ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 65 แผนการ
“เอาล่ะ” หลีมู่ยิ้มแล้วเอ่ยขัดบทสนทนาตรงหน้า “องครักษ์หลาน ห้องของเจ้า คืนนี้จะจัดเตรียมไว้ให้ เรือนของพวกเราไม่ใหญ่มากนัก เดินมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าเดินทั่วแล้ว”
“ลำบากแม่นางหลีมู่แล้ว” เขาประสานมือคารวะ
“ลำบากอะไรกันเล่า หากเจ้ายังไม่เข้าใจอะไร ถามเนี่ยนเอ๋อร์ดูก็ได้เหมือนกัน ตอนนี้ข้าขอตัวกลับก่อน” หลีมู่ยิ้มให้
“แล้วพบกันเจ้าค่ะ พี่หลีมู่” เนี่ยนเอ๋อร์โบกมือพร้อมบอกลา
…
ณ จวนตระกูลหยาง
ในห้องหนังสือ บุรุษที่มีท่าทางอย่างเด็กรับใช้ เวลานี้กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
“นายท่านขอรับ” น้ำเสียงทุ้มลึกของเด็กรับใช้ที่นั่งอยู่บนพื้นเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม ตอนนี้ลดเสียงต่ำลงแล้วเอ่ยต่อว่า “นายท่าน ตามที่หลิงเซียงสาวรับใช้ของคุณหนูรายงาน คุณหนูใหญ่ นางน่าจะตั้งพระครรภ์แล้วขอรับ”
“เอ๊ะ?” หยางเกิ่งรั่งที่กำลังพลิกดูสมุดบัญชีอยู่ได้ยินดังนั้นจึงหยุดมือไว้ แล้วมองไปยังชายที่คุกเข่าอยู่กับพื้นผู้นั้น “เป็นความจริงหรือ ให้หมอหลวงตรวจดูแล้วหรือยัง หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง”
“หมอหลวงไม่ได้รายงานเช่นนี้ขอรับ” ชายผู้นี้เมื่อรับรู้ถึงสายตาของบุรุษด้านบนที่หลุบตามองลงมาอย่างช้าๆ เขาก็ยิ่งก้มตัวต่ำลงอีกแล้วเอ่ยต่อว่า “คุณหนูใหญ่เรียกหมอหลวงมาดูแล้ว แต่จากคำวินิจฉัยของหมอหลวงหลี่ในตอนนั้น เพียงบอกว่าขนมเปี๊ยะดอกไม้ที่คุณหนูรับประทานเข้าไปไม่สดใหม่ จึงเป็นเหตุให้คุณหนูคลื่นไส้อาเจียน ไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งพระครรภ์ขอรับ”
เมื่อหยางเกิ่งรั่งได้ยินเช่นนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น วางสมุดบัญชีในมือลง สืบเท้าไปเบื้องหน้าชายผู้นั้นแล้วเอ่ยถามทีละคำอย่างช้าๆ “หมอหลวงหลี่เอ่ยเช่นนี้จริงหรือ เช่นนั้นต่อมาหลิงเซียงไปพบกับพิรุธใดเข้า”
กล่าวได้ว่า ไม่เสียแรงที่หลิงเซียงคือคนที่หยางเกิ่งรั่งเป็นผู้คัดเลือกด้วยตนเองให้นางเข้าวังไปกับหยางอวี้หลิง แม้ว่าวันนั้นหมอหลวงหลี่จะบอกเช่นนั้น แต่ในใจของนางกลับยังคงคลางแคลงใจตลอดมา
ขนมเปี๊ยะกุหลาบจานนั้นหากมีผู้ใดพบว่ามันเสียจริงๆ คงจะโยนมันทิ้งไปตั้งแต่แรก หลิงเซียงเก็บเรื่องนี้เอาไว้เงียบๆ ในใจ
นางดมกลิ่นขนมเปี๊ยะกุหลาบนั้นอย่างตั้งใจ แต่กลับไม่พบว่ามีปัญหาอะไร อีกทั้งหลิงเซียงยังแอบเอาขนมเปี๊ยะจานนี้ให้นางในคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปลองกินดู ก็ไม่พบผู้ใดในจำนวนนี้ท้องเสียสักคน
