ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 68 เตรียมตัว
คำพูดที่จริงจังทุกคำพูดของซูเหลียนอวิ้นบวกกับน้ำเสียงที่สุขุมรอบคอบ ทำให้ดูเหมือนว่านางเป็นกังวลกับหนทางในการกลับจวนจริงๆ อีกอย่างคำพูดเกลี้ยกล่อมชักจูงทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่านางพยายามหาทางออกที่ดีกว่าให้
พอหลีมู่ได้ฟังเหตุผลของซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มรู้สึกคล้อยตาม ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน จิตใจของนางจึงเริ่มสงบลงแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเจ้าคะ พวกเราก็ให้หลานเย่ว์ขับรถม้าให้เร็วหน่อย ก็คงจะกลับถึงจวนได้ก่อนฟ้ามืด แถมช่วงนี้ยังอยู่ในฤดูร้อน ฤดูร้อนกลางวันยาวนานมืดช้านะเจ้าคะ”
“ไม่ ไม่ได้หรอก!” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือ “ขั้นตอนต่างๆ ในการไหว้พระ ความพิถีพิถันแสดงถึงความศรัทธาอย่างหนึ่ง หากพวกเราต้องการจะแสดงถึงความตั้งใจ คงจะต้องใช้เวลามากหน่อย ดังนั้นไม่มีทางที่จะกลับถึงบ้านก่อนฟ้ามืดได้!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นที่ยืนกรานและตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะค้างคืนที่นี่ หลีมู่จึงเริ่มเข้าใจ มิน่าเล่าตอนที่คุณหนูได้ยินว่าจะไปวัดฝ่าฝัวถึงได้ตื่นเต้นขนาดนั้น ที่แท้จุดประสงค์ของนางนั้นอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก! นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้เที่ยวเล่นอย่างเต็มที่ทั้งวัน!
“คุณหนูเจ้าคะ!” หลีมู่ยังคิดจะหว่านล้อมต่อ ทั้งยังตัดสินใจจะใช้ไพ่ใบสุดท้ายของตน นางหวังว่าเมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเรื่องนี้จะต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะนอนค้างคืนที่นี่อย่างแน่นอน นางจึงเอ่ยว่า “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูไม่ยอมบอกล่วงหน้าว่าจะค้างที่นี่ ดังนั้น…ก่อนที่บ่าวจะออกเดินทางมาที่นี่จึงไม่ได้พกเงินทองหรือของมีค่าติดตัวมาเลย” หลีมู่แบมือและตบไปทั่วร่างของตนเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนมิได้พกกระเป๋าเงินติดตัวมาจริงๆ
ทีนี้คุณหนูคงจะยอมเลิกราเสียทีกระมัง นางมิได้พกเงินติดตัวมาเลยจะค้างคืนได้อย่างไร ไหนจะข้าวปลาอาหารอีก! ดังนั้นคงต้องยอมกลับจวนแต่โดยดีเสียแล้ว
น่าเสียดายที่แม้นางจะพยายามหาทางออกจนได้แล้ว แต่กลับต้องรับมือกับโจทย์ข้อต่อไปอีก
ซูเหลียนอวิ้นคิดถึงปัญหานี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงเป็นการช่วยหลีมู่แก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมยังคิดไว้รอบคอบกว่าหลีมู่เสียด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงยื่นมือเข้าไปในอกของตนแล้วหยิบตั๋วเงินมัดหนึ่งออกมาก่อนจะโบกไปมาให้หลีมู่ดูต่อหน้า “เจ้าดูนี่สิ! คุณหนูของเจ้าคิดถึงปัญหานี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าฉลาดไหมเล่า ข้ากลัวว่าเงินจะไม่พอจึงนำมาไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นเจ้าวางใจได้ เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายต่างๆ ของพวกเราทั้งสามคนอย่างแน่นอน”
หลีมู่ “…”
พอหลีมู่เห็นตั๋วเงินมัดนั้นก็อับจนคำพูด คุณหนูของนางวางแผนไว้อย่างรอบคอบยิ่งนัก! รู้ด้วยว่าหากจะค้างคืนต้องใช้เงิน!
