ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 63 โจมตีถึงชีวิต
เมื่อซูเหลียนอวิ้นถกแขนเสื้อขึ้นเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยว่า “เข้ามาเลย”
“คุณหนู! นี่กำลังจะทำอะไรกันเจ้าคะ!” เมื่อหลีมู่ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก ก็รีบวิ่งออกมาดูทั้งที่ยังอุ้มกาละมังอยู่ในมือ ก่อนจะชะงักมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
“อืม ทำไมเหรอ มิได้หรือ” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว “มีปัญหาอะไร”
“คุณหนู! ” เมื่อหลีมู่ได้ยินดังนั้นจึงรีบวางถังที่อุ้มไว้ในอกลงแล้ววิ่งช้าๆ เข้าไปหาซูเหลียนอวิ้น “คุณหนูเจ้าคะ องครักษ์หลานผู้นี้แค่ดูก็รู้แล้วว่าวรยุทธ์แกร่งกล้า! หากพลั้งมือทำให้คุณหนูบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า!”
รูปโฉมหน้าตาของสตรีนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ต่อให้เป็นผมแค่เส้นเดียวสตรีโดยทั่วไปก็ทะนุถนอมอย่างกับอะไรดี อีกอย่างสิ่งที่คุณหนูทะนุถนอมมากที่สุดมิใช่รูปโฉมตนหรอกหรือ หากไม่ทันระวังต่อให้ไม่โดนใบหน้าแต่พลาดไปโดนแขนขาก็ไม่ได้เช่นกัน! ปกติแล้วคุณหนูของตนหลีกเลี่ยงสิ่งนี้มาตลอด แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น
“คุณหนูเจ้าคะ” หลีมู่สูดหายใจลึกแล้วเกลี้ยกล่อมต่อ “ครั้งนี้มิใช่การประลองหมากล้อมนะเจ้าคะ แต่ต้องลงไม้ลงมือด้วย! หากคุณหนูได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไร ถึงเวลานั้นจะมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว!”
“ไม่เป็นไร” สีหน้าซูเหลียนอวิ้นหาได้ใส่ใจต่อสิ่งใดไม่ “หลีมู่หากเจ้ากลัวก็เข้าไปหลบในเรือนก่อน ไม่ต้องดูก็ได้ นี่เป็นคำสั่งของคุณหนูของเจ้า เจ้ามิต้องคิดมาก” หลังจากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาทางหลานเย่ว์ที่อยู่ด้านหลัง “ท่านเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่ ข้าพร้อมเริ่มทุกเมื่อ”
“ข้า…” หลานเย่ว์อึดอัดและไร้วาจา “คุณหนูขอรับ น้ำหนักมือของข้าไม่หนักไม่เบา ที่แม่นางหลีมู่เอ่ยนั้นมิผิด หากข้าพลาดพลั้งทำคุณหนูบาดเจ็บต้องแย่แน่”
แม้คำพูดจะฟังดูไพเราะและให้ความเคารพ แต่สายตาของเขากลับแสดงออกว่าซูเหลียนอวิ้นไม่ควรก่อเรื่องวุ่นวายและอยากที่จะเอาชนะ
“หลีมู่เจ้าไปยืนอยู่ด้านนั้นก่อนเถิด ข้ากับองครักษ์หลานมีเรื่องจะต้องคุยกัน” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเสียงแข็งและชี้ไปยังปากประตู
“คุณหนู!” หลีมู่รู้ดีว่านี่คืออากัปกิริยาที่บ่งบอกว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังโกรธ
