าจวนคงตรงดิ่งมาหาข้าที่นี่เลย รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าเองก็อยากนอนสักหน่อยเหมือนกัน” หวังฉือหวนเอ่ยขึ้นพลางบีบไหล่ตัวเอง
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นรอให้ท่านย่าพักผ่อนดีแล้ว ข้ากับท่านพี่จะแวะมาหาใหม่ ตอนนี้หลานกับท่านพี่ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้า เพราะนางคิดว่ายิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้ซูมั่วเยี่ยบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานฉลองวันนี้มากขึ้นเท่านั้น แต่ตอนนี้หวางฉือหวนเอ่ยปากให้พวกเขากลับไปพักได้แล้ว นางย่อมทำให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง
ระหว่างทางซูเหลียนอวิ้นลอบสังเกตท่าทางของซูมั่วเยี่ยที่อยู่ด้านข้างตน
“ท่านพี่เจ้าคะ อีกประเดี๋ยวหากท่านพ่อกลับมา ท่านพี่ก็ทำแบบเดิมคือไม่ต้องปริปากถึงเรื่องนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ” นางกะพริบตาปริบๆ
“จะบอกให้ว่า” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยปากเสียงแข็ง “ท่านย่าสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง แต่ท่านพ่อร่างกายยังแข็งแกร่งนัก เจ้ามิต้องกังวลหรอกว่าร่างกายของท่านพ่อจะเป็นอะไรไป”
ความหมายก็คือยืนยันจะพูดเรื่องนี้อีก? อีกประการหนึ่งสิ่งที่นางกังวลไม่ใช่เรื่องสุขภาพของท่านพ่อ สุขภาพของซูปั๋วชวนเป็นอย่างไร นางย่อมรู้อยู่แก่ใจ!
ซูเหลียนอวิ้นคิดจะเอ่ยต่อ ทว่าซูมั่วเยี่ยกลับเอ่ยแทรกขึ้น “ถึงแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด แล้วอย่าลืมให้บรรดาหญิงรับใช้ของเจ้าหาของเย็นๆ มาให้ด้วยล่ะ อย่าให้ร่างกายต้องทนร้อนอีก ต้มถั่วเขียวกินให้มากหน่อย ร่างกายนี้เป็นของเจ้าเองนะ”
“อืม ข้ารู้แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน
เฮ้อ จนถึงตอนนี้ท่านพี่ก็ยังคงคิดแทนนางอยู่ ในเมื่อซูมั่วเยี่ยพูดกับนางอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ นางจะยังมีเหตุผลอะไรไปพูดกวนใจเขาอีก
“ท่านพี่ก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะเจ้าคะ อย่าหักโหมงานจนเกินไป…”
“ตกลง เจ้ากลับไปเถิด” ซูมั่วเยี่ยยิ้มพลางลูบหัวนางเบาๆ
…
ณ พระราชวังลิ่งอัน
“นังแพศยาซูเหลียนอวิ้น! เจ้าคอยดูข้าเถิด!” ภายในพระราชวัง เสียงโกรธเกรี้ยวของหยางอวี้หลิงแผดสนั่น ตามมาด้วยเสียงถ้วยชามแตกกระจาย
บรรดาคนรับใช้ไม่มีใครกล้าส่งเสียง ทำได้แค่แสร้งไม่รู้เห็นสิ่งใด เพราะในช่วงเวลาเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดอยากเป็นผู้รับเคราะห์กรรม
“พระสนม! พักผ่อนเถิดเพคะ หากโมโหจนไม่สบายขึ้นมา จะทำอย่างไร!” ตอนสุดท้ายที่หยางอวี้หลิงขว้างปาข้าวของจนเรี่ยวแรงแทบจะหมดแล้วนั้น หลิงเซียงผู้เป็นสาวใช้ส่วนตัวของนางจึงเอ่ยขึ้น “พระสนม นั่งก่อนเถิดเพคะ”
“อืม ข้ามิเป็นไร” หยางอวี้หลิงถูกหลิงเซียงประคองเดินช้าๆไปยังเก้าอี้ แต่เมื่อนางคิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ ไฟโทสะก็กลับลุกโชนขึ้นในอกของนางอีกระลอกหนึ่ง
“หลิงเซียง เจ้าว่าฝ่าบาททรงพิโรธข้าแล้วใช่หรือไม่” เวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่ง หยางอวี้หลิงจึงเอ่ยปากถามขึ้นแล้วส่งเสียงสะอึกสะอื้นตามมา “แต่ไหนแต่ไรฝ่าบาทไม่เคยปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ วันนี้พระองค์ทิ้งข้าไว้แล้วเดินจากไปเพียงลำพัง หลายปีที่ผ่านมานี้พระองค์เคยทำแบบนี้ด้วยหรือ? พระองค์ทรงพิโรธข้าแล้ว…”
