ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 64 แนะนำตัว
ใต้แสงตะวันสาดส่อง ซูเหลียนอวิ้นกำลังแยกเขี้ยวยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นฝ่ายประมาทเอง” นางชักมือกลับมาแล้วยืดตัวยืนตรงอยู่ในท่าเดิม
ขณะที่กางมือออกมา กลางฝ่ามือของนางมีปิ่นคมปลาบที่ถูกขัดจนขึ้นเงาปรากฏอยู่
ตัวปิ่นนั้นค่อนข้างสั้น ซูเหลียนอวิ้นสามารถนำมันสอดไว้ตรงช่องนิ้วมือได้ เหตุที่ต้องนำปิ่นมาซ่อนไว้ในฝ่ามือนั้น เพราะเพียงนางกำมือเอาไว้ก็พอจะช่วยบดบังไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็นได้
เมื่อหลานเย่ว์เห็นทุกอย่างชัดเจน ในใจของเขายิ่งยอมรับนางมากขึ้น “คุณหนูมีกลยุทธ์ดียิ่งนัก เป็นข้าน้อยที่เลินเล่อ การประลองครั้งนี้คุณหนูเป็นฝ่ายชนะขอรับ”
หากเปรียบเทียบระหว่างกระบี่ของเขากับปิ่นของซูเหลียนอวิ้น ฝั่งใดจะแทงถึงฝั่งตรงข้ามก่อนนั้นย่อมต้องเป็นปิ่นของซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย! ยิ่งไปกว่านั้นหากปิ่นอันนี้เคลือบพิษไว้ด้วยแล้ว…ก็จะอันตรายถึงขั้นคราเดียวปลิดชีวิตได้
“แค่แผนการง่ายๆ ก็เท่านั้น มิควรค่าสำหรับคำชม” ระหว่างที่ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยอยู่นั้น นางก็นำปิ่นปักกลับไปบนผมเช่นเดิม จากนั้นจึงยิ้มขึ้น “อีกทั้งตัวเจ้าเองก็มิได้ลงมือเต็มที่มิใช่หรือ”
นั่นเป็นเพราะหลานเย่ว์รู้ตัวดีว่าตนเป็นเพียงองครักษ์ที่มาใหม่เท่านั้น ไม่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะให้คำมั่นหรือรับประกันกับเขาอย่างไร เขาก็ยังคงต้องยั้งมือเอาไว้บ้าง ไม่กล้าที่จะลงมืออย่างเต็มที่
เพราะหากเกิดอะไรขึ้นเล่า แม้จะอ้างว่าเป็นการประลองกันเล่นๆ ก็คงจะไม่ช่วยคลี่คลายอะไรได้
แต่…ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังคงก้มหน้ารับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกลางฝ่ามือตน นางจึงกัดฟัน ความเจ็บปวดที่ฝ่ามือยังคงอยู่!
ฝ่ามือของนางไม่ใหญ่มากนัก แต่กลับซ่อนปิ่นเอาไว้ แถมยังไม่มีใครสังเกตเห็นอีก นั่นคงเป็นเพราะปิ่นอันนั้นค่อนข้างสั้น แต่ไม่ว่าจะสั้นอย่างไรก็ยังคงเป็นปิ่นอยู่ดี มิเช่นนั้นจะใช้งานได้อย่างไร
ซูเหลียนอวิ้นเหลือบมองกระบี่ที่อยู่ในมือหลานเย่ว์คราหนึ่งจึงถอนใจ เห็นได้ชัดเจนว่าการมีอาวุธที่ถนัดมือสักอันหนึ่งสำคัญขนาดไหน
“คุณหนูเจ้าคะ! เจ็บตรงไหนหรือไม่!” หลีมู่ไม่ทันมองว่าทั้งสองหยุดประลองกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงรีบร้อนวิ่งเข้ามาทันที
นางจับมือซ้ายของซูเหลียนอวิ้นขึ้นมาสำรวจดูก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นมือขวา สุดท้ายเมื่อเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นไม่ได้รับอันตราย มีเพียงแค่ผมที่ถูกปิ่นปักเอาไว้คลายออกเล็กน้อย จึงสูดหายใจยาวและเมื่อเห็นว่าร่างกายส่วนอื่นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจึงเบาใจลง
“คุณหนู…ถือว่าบ่าวขอร้องแล้วกันนะเจ้าคะ! คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกได้หรือไม่”
หลีมู่มีหัวใจและชีวิตเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น หากต้องกังวลหวาดผวาอยู่ทุกวันจะทนไหวได้อย่างไร หลีมู่รู้สึกว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป อายุของนางคงไม่ยืนแน่
“โธ่ ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น จะไม่มีครั้งหน้าแน่นอน” ซูเหลียนอวิ้นลูบหัวหลีมู่แล้วรีบทำตัวเชื่อฟังคำพูดสาวใช้ของนางผู้นี้ มิเช่นนั้นแล้วอีกหลายวันต่อจากนี้หูของนางคงจะไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่นัก
“ครั้งที่แล้วคุณหนูก็พูดแบบนี้นะเจ้าคะ…” หลีมู่หันไปมองซูเหลียนอวิ้น ทั้งสายตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความคับข้องใจ
“เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นลูบแขน จากนั้นจึงลูบศีรษะของนาง ครั้งนี้คงปลอบหลีมู่ได้ไม่ง่ายนัก?