หากซูเหลียนอวิ้นโกรธ นางจะไม่ขว้างปาสิ่งของ ทุบตีหรือก่นด่าผู้อื่น แต่รอบตัวของนางจะมีรัศมีประเภทหนึ่งที่บ่งบอกว่า…ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดีอย่ามากวนอารมณ์เชียว แม้ว่าหลีมู่อยากจะกล่าวยับยั้งอีกสักคำสองคำ แต่เมื่อเผชิญกับสายตาทรงพลังคู่นั้นกลับรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา
นางจึงวิ่งหัวหดไปยังปากประตูอีกด้านหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขานตอบเบาๆ
พอซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหลีมู่เดินออกไปไกลแล้ว จึงก้าวสองก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าหลานเย่ว์
“คิดเสียว่านี่คือบททดสอบเจ้าก็แล้วกัน เป็นบททดสอบว่าเจ้าเชื่อฟังข้าหรือไม่ เพราะเจ้ากับท่านพี่เอ่ยปากไว้แล้วมิใช่หรือว่าจากนี้เป็นต้นไป เจ้าคือคนของเรือนข้า ทั้งข้ายังเป็นเจ้านายคนเดียวในเรือนหลังนี้ แล้วเจ้าจะยังไม่ฟังข้าอีกหรือ”
ตอนนี้หลานเย่ว์ตกอยู่สถานการณ์ยื่นคอไปข้างหน้าก็เจอมีดหดหัวกลับก็เจอมีด[1] เช่นกัน
หากเขารับคำท้าประลองกับซูเหลียนอวิ้น เขาก็เกรงว่าตนจะพลั้งมือทำนางบาดเจ็บ ต่อไปก็คงเข้าหน้าซูมั่วเยี่ยไม่ติด ทว่าหากไม่รับคำท้า? นั่นก็จะกลายเป็นว่าเขาขัดคำสั่งเจ้านายตัวเอง? หากเกิดเป็นบ่าวไพร่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดหาใช่ฝีมือดีหรือฉลาดหลักแหลมหรือไม่
แต่เป็นการยอมรับ หากแม้แต่การยอมรับเชื่อฟังยังทำไม่ได้ แล้วเจ้านายจะเก็บเจ้าไว้ทำอะไร
“ตัดสินใจได้แล้วหรือไม่” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นเขามีสีหน้าราวกับมีความแค้นใจฝังลึกเช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกระตุ้นขึ้นสักหน่อย “ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด เจ้ารีบตัดสินใจเร็วเข้า”
หลานเย่ว์เงยหน้าขึ้น เมื่อเขาเห็นรูปร่างท่าทางของซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มกัดฟัน หรือว่าคุณหนูใหญ่ซูผู้นี้จะเป็นพวกคมในฝัก ถึงอย่างไรก็เป็นน้องสาวของซูมั่วเยี่ย บางทีวรยุทธ์อาจจะไม่ต่างกันมากเท่าไหร่นัก
“ตกลงขอรับ” หลานเย่ว์กัดฟันพยักหน้า “เช่นนั้นคุณหนูกรุณารับประกัน หากข้าพลาดพลั้งลงมือทำให้คุณหนูต้องเจ็บตัวขึ้นมาจริงๆ ขอคุณหนูได้โปรดอย่าเอาผิดข้า”
“พูดได้ดี” ริมฝีปากของซูเหลียนอวิ้นเผยรอยยิ้มแล้วหลับตาคล้ายกับกำลังสงบอารมณ์ตน จากนั้นจึงลืมตาขึ้นด้วยสีหน้านิ่งขรึมแล้วเอ่ยว่า “สิบกระบวนท่า หากเจ้าตัดสินใจได้แล้วก็เริ่มลงมือได้ ข้าพร้อมทุกเมื่อ”
เมื่อหลานเย่ว์เห็นนางตั้งท่าเรียบร้อย สายตาของเขาก็ฉายแววครุ่นคิด “เช่นนั้น คุณหนูก็เตรียมรับมือเถิด”
สิ้นคำ กระบี่ถูกชักออกมาจากปลอกในพริบตา แล้วโจมตีเข้าใส่ตรงหน้าของซูเหลียนอวิ้น
ซูเหลียนอวิ้นเห็นกระบี่นั้นพุ่งตรงเข้ามายังตนเอง ขอเพียงมือเท้าว่องไวจะหลบอย่างไรก็พ้น นางเบี่ยงตัว การโจมตีครั้งแรกนี้ นางหลบพ้น
“กระบวนท่าแรก” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้น “กระบวนท่าต่อไป!”
