ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 66 วัดฝ่าฝัว
จวนแม่ทัพในช่วงนี้คึกคักมากทีเดียว เพราะคุณหนูใหญ่ของพวกเขาใกล้จะเข้าสู่วัยปักปิ่น[1] แล้ว
ทว่าซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้กลับนั่งเอามือทั้งสองข้างเท้าคาง เหม่อมองท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงถอนใจแล้วเอ่ยว่า “หลีมู่…”
แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะเอ่ยปากเรียกออกไปแล้ว แต่เมื่อหันหลังกลับไปเห็นเงาที่กำลังวุ่นวายอยู่ตลอดนั้น นางเองก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรต่อไปดี
“คุณหนูมีอะไรหรือเจ้าคะ” หลีมู่เงยหน้าขึ้นจึงเห็นซูเหลียนอวิ้นเพียงถอนหายใจแล้วไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดต่อ จึงได้แต่เอียงศีรษะอย่างฉงน นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นไม่มีอะไรจะกล่าวกับตนจริงๆ จึงเริ่มก้มหน้ากลับไปวุ่นอยู่กับงานที่ทำค้างในมือต่อ
“หลีมู่ เจ้าไม่ต้องทำแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา จากนั้นจึงปัดมือของหลีมู่เบาๆ “หลีมู่เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อบ้างหรอกหรือ”
เมื่อชาติที่แล้วนางไม่เคยมีช่วงเวลาที่น่าเบื่อเช่นนี้
เนื่องจากตอนนั้นในหัวและความคิดของนางล้วนมีแต่เรื่องราวของต้วนเฉินเซวียน ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนมีแรงบันดาลใจและมีความกระตือรือร้นอย่างมิอาจหาสาเหตุได้ แต่ในตอนนี้กลับไม่คิดอะไรแล้ว ในหัวของนางจึงมีเพียงความว่างเปล่า
ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี! ซูเหลียนอวิ้นจึงฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ
วิชาป้องกันตัวฝึกจบแล้ว ตัวหนังสือก็ฝึกเขียนไปแล้ว อีกทั้งช่วงนี้พี่ชายของนางก็อยู่แต่ในค่ายทหาร ทำให้ไม่มีใครเป็นเพื่อนเล่นกับนางสักคน ส่วนท่านแม่กับท่านย่าต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาเตรียมการสำหรับพิธีปักปิ่น[2] ดังนั้นยามใดที่พบหน้านางก็จ้องแต่จะถามคำถามนางเกี่ยวกับพิธีรีตองและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพิธีปักปิ่น
เพราะพิธีปักปิ่นถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้หญิงทุกคน ดังนั้นช่วงเวลาเช่นนี้จะจัดการอย่างขอไปทีไม่ได้
ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจถึงความใส่ใจและความละเอียดรอบคอบของท่านแม่กับท่านย่าของตนเป็นอย่างดี แต่นี่ถือว่าใส่ใจมากเกินไปหน่อยหรือไม่! ผลของความใส่ใจมากจนเกินไปนี้ ทำให้ตอนนี้เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นแม่ของตนทีไรเป็นต้องก้มหน้างุดแล้วหันหน้าเดินหนีทันที วันทั้งวันจึงเก็บตัวเงียบๆ อยู่แต่ในเรือนหลังน้อยของตน ไม่มีความรู้สึกอยากจะก้าวออกไปแม้เพียงครึ่งก้าว
ทว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียว…นางเกิดใหม่มาสองเดือนกว่าแล้ว ซูเหลียนอวิ้นเอนกายพิงโต๊ะน้ำชาพลางมองออกไปยังต้นสาลี่ที่อยู่กลางลาน ความรู้สึกว่าลืมทำอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาในใจนางเสมอ เรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญ แต่เพราะเหตุใดนางถึงได้นึกไม่ออกสักที
“คุณหนูเจ้าคะ” เมื่อหลีมู่ปักผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือเสร็จเรียบร้อยจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ย “อ้อ จริงสิ คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินบอกว่าเดี๋ยวจะต้องไปแก้บนที่วัดฝ่าฝัว หากคุณหนูรู้สึกเบื่อจริงๆ วันนี้พวกเราไปวัดฝ่าฝัวกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
‘ใช่แล้ว! วัดฝ่าฝัว!’
