ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 67 ค้างคืน
ซูเหลียนอวิ้นอ้อนวอนอันเพ่ยอิงอยู่กว่าครึ่งชั่วยาม ท้ายที่สุด การเกลี้ยกล่อมและคำหวานต่างๆ ที่หยิบมาใช้ก็ได้ผล อันเพ่ยอิงยอมยกธงขาวแล้วเอ่ยว่า “ก็ได้ๆ แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าต้องรีบไปรีบกลับ แล้วก็อย่าลืมพาองครักษ์ของเจ้าไปด้วย!”
“ตกลงเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าห่วงเลย ไม่มีปัญหาแน่นอน!” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าหงึกๆ ราวลูกไก่หาข้าวสาร
“เช่นนั้นก็ดี…รีบไปรีบกลับนะ!” ตอนนี้อันเพ่ยอิงเดินได้ก้าวหนึ่งก็รั้งซูเหลียนอวิ้นไว้ทีหนึ่ง สุดท้ายพอซูเหลียนอวิ้นขึ้นรถไปแล้ว นางก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะโบกผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วเอ่ยกำชับอีกครั้งหนึ่งว่า “เจ้าต้องระวังตัวให้มากๆ นะ!”
“โธ่ ท่านแม่ อย่าห่วงเลย ลูกไปแล้วนะเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นปิดม่านลงแล้วส่งสัญญาณบอกหลานเย่ว์ “ไปเถิด อย่ามัวช้าอยู่เลย”
ระยะห่างระหว่างที่นี่กับวัดฝ่าฝัว ต่อให้ขับรถม้าไปช้าๆ ก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่หากกำชับอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วเช่นนี้…
ซูเหลียนอวิ้นมีแต่จะรู้สึกละอายใจมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นได้ยินน้อยหน่อยจะดีกว่า!
ซูเหลียนอวิ้นเลิกมุมหนึ่งของผ้าม่านขึ้นเงียบๆ มองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างระมัดระวัง ความทรงจำของนางค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับความทรงจำเมื่อชาติที่แล้ว
ทั้งๆ ที่เป็นถนนเส้นเดียวกันแท้ๆ! ทำไมถึงรู้สึกว่าหนทางคราวนี้ยาวไกลว่าแต่ก่อนมากนัก
‘เฮ้อ…’
อีกอย่าง เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าร้านขายขนมแป้งนึ่งระหว่างทางรสชาติถึงไม่หวานแล้วก็ไม่ดึงดูดใจเหมือนวันก่อน เพราะไม่ว่าจะเป็นนางในอดีตหรือปัจจุบัน ขอเพียงผ่านร้านขายขนมร้านนี้จะต้องซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปแน่นอน แต่ซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้กลับไม่มีความสนใจในเรื่องนี้เลย
นางเพียงรู้สึกว่าเส้นทางสู่วัดฝ่าฝัว เหตุใดถึงได้ยาวไกลนัก! ทั้งยังใช้เวลาแสนนาน……
ตอนนี้นางไม่รู้ว่าหากท่านอาจารย์พบหน้านางจะมีแววตาประหลาดใจสักเพียงใด พอคิดถึงตรงนี้ซูเหลียนอวิ้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ
เพราะในชาติก่อนตอนที่นางแอบเข้าไปในป่าผืนนั้นเป็นครั้งแรก อาจารย์ของนางไม่ได้มีทีท่าประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ ราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องใดที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้เลย แน่นอนว่ายกเว้นเรื่องนั้น…
หลีมู่เมื่อเห็นท่าซูเหลียนอวิ้นที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวไม่ยิ้มดังนั้น ก็แอบขมวดคิ้ว
‘คุณหนู…ท่าทางไม่ดีเสียแล้ว!’