อีกทั้งนางยังลอบเห็นแววตาของหมอหลวงหลี่ที่ฉายแววประหลาดใจขึ้นมา แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามปกปิดไว้อย่างดี แต่สำหรับหลิงเซียงแล้วมันเป็นความตั้งใจที่จะปกปิดเรื่องราวบางอย่างเอาไว้ นั่นยิ่งทำให้นางเกิดความเคลือบแคลงใจมากยิ่งขึ้น
หยางอวี้หลิงเข้าวังหลวงมานานหลายปี แต่กลับยังไม่มีทายาท เรื่องนี้เป็นความทุกข์ใจของคนในตระกูลหยางเสมอมา
ทว่าอย่างน้อยหยางอวี้หลิงก็ยังคงเป็นสาวอยู่ ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องรีบร้อนมีบุตร แต่ว่าปัญหาการมีบุตรนี้…
หมอหลวงทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงเวลา ทำให้หยางอวี้หลิงรู้สึกเบาใจลงได้ ยังดีที่ตัวหยางอวี้หลิงเองไม่เคยใส่ใจกับปัญหานี้ เพราะว่าเมื่อใดที่ตั้งครรภ์ นั่นย่อมหมายความว่ามิอาจเข้าปรนนิบัติได้ เมื่อปรนนิบัติมิได้จะทำให้เกิดอะไรตามมาเล่า สิ่งที่อาจจะเกิดตามมาก็คือนางจะมิได้เป็นคนโปรดของลี่หยวนตี้อีกต่อไป
ความโปรดปรานและการได้อยู่เคียงข้างกับลี่หยวนตี้ นับเป็นสิ่งที่หยางอวี้หลิงให้ความสำคัญตลอดมาในหลายปีนี้
แม้นางไม่รีบร้อนแต่คนรอบตัวนางรีบ ตระกูลหยางรอคอยมานานขนาดนี้กลับไม่เคยสมหวัง แต่ตอนนี้กลับมีสัญญาณที่ดีเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ย่อมต้องคว้าเอาไว้ให้มั่นก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น เวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ หยางกุ้ยเหรินควรจะตั้งครรภ์สักครั้งได้แล้ว
หยางเกิ่งรั่งนิ่งไปชั่วครู่ เขาซ่อนแววตาครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ สุดท้ายหลังจากเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูปจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ ลูกสาวของข้าก็ถือว่าไม่สบายอยู่ อีกทั้งคืนงานฉลองวสันตฤดูนางเองก็ได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่มาก ในฐานะคนเป็นพ่ออย่างข้าต้องให้ความช่วยเหลือถึงจะถูก”
ขณะที่พูด สายตาของหยางเกิ่งรั่งปรากฏแววครุ่นคิดมากมาย “หลิ่นอี้”
“ขอรับ นายท่าน” ชายผู้นั้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกขึ้นฉับพลันจึงรีบเงยหน้าขึ้นทันใด “นายท่านจะรับสั่งสิ่งใด”
“ในเมื่อหลิงเอ๋อร์ไม่สบาย ในฐานะคนเป็นพ่ออย่างข้าย่อมต้องร้อนใจเป็นธรรมดา อีกประเดี๋ยวเจ้าไปนำยาดีจากในคลังของข้าออกมา วันพรุ่งนี้ส่งคนนำไปให้คุณหนูในวัง แต่เจ้าจงจำไว้ให้ดีว่าต้องส่งให้กับมือคุณหนูเท่านั้น”
หลิ่นอี้ได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ทันที นายท่านกลัวว่าจะเชื่อคำพูดของหลิงเซียง และหากคุณหนูใหญ่ท้องร่วงจริงแต่มิได้ตั้งครรภ์ จะเป็นผลดีได้อย่างไร
“ขอรับ นายท่าน บ่าวเข้าใจแล้ว”
