ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 61 ตั้งครรภ์
“หมอหลวงหลี่” ตอนนี้หยางอวี้หลิงนอนอยู่บนเตียง นางมีสีหน้าหม่นหมอง “ท่านช่วยตรวจให้ข้าที ข้า…แหวะ แค็กๆๆ” หยางอวี้หลิงพูดได้เพียงครึ่งประโยคก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอีก
“พระสนมรอประเดี๋ยว” หมอหลวงหลี่ถอยหลังไปครึ่งก้าว “พระสนมโปรดส่งมือให้กระหม่อม กระหม่อมจะได้ตรวจชีพจรได้สะดวกพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่เอ่ยขึ้นพลางหยิบอุปกรณ์ทั้งหมดในกล่องยาออกมาอย่างระมัดระวัง
“อืม รบกวนหมอหลวงหลี่ด้วย”
หมอหลวงหลี่หลับตาลง เขาสงบนิ่งเพื่อจับการเต้นของชีพจรที่ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์ จากนั้นคิ้วของเขาจึงค่อยๆ เลิกขึ้น
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อเขายืนยันถึงบางสิ่งได้แล้วจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “รบกวนแม่นางหลิงเซียงส่งขนมเปี๊ยะกุหลาบจานนั้นมาให้ข้าตรวจดูหน่อยเถิด”
หลิงเซียงไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใด เพราะท่าทางของหมอหลวงหลี่เคร่งเครียด พลอยทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ หายใจไม่ทั่วท้องไปด้วย
“หมอหลวงหลี่ นี่เจ้าค่ะ” หลิงเซียงเอ่ยขึ้นพลางยื่นจานที่อยู่ในมือของตนให้อย่างระมัดระวัง
หมอหลวงหยิบขนมเปี๊ยะกุหลาบขึ้นมาดมหนึ่งชิ้น จากนั้นจึงหยิบเข็มเล่มหนึ่งขึ้นมาลองจิ้มไปที่ขนม จากนั้นจึงถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ร่างกายพระสนมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่เป็นเพราะกลีบดอกไม้ที่อยู่ในขนมเปี๊ยะกุหลาบไม่สดใหม่เท่านั้น ตอนนี้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ของเหล่านี้ยากต่อการเก็บรักษา คราวหน้าขอให้พระสนมเก็บและปรุงอาหารวันต่อวัน หากทำได้ก็จะไม่เกิดอาการเช่นนี้อีก”
“อ้อ เช่นนี้นี่เอง ข้าทราบแล้ว” หยางอวี้หลิงพยักหน้ารับเงียบๆ “หลิงเซียงส่งหมอหลวงหลี่แทนข้าด้วย”
“เพคะ หมอหลวงหลี่เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
“ทำให้แม่นางหลิงเซียงลำบากแล้ว”
…
ณ พระตำหนักหย่างซิน
ตอนนี้ลี่หยวนตี้กำลังทรงพระอักษร ทว่าเนื่องด้วยเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในงานฉลองวสันตฤดู ในพระทัยจึงว้าวุ่นตลอดมาราวกับว่ากำลังจะเกิดเหตุบางอย่างขึ้น แต่กลับมิอาจล่วงรู้ได้จึงทำให้อึดอัดใจยิ่งนัก
“ฝ่าบาท” ตอนนั้นเองขันทีหลี่อันก็เดินเข้ามาแล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท หมอหลวงหลี่ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เชิญเข้ามาเถิด” ลี่หยวนตี้ทอดพระเนตรตัวอักษรที่เขียนได้เพียงครึ่งตัวบนกระดาษเซวียนจื่อ[1] ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้น
อีกครู่หนึ่งค่อยกลับมาฝึกต่อก็แล้วกัน
“ฝ่าบาท” หมอหลวงหลี่คารวะแล้วเอ่ยขึ้น “กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ลี่หยวนตี้โบกมืออย่างเชื่องช้า ทุกคนจึงทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร แล้วถอยออกไปทีละคน สุดท้ายในพระตำหนักจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน ลี่หยวนตี้จึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หมอหลวงหลี่มาหาข้า มีเรื่องสำคัญใดหรือ”