หลิงเซียงมองร่างอันบอบบางของคุณหนูที่กำลังโกรธเกรี้ยวจากทางด้านหลังแล้วถอนใจ
กฎต้องห้ามของวังหลวงคือห้ามมีความรัก ทว่า…
“พระสนม อย่าคิดมากไปเลยเพคะ” หลิงเซียงค่อยๆ ประคองคุณหนูที่กำลังนั่งซุกหน้าอยู่ในอกของตนให้ออกห่างพลางเอ่ย “ในใจของฝ่าบาทจะต้องมีพระสนมอยู่อย่างแน่นอน แต่เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย พระองค์จึงต้องปฏิบัติอย่างเป็นธรรมเพราะพระองค์คือฮ่องเต้นะเพคะ หากฝ่าบาททรงไม่สนพระทัยพระสนมแล้วจริงๆ แล้วจะส่งคนเอาของว่างเหล่านี้มาให้พระสนมทำไมกันเพคะ”
“มากินของว่างก่อนเถิดเพคะ อีกประเดี๋ยวหากฝ่าบาทมาที่นี่แล้วเห็นพระสนมเป็นแบบนี้ คงไม่น่าดูสักเท่าไรนะเพคะ” หลิงเซียงเอ่ยขึ้นพลางปล่อยมือออกจากนางช้าๆ จากนั้นจึงถอยออกไปด้านข้างเพื่อยกของว่างที่เตรียมพร้อมไว้แล้วเข้ามา “จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าพระสนมยังไม่ค่อยได้กินอะไรเลยนะเพคะ กินให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่เถิดเพคะ”
หยางอวี้หลิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับใบหน้า อันที่จริงนางไม่ได้กินอะไรในงานเลี้ยงเลยแม้แต่คำเดียว เพราะในตอนนั้นนางจะเอาอารมณ์และความอยากอาหารมาจากที่ใดเล่า
“นี่เป็นขนมเปี๊ยะกุหลาบที่พระสนมชอบกินที่สุดเพคะ” หลิงเซียงส่งจานให้อย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงถอยกลับไปด้านข้าง
“อืม” หยางอวี้หลิงค่อยๆ พยักหน้า แล้วเอามือหยิบของว่างขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ทว่าขณะที่กำลังจะเอาเข้าปากอยู่นั้นกลับได้กลิ่นอันรุนแรงของขนมเปี๊ยะกุหลาบชิ้นนั้นเข้า
“แหวะ! แค็กๆ แค็กๆ”
“พระสนม! เป็นอะไรไปเพคะ!” หลิงเซียงเห็นดังนั้นเข้าจึงตกใจ “พวกเจ้ามัวแต่ยืนมองกันอยู่นั่นละ! รีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
“พระสนมเพคะ ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ หม่อมฉันจะพยุงไปนอนพักที่เตียงนะเพคะ”
“ไม่เป็นไร” หยางอวี้หลิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแค่ได้กลิ่นขนมเปี๊ยะกุหลาบก็เท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อยู่ๆ ก็คลื่นไส้อยากจะอาเจียนออกมา” หยางอวี้หลิงเอามือทุบอกตนเองพยายามที่จะไล่อาการคลื่นเ**ยนนั้นกลับลงไป
“เอาขนมเปี๊ยะกุหลาบนั่นไปวางไว้ไกลๆ เถิด ข้าได้กลิ่นแล้วรู้สึกอยากจะอาเจียน”
“เพคะ” หลิงเซียงยกของว่างถ้วยนั้นออกไปพลางขบคิดอะไรบางอย่าง
อาการแบบนี้…พระสนมคงมิใช่มีครรภ์แล้ว? ทว่าอาการเช่นนี้คล้ายจะเป็นแบบนั้นมาก หลิงเซียงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันที่ผ่านมา หยางอวี้หลิงก็มีท่าทางกินอะไรไม่ลงเช่นนี้ เดิมทีนางคิดว่าคงเป็นเพราะอากาศร้อนเป็นเหตุ ความเป็นจริงแล้วคงมิใช่ว่า…
“พี่หลิงเซียง หมอหลวงหลี่มาแล้วเจ้าค่ะ” นางในคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“อ้อ รีบพาเข้ามาตรงนี้เถิด” ตอนนั้นหลิงเซียงเริ่มได้สติ “หมอหลวงหลี่ ท่านรีบดูอาการให้พระสนมทีเถิดว่าเป็นอะไรกันแน่ เป็นเพราะร่างกายของคุณหนูหรือว่าเป็นเพราะขนมเปี๊ยะกุหลาบชิ้นนี้”