ซูเหลียนอวิ้นลุกพรวดขึ้น นางว่าแล้ว…ตนลืมเรื่องอะไร สุดท้ายก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง!
ที่วัดฝ่าฝัว เมื่อชาติก่อนที่นี่เป็นสถานที่ที่นางพบกับอาจารย์ของนางเป็นครั้งแรก
เมื่อชาติที่แล้วเป็นเพราะซูเหลียนอวิ้นตกลงไปในบ่อน้ำ ทำให้อันเพ่ยอิงต้องไปภาวนาขอพรให้นางที่วัดฝ่าฝัว ต่อมาจึงพานางกลับไปแก้บน ทว่านางในตอนนั้นดื้อรั้นและอวดดี เมื่อต้องฟังเสียงสวดพึมพำของนักบวชก็รู้สึกว่าน่าเบื่อจนทนไม่ได้
ด้วยเหตุนี้นางจึงแอบย่องหนีออกมา วัดฝ่าฝัวแม้ว่าจะเป็นเพียงวัด แต่ก็เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่าร้อยปี เนื้อที่ของวัดทั้งหมดจึงกว้างขวาง ดังนั้นนางซึ่งไปที่นั่นเป็นครั้งแรกย่อมหลงทางเป็นธรรมดา
ทว่าในชาตินี้มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย จึงเป็นเหตุให้เรื่องแก้บนถูกเลื่อนออกมาจนป่านนี้ อีกทั้งงานพิธีปักปิ่นก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว นางเกรงว่าหลังจากพิธีปักปิ่นเสร็จสิ้นนางจะยิ่งออกจากเรือนได้ยากมากขึ้น
ดังนั้นรีบไปเสียแต่ตอนนี้คงไม่เลวนัก ถึงอย่างไรอยู่แต่ในเรือนก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากอยู่แล้ว
“หลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นเอามือขึ้นเท้าสะเอวแล้วมองออกไปด้านนอกเรือน ทันใดนั้นก็หันหน้ากลับมาแล้วกระซิบกระซาบว่า “เจ้าพูดมิผิด พวกเราควรไปแก้บนที่วัดฝ่าฝัวเสียที ขืนยังรอช้าอยู่อีก พระท่านคงหาว่าพวกเราไม่เต็มใจเป็นแน่ ดังนั้นเราไปกันเถิด!”
เมื่อครู่หลีมู่เห็นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นเ**่ยวเฉาราวกับลูกหนังที่ถูกปล่อยลม ตอนนี้กลับกระโดดโลดเต้นราวกับถูกฉีดเลือดไก่เข้าเส้น นางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว หลีมู่จึงคิดว่าตนสามารถเดาถึงสาเหตุคร่าวๆ ได้
ช่วงนี้คุณหนูคงอดทนมามากเต็มทีแล้ว เพราะซูเหลียนอวิ้นไม่เคยอยู่แต่ในเรือนถึงสามวันติดกัน อย่างไรเสียคงต้องหาวิธีออกไปให้ได้ ชัดเจนแล้วว่าการจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นกุลสตรีนั้น ต้องใช้ความพยายามมากถึงเพียงนี้!
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวขอตัวไปแจ้งให้ฮูหยินทราบก่อน เริ่มเตรียมรถม้าตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
“มิต้อง” ซูเหลียนอวิ้นรีบขัดขึ้นก่อน “ช่วงนี้ท่านแม่มัวแต่กังวลใจอยู่กับพิธีปักปิ่นของข้า ข้าคิดว่าเรื่องนี้เล็กน้อยนัก และข้าก็เป็นคนที่ไปขอ ดังนั้นข้าก็ควรไปแก้บนด้วยตัวเอง พาเจ้ากับหลานเย่ว์ไปด้วย พวกเราไปกันสามคนก็เพียงพอแล้ว มากคนก็มากความ”
นั่นเป็นเพราะนางต้องการจะใช้ข้ออ้างในการไปแก้บนเพื่อจัดการเรื่องอื่น การไปครั้งนี้หากไม่นำอันเพ่ยอิงไปด้วยก็จะดี เพราะตอนนี้นางขึ้นชื่อว่าเป็นลูกสาวกตัญญู ลูกกตัญญูจะทิ้งท่านแม่สุดที่รักของตน รวมทั้งทิ้งเหล่านักบวชที่สวดมนต์ภาวนาเหล่านั้นไว้ลำพัง เพื่อที่ตัวเองจะได้ย่องออกมาเที่ยวเล่นได้อย่างไร นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้!