“หลีมู่ คือว่า…” ซูเหลียนอวิ้นกระแอมขึ้นทีหนึ่ง “วันนี้เป็นวันแรกที่องครักษ์หลานมาถึงเรือนของเรา ดังนั้นแล้วคงจะไม่คุ้นเคยและไม่เข้าใจหลายๆ สิ่งอย่างแน่นอน ทั้งข้าเองก็มีคนรับใช้ไม่มากนัก ดังนั้นข้าตัดสินว่า วันนี้จะให้หลีมู่พักผ่อนหนึ่งวัน! เจ้าพาองครักษ์หลานไปเดินดูรอบๆ เรือนของเราให้คุ้นเคยหน่อยจะดีกว่า หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้าเอง”
เมื่อหลีมู่เห็นท่าทางหยอกล้อของซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้จึงถอนหายใจแรง ‘ก็ได้ ถึงอย่างไรครั้งนี้คุณหนูก็ไม่ได้เป็นอะไร…ครั้งนี้จะไม่บ่นสักรอบก็ได้!’
“อืม” หลีมู่พยักหน้า “คุณหนูเจ้าคะ เช่นนั้นบ่าวกับองครักษ์หลานขอตัวก่อน”
“ไปเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วโบกมือ
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นทั้งสองเลี้ยวออกไปจนลับสายตาของนางแล้ว จึงวิ่งอย่างรวดเร็วเข้าไปในห้องของตน นางยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเพื่อผ่อนคลายร่างกาย
เห็นได้ชัดว่าหากไม่ฝึกฝีมือต่อเนื่องแล้วจะส่งผลเช่นนี้ นางไม่ได้ฝึกเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น…ซูเหลียนอวิ้นบีบนวดแขนขวาพลางคิดว่าตนรับมือไปทั้งสิ้นกี่ครั้ง ความปวดเมื่อยนี้ ทำเอานางรู้สึกว่าแขนของนางคล้ายกำลังจะแหลกสลายเสียให้ได้
…
“องครักษ์หลาน” หลีมู่เดินไปรอบๆ สวนสาลี่พลางบอกเล่าข้อมูลต่างๆ “ปกติแล้วหากไม่มีเรื่องใด เจ้าจะไม่พบเห็นผู้ใดอยู่ในบริเวณเรือน เพราะคุณหนูชอบสันโดษ ดังนั้นที่เรือนนี้จึงมีคนรับใช้ไม่มากนัก ต่อให้มีพวกเขาก็แค่มาทำงานทั่วๆ ไปเท่านั้น เมื่อทำเสร็จก็จะแยกย้ายกลับไป”
“ปกติแล้วทุกๆ วันข้าจะเป็นคนรับใช้ประจำตัวที่คอยดูแลคุณหนู ส่วนเนี่ยนเอ๋อร์จะเป็นผู้ที่คอยดูแลงานนอกเรือนต่างๆ หากองครักษ์หลานมาอยู่ที่สวนสาลี่นี้ เนี่ยนเอ๋อร์จะเป็นคนแรกที่ดีใจที่สุด เกรงว่าเมื่อพบท่านแล้วนางคงจะพูดว่า…ในที่สุดก็มีคนมาช่วยนางทำงานเสียที”
หลานเย่ว์ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน เพราะเขาคิดไม่ถึงเลยว่า คุณหนูสูงศักดิ์นางหนึ่งจะมีบ่าวรับใช้น้อยถึงเพียงนี้! เขาจึงคิดว่าตนมาถึงที่นี่คงจะไม่ได้มาทำหน้าที่องครักษ์เพียงอย่างเดียว แต่คงต้องดูแลงานจิปาถะอื่นๆ ด้วย?
