ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 62 ยำเกรง
“เจ้านี่!” ซูปั๋วชวนขมวดคิ้ว “เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ! มาว่าว่าคนของพ่อมีแต่คนแก่ได้อย่างไร ข้าดูแก่? ห๊ะ?” ซูปั๋วชวนได้ยินซูมั่วเยี่ยพูดแบบนี้ย่อมต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง บังอาจมาว่าว่าตนแก่ต่อหน้าลูกสาวสุดที่รักได้อย่างไร เขาจะต้องสั่งสอนเจ้าเด็กนี่สักหน่อย!
“ท่านพ่อ!” ซูมั่วเยี่ยลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อหลบฝ่ามือที่พุ่งเข้าใส่ “เช่นนั้นท่านก็ถามน้องหญิงเลยไม่ดีกว่าหรือ ท่านจะได้รู้ว่าน้องหญิงต้องการคนของท่านหรือว่าต้องการคนของข้า ลองถามน้องดูก็รู้แล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นสบตาคู่นั้น พลันรู้สึกเหมือนว่าตนกำลังนั่งอยู่บนพรมที่มีเข็มทิ่มแทง
“ลูก…ลูกยังไงก็ได้เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
ทว่าหลังจากผ่านไปเพียงครู่เดียวก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนตัดสินใจเลือก “ลูกเลือกคนของท่านพี่ก็แล้วกันเจ้าค่ะ…เพราะว่าคนของท่านพ่อล้วนเป็นผู้ช่วยมือซ้ายและมือขวาของท่าน ให้พวกเขามาดูแลผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างข้าคงจะไม่สมกับความสามารถของพวกเขาเท่าไหร่นัก” พูดจบก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความเขินอาย
แน่นอนว่าความจริงที่ซูเหลียนอวิ้นคิดไม่ใช่แบบนี้!
สิ่งที่พี่ชายพูดนั้นคือความจริง ปกตินางเองใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคนที่ติดตามซูปั๋วชวนกลับมา ทุกคนล้วนเป็นประเภท…ร่างกายสูงใหญ่กำยำบึกบึน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้มีวรยุทธ์ทั้งสิ้น!
ทว่านางเองก็เป็นเพียงดรุณีน้อยนางหนึ่ง! หากจะต้องเลือกคนสักคนมาคอยตามติดอยู่ข้างกายนาง คนที่นางจะต้องเห็นหน้าเขาเป็นประจำ นางก็ขอเลือกคนที่ดูดีหน่อยก็แล้วกัน! ถือว่าเป็นอาหารตาของนางก็ได้
ซูมั่วเยี่ยได้ยินคำตอบดังนั้นก็พยักหน้าอย่างพออกพอใจ จากนั้นก็ยักไหล่ให้ซูปั๋วชวนด้วยทีท่าไร้เดียงสา “ท่านพ่อเห็นแล้วใช่หรือไม่ น้องสาวเลือกคนของข้า ท่านไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว”
“เจ้าจะได้ใจอะไรนักหนา ฮึ!” ซูปั๋วชวนทิ้งตัวนั่งลงทันที หลังจากยกน้ำเทเข้าปากแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้ฟังที่น้องเจ้าพูดหรือว่าเสียดายทหารของข้าต่างหาก และก็เป็นเพราะว่าเป็นห่วงข้า! เจ้าจะได้ใจอะไรนักหนา…”