“คุณหนูเจ้าคะ” หลีมู่ยื่นน้ำผสมน้ำผึ้งแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเรายังอยู่ห่างจากวัดฝ่าฝัวอีกระยะหนึ่ง คุณหนูนอนพักสักหน่อยดีหรือไม่ หรือว่าจะกินขนมสักหน่อยดีเจ้าคะ คุณหนู…ทำใจให้สบายเถิดเจ้าค่ะ” มิฉะนั้นแล้วหากผู้ใดเห็นภาพนี้เข้าคงตกใจแย่ หลีมู่เกรงว่าอีกประเดี๋ยวคุณหนูจะร้องไห้ออกมา จะพาให้วุ่นไปกันใหญ่!
“อืม ก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นรับน้ำผสมน้ำผึ้งแก้วนั้นมาจิบสองสามครั้ง จากนั้นจึงวางไว้บนโต๊ะชาแล้วไม่แตะมันอีก ตอนนี้นางแค่อยากนอนพัก ผ่อนคลายและสงบจิตสงบใจ แต่นางกลับผ่อนคลายไม่ได้!
ตอนนี้ในหัวของนางคิดวนเวียนเพียงว่าเมื่อถึงแล้วจะปรากฏตัวอย่างไรให้น่าประทับใจ หรือไม่ก็ทำให้เขาตกใจสักนิดหน่อย มิเช่นนั้นการปรากฏตัวครั้งนี้จะน่าเบื่อเกินไป
“ช่างเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นหาว “ข้านอนสักหน่อยดีกว่า หลีมู่หากใกล้จะถึงแล้ว อย่าลืมเรียกข้าด้วยล่ะ” ไปคิดวิธีการในฝันเอาก็ได้ แถมยังได้นอนอย่างน้อยก็สบายกว่าตอนนี้
“เจ้าค่ะคุณหนู เดี๋ยวบ่าวจะพัดให้นะเจ้าคะ”
“อืม ก็ได้…”
…
ด้านนอกวัดฝ่าฝัว
ชายสวมชุดขาวกำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่ลำพัง ทว่าพอเข้ายามจื่อ[1] พลันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้ม “ในที่สุดก็มาเสียที…”
“คุณหนูขอรับ พวกเราถึงกันแล้ว” ด้านนอกรถม้า เสียงแข็งกร้าวของหลานเย่ว์ดังขึ้น
“ถึงเสียที!” ไม่ทันรอให้หลีมู่ได้เอื้อนเอ่ย ซูเหลียนอวิ้นก็ลุกพรวดขึ้นแล้วยกขากระโดดลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบิดขี้เกียจ “ถึงสักที ไม่เสียแรงที่ข้านอนมาตั้งนาน”
“หลีมู่! ลงมาเถิด” ซูเหลียนอวิ้นกวักมือส่งสัญญาณให้หลีมู่รีบลงจากรถม้า
“เจ้าค่ะ…” แต่จากบนรถม้าถึงพื้นดินมีระยะห่างค่อนข้างสูง ทว่าด้วยความรีบร้อนของซูเหลียนอวิ้น จึงยังไม่ทันได้วางบันได นางก็กระโดดลงมาเสียแล้ว แต่หลีมู่นั้นไม่เหมือนกัน เมื่อเห็นระยะความสูงเช่นนี้ นางจึงรู้สึกเสียวไส้ ครั้นเมื่อเห็นแววตาอันเร่งรีบของซูเหลียนอวิ้น หลีมู่จึงต้องกัดฟันแล้วแข็งใจกระโดดลงมา
“คุณหนู! คุณหนูไม่ได้จะฝึกเป็นกุลสตรีหรือเจ้าคะ!” หลีมู่กระโดดลงมาแล้วทุบไปที่อกตัวเอง จากนั้นจึงย่างสองก้าวเข้าไปหาซูเหลียนอวิ้น “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเคยเห็นกุลสตรีบ้านไหนกระโดดลงจากรถม้าบ้างเจ้าคะ! หากผู้อื่นเห็นคุณหนูในสภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะพูดถึงคุณหนูว่าอย่างไรอีก! เช่นนั้นความพยายามที่ผ่านมาของคุณหนูไม่เท่ากับเสียแรงเปล่าหรอกหรือเจ้าคะ”
หลีมู่เริ่มหัวร้อน ทำไมคุณหนูของตนถึงไม่รู้จักมีน้ำอดน้ำทนบ้าง! เป็นเรื่องยากขนาดไหนที่นางไม่ยอมออกไปที่ใดเลย ยอมอดทนอยู่เหย้าเฝ้าเรือนจนแก้นิสัยเดิมได้ ทว่าอุปสรรคเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เหตุใดถึงลืมตัวไปเสียได้!