เมื่อหลีมู่หันมามอง นางเห็นหลานเย่ว์เพียงยิ้มเท่านั้น แต่ไม่มีทีท่าจะเอ่ยสิ่งใด จึงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“องครักษ์หลานอย่าคิดมากเกินไป” หลีมู่เอ่ยเสียงเรียบ “ปกติแล้วคุณหนูจะไม่ให้พวกเราทำงานหนักจนเกินไปอยู่แล้ว อีกอย่างเมื่อเจ้าอยู่กับพวกเราไปนานๆ เข้า ถึงเวลานั้นคงจะพยายามของานทำเองเสียมากกว่า” หลีมู่เหลือบไปมองคนที่อยู่ด้านหลังตนที่มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เนี่ยนเอ๋อร์! ออกมานี่เถิดข้ามีคนจะแนะนำให้รู้จัก”
หลานเย่ว์อ้าปากเตรียมจะถามว่าคำพูดเมื่อครู่ของซูเหลียนอวิ้นหมายความว่าอย่างไร กลับโดนนางพูดตัดหน้าเสียก่อน
“พี่หลีมู่ มีอะไรหรือเจ้าคะ” เมื่อเนี่ยนเอ๋อร์ได้ยินเสียงเรียกจึงกระโดดโลดเต้นวิ่งออกมาแล้วแอบมองชายที่ยืนอยู่ด้านหลังหลีมู่
“เจ้าคือ…? ข้าชื่อเนี่ยนเอ๋อร์ เป็นคนรับใช้ลำดับที่สองของคุณหนู”
“ข้าคือหลานเย่ว์ ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำตัวของคุณหนู” เมื่อหลานเย่ว์เห็นท่าทางร่าเริงของเนี่ยนเอ๋อร์จึงขมวดคิ้ว
คุณหนูผู้นี้เลือกสาวใช้สองคนที่มีบุคลิกแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว นางหนึ่งระแวดระวังตัวอย่างกับอะไรดี แต่อีกคนกลับมีท่าทางไม่ค่อยคิดสิ่งใด เมื่อเห็นบุรุษนอกเรือนอย่างเขากลับไม่ปรากฏท่าทีประหลาดใจหรือหน้าแดงขวยเขินเลยแม้แต่น้อย
“อ้อ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามาทำงานให้คุณหนูใช่หรือไม่” เนี่ยนเอ๋อร์ปรบมือสองสามที น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดี
“แม่นางเนี่ยนเอ๋อร์ ข้ามาเพื่อดูแลความปลอดภัยของคุณหนูเท่านั้น ไม่ได้มาทำงานใช้แรงงานทั่วไป!”
“แตกต่างกันตรงไหน?” เนี่ยนเอ๋อร์ตบไหล่ของเขา “ถึงอย่างไรเจ้านายของเราก็คือคุณหนูคนเดียวกัน ย่อมต้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านอยู่แล้ว ดีจริง! ต่อไปจะมีคนมาทำงานเป็นเพื่อนข้าแล้ว!”
เมื่อหลานเย่ว์เห็นท่าทางร่าเริงขนาดนั้นของเนี่ยนเอ๋อร์ จึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเอ่ยปากอธิบายอะไรแล้ว เพราะเห็นท่าทางเซ่อๆ เช่นนี้ก็รู้แล้วว่าอธิบายไปคงไร้ประโยชน์! ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเก็บคำพูดเอาไว้ดีกว่า
“เช่นนั้นขอถามแม่นางเนี่ยนเอ๋อร์ มีสิ่งใดให้ข้าช่วยทำหรือไม่” น้ำเสียงที่หลานเย่ว์เอ่ยออกมานั้นเย็นชาอย่างประหลาด แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้เนี่ยนเอ๋อร์ก็หาได้รู้สึกประการใดไม่
“เหมือนจะไม่มี” เนี่ยนเอ๋อร์ยกนิ้วขึ้นชี้ที่ศีรษะทำท่าคิด “แม้ข้าจะบอกว่าให้เจ้าช่วยข้าทำงาน แต่จริงๆ แล้วไม่มีงานอะไรให้ทำหรอก” ปกติแล้วนางว่างเสียจนอึดอัดด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ดีหน่อย เพราะในที่สุดก็มีคนมาเล่นเป็นเพื่อนกับนางเสียที
เพราะในใจของเนี่ยนเอ๋อร์นั้น หากเทียบหลีมู่ผู้ตงฉินและจู้จี้กับคนที่อยู่ตรงหน้านางผู้นี้แล้ว คนผู้นี้น่าจะเจรจาง่ายกว่ากันมากทีเดียว