“กราบทูลฝ่าบาท พระสนมหยาง…นางตั้งพระครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อหมอหลวงหลี่เอ่ยจบศีรษะของเขาคล้ายก้มต่ำลงอีก ลมหายใจของเขาก็ชะงักไปชั่วครู่ด้วยเช่นกัน
พระตำหนักเงียบสงัดไร้สรรพเสียง เสียงใดๆ ที่ดังขึ้นล้วนถูกขยายให้ดังขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่าตัว ตอนนี้เสียงที่ดังขึ้นล้วนมาจากด้านนอกพระตำหนักที่พอจะคืนชีวิตชีวากลับมาได้บ้าง
เวลาเนิ่นนานผ่านไป ลี่หยวนตี้จึงตรัสขึ้นช้าๆ ว่า “ตั้งพระครรภ์แล้วหรือ มีผู้ใดอีกที่รู้เรื่องนี้” นิ้วของลี่หยวนตี้เคาะเบาๆ อยู่บนตัวอักษรครึ่งตัวนั้น น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความกระตือรือร้นใด
“กราบทูลฝ่าบาท มิมีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่เอ่ยขึ้นโดยใช้โอกาสตอนนี้เช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นบนหน้าผากของตัวเอง “เมื่อกระหม่อมออกจากพระราชวังลิ่งอันมาก็ตรงมาหาฝ่าบาทที่นี่ กระหม่อมกราบทูลพระสนมหยางว่า อาการที่เกิดขึ้นเกิดจากอาหารไม่สดใหม่ ดังนั้นตอนนี้ผู้ที่ทราบเรื่องนี้มีเพียงกระหม่อมและฝ่าบาทเท่านั้นพะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นข้าขอถามหมอหลวงหลี่ว่า เด็กมีอายุกี่เดือนแล้ว”
“ยังไม่เต็มสามเดือนพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนี้เอง” ลี่หยวนตี้เหม่อมองจากบนเก้าอี้แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าฉงน “ดังนั้นตอนนี้เด็กในครรภ์คงยังไม่แข็งแรงใช่หรือไม่หมอหลวงหลี่”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หมอหลวงหลี่รู้สึกได้ถึงความเคร่งขรึมของโอรสสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้าตน ตอนนั้นเขาจึงแอบรู้สึกเสียใจ หากรู้เสียแต่แรกวันนี้คงเชิญพระองค์สรงน้ำให้สบายอารมณ์เสียยังจะดีกว่า! จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
“หมอหลวงหลี่ปราดเปรื่องยิ่งนัก” ลี่หยวนตี้เอ่ยขึ้น “ผู้ปราดเปรื่องควรจะทำเช่นไรต่อ คงมิต้องให้ข้าพูดอีก ใช่หรือไม่”
หมอหลวงหลี่ได้ยินน้ำเสียงของลี่หยวนตี้ที่แม้ดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่น้ำเสียงกลับเย็นชาเสียจนทำให้เขาเริ่มตัวสั่น จึงรีบคุกเข่าลงแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมทราบดีว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูดพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ส่วนเด็กผู้นั้น…หมอหลวงหลี่ ในเมื่อช่วงนี้พระสนมหยางร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ข้าจะส่งเจ้าไปเป็นหมอประจำพระสนมหยาง เจ้าว่าดีหรือไม่”
“กระหม่อม กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท” หมอหลวงหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางคุกเข่าทำความเคารพ