ซูมั่วเยี่ยผู้เป็นฝ่ายชนะในสนามนี้ย่อมไม่สนใจในคำพูดโต้แย้งใดๆ ของซูปั๋วชวน “ที่ท่านพ่อพูดนั้นถูกต้อง” จากนั้นจึงหันกลับมาเอ่ยว่า “เช่นนั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะ พรุ่งนี้จะพาคนมาให้เจ้า”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้ากลับพร้อมท่านพี่เลยก็แล้วกัน ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ อวิ้นเอ๋อร์ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
หวังฉือหวนได้ยินดังนั้นจึงลืมตาขึ้นแล้วโบกมือพลางเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าระวังตัวกันด้วย ส่วนลูกกับฮูหยินก็กลับกันไปเถิด ตอนนี้ข้าเองก็ง่วงมากแล้ว”
“ขอรับท่านแม่”
“เช่นนั้นวันพรุ่ง ลูกกับอันเพ่ยอิงจะแวะมาเยี่ยมท่านแม่ใหม่”
“ไปเถิดๆ” หวังฉือหวนโบกมือ
…
เมื่อคืนซูเหลียนอวิ้นหลับสนิท ตอนนี้นางยิ้มพลางจ้องมองไปยังแสงตะวันที่ค่อยๆ สาดส่องเข้ามาในห้องของนาง
ดียิ่ง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดไม่ใช่ความฝัน
ทว่าหากเป็นความฝันจริง ได้โปรดให้ความฝันนี้คงอยู่ต่อไปอย่าได้สลายไปก่อนเลย
“คุณหนูเจ้าคะ” เมื่อหลีมู่เปิดม่านขึ้น ภาพที่นางมองเห็นคือซูเหลียนอวิ้นกำลังยิ้มให้แสงตะวันอยู่ “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่บอกว่ากำลังจะพาคนมาให้คุณหนู ตอนนี้คุณหนูรีบไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม พามาสิ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอย่างเบิกบานใจแล้วบิดขี้เกียจทีหนึ่ง “วันนี้อากาศดีจริง!”
“ใช่เจ้าค่ะ” ตอนนี้หลีมู่เองก็กำลังยิ้ม “วันนี้คุณหนูดูอารมณ์ดีนะเจ้าคะ”
“แน่นอน!” ฝันดีที่พอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง จะมีเรื่องใดดีกว่านี้อีก
เมื่อซูเหลียนอวิ้นอาบน้ำเรียบร้อย นางจึงส่องกระจกเงาอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสมากขึ้นกว่าเดิม
ไม่เลวๆ วิธีนั้นได้ผลจริงๆ รอยคล้ำใต้ตาหายไปหมดแล้ว
วันอันสมบูรณ์แบบกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
“เจ้าตื่นแล้วหรือยัง” เสียงของซูมั่วเยี่ยดังขึ้นจากด้านนอกห้อง
“มาแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นรีบเก็บกระจกเงา พลางลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกไปด้านนอก “ท่านพี่ ทำไมถึงมาเร็วเช่นนี้”
“เร็วที่ไหนกันเล่า” ซูมั่วเยี่ยยิ้ม จากนั้นจึงเอียงตัวแล้วผายมือไปยังชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เขามีนามว่าหลานเย่ว์ ต่อไปเขาจะเป็นองครักษ์ประจำตัวของเจ้า”
“หลานเย่ว์…” ซูเหลียนอวิ้นพึมพำชื่อของเขาเบาๆ จากนั้นจึงมองสำรวจผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าตนอย่างละเอียด
หน้าตาไม่เลว แม้จะไม่หล่อเหลาเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่พวกรูปร่างกำยำบึกบึน เป็นใช้ได้ นางพอใจไม่น้อย!
“ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นลูบแขนเสื้อของซูมั่วเยี่ยไปมาเพื่อแสดงออกว่าตนพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว” ซูมั่วเยี่ยเองก็ใช้โอกาสนี้ลูบผมนางเบาๆ เช่นกัน “เช่นนั้นพี่ขอตัวก่อน วันนี้ที่ค่ายทหารยังมีงานคั่งค้าง หากยังมีปัญหาอะไร เจ้ารอให้พี่กลับมาก่อนแล้วค่อยมาหาก็ได้”
“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นปล่อยแขนเสื้อ “ท่านพี่เดินระวังด้วย”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นมองจนเงาด้านหลังของซูมั่วเยี่ยลับตาไปแล้วก็รีบหันตัวกลับมา เหลือบตามองหลานเย่ว์แล้วถามว่า “เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง”
“ข้า…” หลานเย่ว์คิดไม่ถึงว่าคำถามแรกที่ซูเหลียนอวิ้นถามเขาจะเป็นคำถามนี้ นางจะไม่พูด…นับจากนี้เป็นต้นไปเจ้าเป็นคนของข้า! ต้องเชื่อฟังข้า! หรือคำพูดที่ไร้สาระทำนองนี้หรอกหรือ
“หืม?” ซูเหลียนอวิ้นเอียงคอ
“ข้า ข้าชำนาญการต่อสู้ด้วยดาบ” หลานเย่ว์ตอบคำถามอย่างระวังตัว
“อ้อ เช่นนั้นหรือ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “งั้นเจ้าก็นำดาบของเจ้าออกมาเถิด พวกเรามาประลองกันสักตั้งดีหรือไม่”
“คุณหนูหมายความว่าอย่างไร…”
ประลองดาบ? ก่อนที่เขาจะมาเขาไม่เคยได้ยินซูมั่วเยี่ยบอกมาก่อนเลยว่าน้องสาวของเขามีวรยุทธ์ด้วย เขาเพียงรู้คร่าวๆ ว่าช่วงนี้ซูมั่วเยี่ยได้สอนวิชาป้องกันตัวให้น้องสาวตนอยู่บ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ใช่ว่ามีวิชาป้องกันตัวเล็กน้อย แต่คิดจะมาท้าเขาประลองหรอกนะ เขาควรพูดว่าคุณหนูผู้นี้ความคิดอ่านหุนหันพลันแล่นไปหน่อย หรือว่าอวดดีเกินไปกันแน่?
“คุณหนูใหญ่ขอรับ โปรดอย่าก่อเรื่องเลย” หลานเย่ว์เลิกคิ้วขึ้น “ข้ามาที่นี่เพื่อดูแลความเป็นความตายของท่าน”
ไม่ได้มาเพื่อก่อเรื่องวุ่นวาย
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยพลางถกแขนเสื้อของตนขึ้น “ในเมื่อข้ากล้าเอ่ยปาก นั่นย่อมหมายความว่าข้าเตรียมตัวมาดีแล้ว”
“ท่านพี่พาเจ้าออกมาจากที่ของเจ้า และวันนี้ก็ได้มอบหมายเจ้าให้มาคอยคุ้มกันน้องสาวอย่างข้า ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ในใจของเจ้าย่อมต้องไม่พอใจอยู่บ้าง อย่างนั้นพวกเรามาประลองกันสักตั้งไม่ดีกว่าหรือ หากข้าแพ้ ข้าจะไปขอร้องท่านพี่ให้พาตัวเจ้ากลับไป แต่หากข้าชนะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะต้องฟังคำสั่งของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ห้ามฟังแม้แต่คำสั่งของพี่ชายข้า แบบนี้ดีหรือไม่”
ซูเหลียนอวิ้นถกแขนเสื้อขึ้นเรียบร้อย แววตาซุกซนของนางมองไปยังชายผู้มีท่าทีประหลาดใจผู้นั้น “สิบกระบวนท่าก็แล้วกัน เจ้าลงมือสิบกระบวนท่า หากข้าสามารถหลบหรือหาโอกาสโจมตีเจ้าถึงชีวิตได้ ให้ถือว่าข้าเป็นฝ่ายชนะ หากข้าหลบไม่ได้ก็ให้ถือว่าข้าเป็นฝ่ายแพ้”
ซูเหลียนอวิ้นรู้ดีว่าคนประเภทนี้มักมีอารมณ์เกรี้ยวกราดแฝงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่สามารถสยบเขาให้ยำเกรงได้ และนั่นก็คงเป็นสาเหตุให้หลานเย่ว์ไม่พอใจและไม่เคารพนาง ซึ่งนั่นไม่ถูกต้อง ในเมื่อจะมาทำงานให้นางแล้ว นางจะต้องเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น!