“หืม?” ซูเหลียนอวิ้นเกาศีรษะ “หลีมู่เจ้าพูดอะไรอยู่น่ะ อะไรคือเป็นกุลสตรี ไม่เป็นกุลสตรี…”ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย
ซูเหลียนอวิ้นได้ปฏิญาณเอาไว้แล้ว ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ในชาตินี้ อะไรที่นางอยากทำ นางก็จะทำอย่างเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อน คนหรือเรื่องใดที่นางไม่ชอบ นางก็จะเอาพวกเขาไปกองหลบไว้อีกด้านหนึ่ง
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมช่วงนี้นางถึงไม่ยอมออกไปเที่ยวเล่นนั้น…นั่นเป็นเพียงเพราะช่วงนี้อันเพ่ยอิงกับหวังฉือหวนจับตาดูนางอยู่ไม่ห่าง นางไม่มีทางออกไปไหนได้! ต่อให้หนีออกไปนางเองก็ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนดี ดังนั้นที่ผ่านมาจึงไม่ยอมออกไปที่ใดเลย แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าการกระทำที่ไม่มีเจตนาของนางนี้จะทำให้หลีมู่เข้าใจผิดไป
เข้าใจผิดว่าต่อจากนี้ไปซูเหลียนอวิ้นจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ เริ่มปฏิญาณตนเป็นกุลสตรี
“โธ่ ไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้นก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นผลักหลีมู่เบาๆ “แถมตรงประตูนี้ก็ไม่มีคนอยู่ คนอื่นล้วนต้องนั่งรถม้าเข้าไป ใครกันจะมาลงรถม้าตรงนี้ หลีมู่เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“อ้อ หลี่มู่ ในเมื่อเจ้าลงรถมาแล้ว ช่วยไปบอกกล่าวแก่นักบวชด้านในไว้ก่อน บอกว่าคืนนี้พวกเราจะค้างคืนที่นี่หนึ่งคืน แล้วก็อย่าลืมเลือกห้องที่ทำเลดีๆ ด้วยล่ะ”
“อะไรนะเจ้าคะ?!” หลีมู่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนถอยหลังไปครึ่งก้าว “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินสั่งไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าให้พวกเรารีบไปรีบกลับ”
ทำไมคุณหนูถึงคิดวางแผนจะค้างที่นี่? และหากวางแผนไว้เช่นนั้นจริง ทำไมถึงไม่ยอมบอกกล่าวบ่าวไว้บ้าง ข้าวของต่างๆ ล้วนไม่ได้พกมาสักชิ้น!
ไม่ถูกสิ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ! ประเด็นสำคัญคือ…เหตุใดจู่ๆ จึงตัดสินใจจะค้างคืนที่นี่ต่างหาก
“สั่งไว้? ท่านแม่สั่งไว้เช่นนั้น? ทำไมข้าถึงจำไม่ได้ล่ะ” ซูเหลียนอวิ้นทำตาปริบๆ อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จากนั้นจึงเอ่ยปลอบอย่างจริงใจ “หลีมู่ เจ้าดูสิว่าตอนนี้มันยามใดแล้ว กว่าพวกเราจะจุดธูปไหว้พระเสร็จแล้วกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปเท่าใดแล้ว? ฟ้าก็คงจะมืด เดินทางกลับตอนฟ้ามืด เจ้าไม่กลัวหรือ ส่วนข้านั้นกลัวแน่ ดังนั้นคืนนี้พวกเราค้างที่นี่สักคืนเถิดแล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ”
——
[1] ยามจื่อ คือ เวลา 23.00 – 24.59 น.