“ไม่ใช่สิ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” เมื่อหยางเกิ่งรั่งเห็นเงาด้านหลังของหลิ่นอี้ เขาก็เกิดความคิดขึ้นอย่างฉับพลัน จึงเอ่ยขึ้นว่า “หลิ่นอี้ พวกเราไปสืบก่อนสักสองสามวันเถิด เมื่อวานเพิ่งจะเกิดเรื่องกับหลิงเอ๋อร์ วันนี้พวกเรากลับรู้เรื่องแล้วแถมยังเตรียมทุกอย่างได้รวดเร็ว เกรงว่าหากเรื่องนี้ถูกล่วงรู้ไปถึงหูของผู้ไม่หวังดีคงจะไม่ดีเท่าใด”
“อีกทั้งวันนี้พวกเรายังมีอีกหลายสิ่งที่ยังเตรียมตัวไม่พร้อม” เมื่อพูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงของหยางเกิ่งรั่งก็เริ่มเย็นชาขึ้น หากครั้งนี้ลูกสาวของนางตั้งครรภ์จริง ทำไมหมอหลวงรู้เรื่องแต่กลับไม่ยอมรายงาน? หรือว่า…
เขากลับไม่เคยรู้มาก่อนว่าฮ่องเต้ที่มัวแต่ลุ่มหลงในอิสตรี อ่อนแอและขี้ขลาดผู้นี้จะมีวันที่รับรู้เรื่องอื่นๆ ได้? หากลี่หยวนตี้มีความคิดเช่นนี้จริง เกรงว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงจุดจบของเขาคงไม่ดีแน่
ดูท่าแล้วแผนการเหล่านั้น คงต้องเริ่มลงมือล่วงหน้าเสียแล้ว…
“หลิ่นอี้ เจ้าจำไว้เพียง…” หยางเกิ่งรั่งลดเสียงลง “การเจ็บป่วยของคุณหนูใหญ่ครานี้ หมอหลวงหลี่รายงานผลผิดพลาด ตอนนี้คุณหนูใหญ่ตั้งครรภ์แล้ว มิได้ท้องร่วง”
เมื่อหลิ่นอี้เห็นสีหน้าตึงเครียดของหยางเกิ่งรั่งก็สามารถเดาถึงสิ่งที่เขาเอ่ยเมื่อครู่ออก ว่าสิ่งที่ยังมิได้เตรียมไว้หมายถึงอะไร
“นายท่านต้องการให้ข้าไปเตรียมไว้หรือไม่”
“มิต้อง” หยางเกิ่งรั่งพูดขัดขึ้น “ข้ามีช่องทางของข้า เรื่องนี้มิต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
มีบางเรื่องที่แม้ว่าคนของเราจะจงรักภักดีมากเพียงใด เราก็ยังคงต้องระวังเอาไว้ เพราะใครจะรู้ว่าคนที่นอบน้อม มอบกายถวายชีวิตแก่เรา พรุ่งนี้อาจกลายเป็นคนที่ถือมีดมาแทงเราก็เป็นได้?
“ยังมีอีกเรื่องขอรับ เรื่องของคุณชายใหญ่…นายท่านจะให้จัดการอย่างไร” ตอนที่หลิ่นอี้เตรียมจะออกไปกลับนึกถึงปัญหานี้ขึ้นมาได้
“ทำอย่างปกติก็พอ ไม่ต้องใส่ใจมากนัก” พอพูดถึงเรื่องนี้ หว่างคิ้วของหยางเกิ่งรั่งก็ปรากฏความไม่สบายใจขึ้น
หยางอวี้ฉินเป็นคนอย่างไร เป็นลูกแบบไหน ไม่มีใครรู้ดีเท่าเขาอีกแล้ว แค่ก้อนโคลนที่ไร้ประโยชน์ก็เท่านั้น! แถมยังเป็นลูกอนุภรรยาอีกต่างหาก!
แม้ว่าจะมีฐานะเป็นลูกชายแท้ๆ แต่ในสายตาของหยางเกิ่งรั่งแล้ว หยางอวี้ฉินเทียบลูกสาวไม่ติดเลยด้วยซ้ำ ลูกสาวจะดีจะร้ายอย่างไรยังช่วยแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ได้ แต่ก้อนโคลนที่สร้างกำแพงไม่ได้[1] ก้อนนี้จะมีประโยชน์อันใดกับเขา? ทุกวันเอาแต่สร้างเรื่อง
ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นได้ ก็จะมีสตรีมากมายนับไม่ถ้วนพร้อมจะคลอดบุตรชายให้เขา ดังนั้นลูกชายอนุที่ไร้ประโยชน์ผู้นี้ เขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
——
[1] ก้อนโคลนที่สร้างกำแพงไม่ได้ หมายถึง คนที่ไร้ความสามารถ