“เอาละ หากหมอหลวงหลี่ไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว วันนี้ก็เอาไว้เท่านี้เถิด” เมื่อลี่หยวนตี้เห็นชายชราที่หมอบตัวสั่นอยู่กับพื้น สายตาของเขาจึงฉายแววเคร่งเครียดขึ้น ทว่าเพียงชั่วครู่ก็สามารถผ่อนคลายได้
“กระหม่อมทูลลา”
“ไปเถิด”
หลังจากที่หมอหลวงหลี่ออกไปแล้ว ลี่หยวนตี้ก็นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้เพื่อคิดพิจารณาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด
เมื่อเร็วๆ นี้เขาเพิ่งจะค้นพบจุดอ่อนประการหนึ่งของหยางเกิ่งรั่ง อีกทั้งยังเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก นี่ยังนับเป็นความบังเอิญอีกหรือ หรือว่ามีผู้ใดตั้งใจให้เป็นเช่นนี้
คิดถึงตรงนี้ลี่หยวนตี้พลันลืมตา แล้วลุกขึ้นกวาดสายตาอันน่าหวาดหวั่นไปรอบตัว
‘ช่างเถิด’ ลี่หยวนตี้หัวร่อ ถึงอย่างไรเรื่องราวทั้งหมดก็คงจะปรากฏให้เห็นภายในเร็ววันนี้
…
บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำ สุดท้ายแล้วซูปั๋วชวนก็รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในงานฉลองวสันตฤดู ทว่ากลับมิได้มีท่าทีตำหนิซูเหลียนอวิ้นแต่อย่างใด เป็นเพราะสายตาอันใสซื่อของลูกสาวที่จับจ้องเขาอยู่ ต่อให้ลูกสาวตนก่อเรื่องจริง ก็คงต้องโทษชะตาของคนผู้นั้นที่ไม่ดีเอง ริอาจมามีปัญหากับอวิ้นเอ๋อร์!
จากนั้นก็เป็นการก่นด่าจิตใจอาฆาตริษยาของคนตระกูลหยาง ที่แม้แต่สตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งยังไม่ยอมอภัยให้ เขารู้สึกว่าน่ารังเกียจยิ่ง!
อันเพ่ยอิงพอได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็หัวเสียไม่น้อย แต่ซูปั๋วชวนได้พูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจของนางไปจนหมดแล้ว นางจึงไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยอีก ทำได้เพียงกำชับสาวใช้ของนางให้ทำอาหารประเภทซุปถั่วเขียวไปให้ซูเหลียนอวิ้นทุกวัน
“อวิ้นเอ๋อร์ พ่อคิดว่าจะปล่อยลูกไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว!”
เมื่อซูปั๋วชวนพร่ำบ่นจนสาแก่ใจแล้วก็หันกลับมาพูดว่า “ผู้ที่ติดตามลูกจะไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร แถมวันนี้ยังเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ไม่แน่พวกเขาอาจจะเห็นจุดอ่อนนี้ และเตรียมจะลงมือกับลูกอีกก็ได้! เพราะคนตระกูลหยางเป็นพวกจิตใจโหดร้าย พ่อจะหาผู้มีวรยุทธ์ไว้คอยปกป้องเจ้าสักคน อย่างน้อยพ่อก็วางใจได้”
ซูมั่วเยี่ยได้ยินซูปั๋วชวนกล่าวเช่นนี้จึงพยักหน้ารับ “ท่านพ่อกล่าวได้ถูกต้อง ให้พี่หาองครักษ์คอยดูแลเจ้าสักคนเถิด”
ซูปั๋วชวนเลิกคิ้วขึ้น “เฮ้ย! ไอ้เด็กนี่! เห็นชัดๆ ว่าเป็นความคิดของข้า เหตุใดต้องให้เจ้าเลือกคนให้ด้วย มิได้ เจ้าดูคนเป็นหรือ ให้พ่อเลือกให้น้องเองจะดีกว่า”
สีหน้าของซูมั่วเยี่ยยังคงเรียบเฉย “ท่านพ่อ คนของท่านอย่างน้อยๆ อายุก็ปาไปสามสิบแล้วทั้งนั้น ดูไปช่างไร้ชีวิตชีวา…สู้ให้ข้าเลือกให้น้องหญิงไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยหน้าตาก็ไม่ถึงขั้นน่ากลัวจนทำให้คนรอบข้างต้องตื่นตระหนก”
——
[1] กระดาษเซวียนจื่อ คือ กระดาษที่มีลักษณะขาวเนียน เนื้อละเอียด นุ่มเหนียวทนทาน ดูดซับน้ำหมึกได้ดี เหมาะสำหรับการเขียนพู่กันและวาดรูป