“แต่ว่า…เรื่องเสื้อผ้าจะทำอย่างไรเจ้าคะ” หลีมู่กระเสือกกระสนหาทางรอด “ที่นี่ไม่มีร้านขายผ้านะเจ้าคะ ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ หากคืนนี้คุณหนูจะนอนค้างที่นี่ พรุ่งนี้ก็จะไม่มีผ้าเปลี่ยนนะเจ้าคะ”
“อ้อ เรื่องนี้ข้าก็คิดเอาไว้แล้วเหมือนกัน” ซูเหลียนอวิ้นกระโดดขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นจึงค้นหาห่อผ้าจนเจอแล้วยื่นออกไปนอกหน้าต่างพลางกวัดแกว่งให้หลี่มู่ดู “ในนี้มีเสื้อผ้าอยู่ ข้านำมาแล้ว แถมข้ายังเอามาเผื่อหลี่มู่ด้วยนะ ข้ารอบคอบใช่หรือไม่”
“แต่ไม่มีของหลานเย่ว์นะ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่สามารถไปค้นห้องหลานเย่ว์ได้ แต่หลานเย่ว์เป็นผู้ชาย ผู้ชายคงไม่จุกจิกมากนักกระมัง” ซูเหลียนอวิ้นยื่นหน้าออกมาแล้วพูดกับหลานเย่ว์ว่า “หลานเย่ว์ข้าตั้งใจว่าจะนอนค้างที่นี่สักคืน เจ้าทนได้หรือไม่หากต้องนอนโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าสักคืน พรุ่งนี้พวกเราค่อยเดินทางกลับกัน”
หลานเย่ว์ฟังพวกนางสนทนากันมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่มิได้พูดขัด ทว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกลับลากเขาเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย เขานิ่งไปชั่วครู่จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วตอบกลับว่า “คุณหนูใหญ่ขอรับ ข้าน้อยไม่มีปัญหา เมื่อก่อนข้ามิได้เปลี่ยนผ้าเป็นเดือนๆ ออกบ่อยไป เรื่องแค่นี้จะนับว่าเป็นปัญหาได้อย่างไร”
“หลานเย่ว์…!” หลีมู่กระทืบเท้า จากนั้นจึงจ้องเขม็งไปทางหลานเย่ว์เป็นนัยว่าเขาน่ารู้จักปฏิเสธบ้าง เพราะหากเห็นดีเห็นงามเช่นนี้ นางเองก็คงไร้หนทางไปต่อแล้ว
หลานเย่ว์เห็นสายตาเช่นนั้นของหลีมู่กลับหันหน้ากลับทางเดิมเงียบๆ แล้วไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยอีก เพราะตอนนี้ความหมายของซูเหลียนอวิ้นชัดเจนแล้วว่านางต้องการจะค้างคืนที่นี่! อีกทั้งปัญหาทั้งหมดนางล้วนแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วจะยังมีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธอีกเล่า?