“ดังนั้นนะหลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นตบไหล่หลีมู่เบาๆ “เพื่อสุขภาพของท่านแม่ ตอนนี้พวกเราไม่ควรเพิ่มภาระอื่นให้นางอีกแล้ว เรื่องนี้พวกเราไปกันไม่กี่คนก็พอ เจ้าไปเตรียมรถม้าเถิด ข้าจะไปเก็บของและบอกท่านแม่เอาไว้เสียหน่อย”
“อ้อ…ได้เจ้าค่ะ คุณหนู” แม้ว่าหลีมู่จะมีความรู้สึกลึกๆ ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่กลับนึกไม่ออก เพราะหากมองภาพโดยรวมแล้ว เรื่องที่ซูเหลียนอวิ้นจะทำก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าความรู้สึกประหลาดนั้น ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด
“ไปสิ ไปสิ” ซูเหลียนอวิ้นพูดพลางพุ่งตัวไปทางเรือนของอันเพ่ยอิงอย่างรีบร้อน
ปฏิกิริยาแรกหลังจากอันเพ่ยอิงได้ยินความคิดนี้ของนางคือการปฏิเสธ หญิงสาวนางหนึ่งจะออกจากบ้านไปตามลำพังได้อย่างไรกัน แม้ว่าจะไปวัด แม้ว่าวัดจะอยู่ห่างจากจวนแม่ทัพไม่ไกล และแม้ว่าวัดจะอยู่ในการปกครองของโอรสสวรรค์ก็ตาม
“ท่านแม่ ปล่อยลูกไปเถิดเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเกาะแขนเสื้ออันเพ่ยอิงไม่ยอมปล่อย “ท่านแม่ พวกเราผัดวันประกันพรุ่งมานานแล้วนะเจ้าคะ ลูกก็เป็นห่วง กลัวว่าท่านแม่จะทำงานหนักจนเกินไป หากต้องฝืนไปกับลูกอีก สุขภาพทรุดไปจะทำอย่างไร!”
เมื่ออันเพ่ยอิงได้ยินทุกคำพูดของซูเหลียนอวิ้นที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงนางเช่นนี้ก็รู้สึกตื้นตันใจ ทว่ายังคงตีหน้าเคร่งขรึม
“มิได้! หญิงสาวตัวคนเดียว รอให้พิธีปักปิ่นของเจ้าเสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยไปก็ไม่สาย อีกอย่างขอเพียงใจของเราศรัทธา พระท่านคงไม่ถือโทษโกรธพวกเรา”
“โธ่ ท่านแม่เจ้าคะ!” ซูเหลียนอวิ้นย่ำเท้าเบาๆ “อันที่จริงครั้งนี้ลูกต้องการไปขอพรให้งานพิธีปักปิ่นผ่านไปได้อย่างราบรื่น เพราะลูกรู้สึกว่าช่วงนี้เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมาย ลูกรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี หากได้ไปไหว้พระคงจะดีขึ้น ท่านแม่ว่าถูกหรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าลง แม้ว่าตอนนี้จะมองเห็นสีหน้านางได้ไม่ชัด แต่ท่าทางของนางกลับเพียงพอที่จะเรียกคะแนนสงสารได้
——
[1] วัยปักปิ่น หมายถึง เด็กสาวที่มีอายุครบ 15 ปี สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้
[2] พิธีปักปิ่น หรือ พิธีจี้หลี่ คือ พิธีที่แสดงถึงการบรรลุนิติภาวะของหญิงสาวที่มีอายุครบ 15 ปี เด็กสาวจะมัดผมเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ภายในพิธีบรรดาแขกผู้หญิงจะมาช่วยกันปักปิ่นให้กับหญิงสาว