หลานเย่ว์หรี่ตา เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นหลบกระบี่ของตนได้อย่างว่องไวเช่นนี้ ดูๆ แล้ว เมื่อครู่ที่ซูเหลียนอวิ้นมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ
“คุณหนู เริ่มต่อเลย” หลานเย่ว์ไม่สนใจรอบข้างแล้วเริ่มร่ายกระบวนท่าต่อมา
เวลานี้หลีมู่กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ที่ห่างออกไปเพียงครึ่งจั้ง[2] โดยยกมือขึ้นมาบังใบหน้าตนเอาไว้ เพราะตอนนี้นางกำลังเกิดความกลัว ไม่ว่าจะเป็นความกลัวต่ออาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ หรือความกลัวว่าหลานเย่ว์จะพลั้งมือทำคุณหนูต้องบาดเจ็บล้วนเป็นความกลัวทั้งสิ้น
เฮ้อ นางมิอาจวางใจได้เสียทั้งหมด จะไม่ให้สนใจเลยได้อย่างไร! เพราะหากปิดหน้าไว้ทั้งหมดก็จะมองไม่เห็น แต่หูก็ยังได้ยินเสียงอยู่! ความรู้สึกแบบนั้นไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ต้องร้อนใจ
แต่พอหลีมู่เห็นทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดจึงตัดสินใจไม่ปิดหน้าอีกต่อไป นางประนมมือภาวนาจะดีกว่า!
ขอเทพยดาและพระโปรดคุ้มครองด้วยเถิด! ช่วยปกปักรักษาอย่าให้เกิดเรื่องกับคุณหนูของนางเลย
“คุณหนูใหญ่เคลื่อนไหวดียิ่ง” หลานเย่ว์เอ่ยชม เพราะยิ่งลงมือมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งค้นพบว่า คุณหนูใหญ่ซูนางนี้ไม่ได้เป็นเหมือนเช่นที่ข่าวลือแพร่สะพัดออกไป
แต่ก็ไม่แปลก เพราะบิดากับพี่ชายของนางต่างเป็นยอดบุรุษด้วยกันทั้งคู่ ทั้งยังเป็นขุนพลน้ำดี ในร่างของซูเหลียนอวิ้นเองก็คงมีสายเลือดเดียวกันกับพวกเขา หากตรองดูให้ดีแล้วคงไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่นัก
“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นหรี่ตาทั้งสองข้าง ปากพูดไปพร้อมๆกับมือด้านล่างที่เคลื่อนไหวไม่หยุด เมื่อสิ้นเสียงก็ชกสวนออกไปทันที
“เจ้าแพ้แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว “ดูที่อกเจ้าสิ”
กระบี่ของหลานเย่ว์ยื่นออกมาได้เพียงครึ่งเดียว เมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยดังนั้นจึงหยุดมือทันที
เมื่อทุกอย่างหยุดลง ระยะดาบที่ห่างจากคอของซูเหลียนอวิ้นยังคงมีระยะเหลืออีกหนึ่งฝ่ามือ ทว่า เมื่อเทียบกับระยะห่างหนึ่งฝ่ามือนี้แล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่าหมัดของของซูเหลียนอวิ้นอยู่ห่างจากอกของเขาใกล้ยิ่งกว่า
“คุณหนูขอรับ?” หลานเย่ว์เอ่ยปากอย่างลังเล
เนื่องจากกฎที่ซูเหลียนอวิ้นตั้งขึ้นในวันนี้ คือต้องหลบการโจมตีทั้งสิบกระบวนท่าของเขาพ้น หรือไม่ก็สามารถโจมตีถึงขึ้นปลิดชีวิตเขาได้ แต่หมัดที่เปลือยเปล่าเช่นนี้จะปลิดชีวิตเขาได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อซูเหลียนอวิ้นบอกให้เขาหยุด เขาจึงยังลังเลอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงกลับเคารพนอบน้อม
เพราะถึงอย่างไร เมื่อหลานเย่ว์พิจารณาดูแล้ว ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นเจ้านายของเขาแล้ว
——
[1] ยื่นคอไปข้างหน้าก็เจอมีด หดหัวกลับก็เจอมีด หมายถึง จะทำหรือไม่ทำก็มีผลลัพธ์เช่นเดียวกัน
[2] จั้ง คือ มาตราชั่ง ตวง วัด ของจีน 1 จั้ง มีค่าเท่ากับ 3.3 เมตร