แน่นอนว่ายังมีประเด็นที่สำคัญที่สุด ตอนนี้เจ้านายของเขาคือซูเหลียนอวิ้น เขาย่อมต้องสนับสนุนทุกการตัดสินใจของนาง ดังนั้นหลานเย่ว์จึงไม่ใส่ใจต่อสายตาขอความช่วยเหลือของหลีมู่แม้แต่น้อย
“เอาละ ในเมื่อปัญหาทั้งหมดถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว หลีมู่เจ้าไปจองห้องพักเถิด จองสองห้องก็เพียงพอ เราสองคนจะนอนห้องเดียวกัน ส่วนหลานเย่ว์นอนคนเดียวอีกห้องหนึ่ง” เมื่อกล่าวจบซูเหลียนอวิ้นจึงหยิบตั๋วเงินออกมาสองใบอย่างสบายใจแล้วยื่นให้หลีมู่ “รีบไปเถิด ข้าเกรงว่าหากไปช้าห้องเดี่ยวทำเลดีๆ จะถูกเลือกไปหมด เช่นนั้นจะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่”
หลีมู่รับตั๋วเงินสองใบบางๆ มาอย่างไร้คำพูด นางประมาทคุณหนูมากเกินไปหน่อย! ช่างเถิดๆ อย่างไรก็ไปไหนไม่ได้แล้ว เช่นนั้นไปจองห้องพักให้ได้จะดีกว่า
“คุณหนู อย่างนั้นบ่าวไปก่อนนะเจ้าคะ คุณหนูกับองครักษ์หลานไปหาที่จอดรถม้ากันก่อนเถิด”
“อืมๆ ได้” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือ “อีกประเดี๋ยวพวกเราจะไปพบเจ้า”
หลานเย่ว์เห็นสถานการณ์ดังนี้จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูยังจะกลับขึ้นรถม้าอีกหรือไม่ขอรับ” เนื่องจากในตอนนี้หลานเย่ว์คาดเดาไม่ถูกว่าในใจของซูเหลียนอวิ้นกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อครู่จู่ๆ ถึงได้กระโดดลงรถมา ตอนนี้ยังคิดจะกลับขึ้นรถอีก?
เมื่อเห็นเงาด้านหลังของหลีมู่ลับตาไปแล้วก็หันกลับมา “ไม่ต้องหรอก ข้าจะเดินเล่นอยู่แถวนี้ เจ้าไปหาที่จอดรถก่อนเถิด พอข้าเดินเล่นเสร็จแล้วข้าจะกลับมาที่นี่เอง”
“แต่ถ้าหาก…” หลานเย่ว์ไม่ได้พูดคำพูดที่เหลือออกมา นั่นคงเป็นเพราะคำพูดที่เหลืออยู่ค่อนข้างจะไม่เป็นมงคล หากเลี่ยงได้ควรเลี่ยง
จากนั้นเขาจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหยิบนกหวีดออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเอ่ยว่า “คุณหนูขอรับ นี่เป็นสิ่งที่คุณชายใหญ่ให้ข้านำมาให้คุณหนู วันนี้คุณหนูนำมันไปด้วยเถิด หากวันใดที่คุณหนูต้องเผชิญกับเรื่องวุ่นวายก็ให้เป่านกหวีดอันนี้ ข้ากับคนของข้าจะต้องรีบหาคุณหนูให้พบโดยเร็วที่สุด เพื่อดูแลความปลอดภัยให้คุณหนูขอรับ”
อันที่จริงแล้วนกหวีดอันนี้เป็นของหลานเย่ว์ จุดประสงค์ในการใช้สอยก็เพื่อที่เขาจะได้เรียกรวมพลของตัวเองได้อย่างสะดวก แต่ความเป็นความตายของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ต้องมาก่อน เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากแล้วมอบมันให้กับซูเหลียนอวิ้น
เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ดูท่าแล้วไม่ยอมแพ้ให้ใครหรือเรื่องใดอย่างง่ายๆ จากการคาดการณ์ของหลานเย่ว์ที่เพิ่งจะมาอยู่กับนางได้เพียงไม่กี่วันนั้น ไม่มีทางที่จู่ๆ นางก็คิดจะค้างคืนที่นี่ เพราะนางเตรียมสิ่งของทุกอย่างมาครบถ้วน เพื่อสกัดการขัดขวางของหลีมู่โดยเฉพาะ
ทว่าหลานเย่ว์กลับมิได้ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยมากนัก เพราะทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง เขาเองก็ไม่สามารถถามทุกอย่างออกไปได้ เพราะเขาเพิ่งจะมาอยู่กับซูเหลียนอวิ้นได้ไม่นานนัก อีกทั้งการมาในครั้งนี้แม้แต่หลีมู่เองก็ยังไม่รู้จุดประสงค์แท้จริงของซูเหลียนอวิ้น ดังนั้นการที่เขาไม่รู้ถือว่าสมควรแล้ว