ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 69 คนสนิท
ซูเหลียนอวิ้นลูบนกหวีดตัวนั้น จึงรับรู้ว่านกหวีดตัวนี้มีลวดลายเรียบๆ ธรรมดา รวมทั้งรับรู้ถึงความมนตามขอบนกหวีดที่เกิดมาจากการถูกมือสัมผัสมาหลายต่อหลายครั้ง
นกหวีดตัวนี้…คงจะเป็นของของหลานเย่ว์เองกระมัง เพราะหากซูมั่วเยี่ยต้องการจะมอบสิ่งของให้นางจริง เขาจะต้องมอบมันให้ถึงมือนางด้วยตัวเองถึงจะวางใจได้ อีกทั้งของชิ้นนั้นจะต้องเป็นของใหม่ที่ยังไม่ผ่านการใช้งานอีกด้วย
ซูเหลียนอวิ้นรู้ดีว่าการกระทำอันแปลกประหลาดของตนในวันนี้จะต้องไปกระตุ้นความสงสัยบางอย่างในตัวหลานเย่ว์เข้าแล้ว แต่นางรู้สึกขอบคุณหลานเย่ว์ที่ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียง หรือเค้นจะเอาคำตอบจากนางให้ได้
“ขอบคุณมาก” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าให้แล้วเก็บนกหวีดอย่างระมัดระวัง “ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนข้ากลับมาจะคืนมันให้เจ้า”
“ขอรับ” หลานเย่ว์ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้นจึงขับรถม้าจากไป
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นรถม้าค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ก็หมุนตัวกลับ แล้วมองไปยังภูเขาลูกเล็กๆที่อยู่ไกลๆ จากนั้นใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงของนาง
‘ท่านอาจารย์ ข้ามาแล้ว!’
ซูเหลียนอวิ้นก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยความคุ้นเคยเส้นทาง ทว่าเดินไปได้เพียงครึ่งทางก็ถอนใจ อาจารย์คนนี้ของนางขี้เกียจเกินไปหน่อยกระมัง ช่วงนี้ถึงไม่ได้ทำความสะอาดทางเดินบ้างเลย! ตามทางเดินเต็มไปด้วยหินก้อนเล็กๆ และกิ่งไม้กระจายไปทั่ว ไม่แปลกเลยที่คนภายนอกจะไม่รู้ว่ามีคนอาศัยอยู่แถวนี้ด้วย
หากเดินมาถึงตรงนี้ ใครจะอยากเดินต่อเล่า!
ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเท่าใด ใจของซูเหลียนอวิ้นก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดนางจึงเห็นเงาด้านหลังที่คุ้นตาเป็นอย่างดี
เงาสูงโปร่ง สวมชุดขาวยาวพลิ้วไหวตามสายลม ดวงหน้างดงามราวหยก ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องต้องไปยังชุดขาวจนเกิดเป็นแสงสุกสกาวระยิบระยับประหลาดตา อีกทั้งนี่เป็นเพียงการมองจากด้านหลังเท่านั้น ยังทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกครั่นคร้ามถึงเพียงนี้ ในหัวปรากฏเพียงตัวอักษรแปดตัวเท่านั้น
‘คุณชายหน้าหยก เรืองรองอร่ามตา’
ฝีเท้าของซูเหลียนอวิ้นหยุดลงช้าๆ ข้ออ้างสวยหรูที่ตระเตรียมมา ตอนนี้กลับตะกุกตะกักอยู่ในลำคอ แม้จะพยายามเท่าใดก็พูดไม่ออก
คนผู้นั้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดลงก็ค่อยๆ หันกลับมาแล้วเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์ ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ”
‘ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ…’
อารมณ์ของซูเหลียนอวิ้นคล้ายถูกคำพูดประโยคนี้สะกิดใจเข้า ตอนนั้นน้ำตาของนางพรั่งพรูแล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดของอีกฝ่าย พลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านอาจารย์ ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ”
หรงซู่รู้สึกขบขันเมื่อเห็นภาพดรุณีน้อยโผเข้าใส่อกตน เด็กคนนี้ยังคงเป็นเช่นเดิม…
สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ หรงซู่ผู้ที่เป็นดั่งเทพเซียนจากวังสวรรค์ สูงส่งเหนือโลกีย์เมื่อครู่นั้น ตอนนี้พอโดนซูเหลียนอวิ้นโผเข้าใส่อย่างกะทันหัน กลับคล้ายตกลงสู่วังวนของมนุษย์ ภาพลักษณ์เมื่อครู่พลันมลายหายในพริบตา!
“เอาล่ะๆ” หรงซู่ลูบผมซูเหลียนอวิ้นไปมา แล้วใช้น้ำเสียงปลอบประโลมระคนหน่ายใจ “โตถึงเพียงนี้แล้ว ทำไมถึงยังแก้นิสัยไม่ได้อีก”
ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ หลุดออกจากอารามความตื่นเต้นเมื่อครู่ แล้วหยิบผ้าออกมาซับน้ำตา จากนั้นจึงหันกลับไปนั่งลงบนม้านั่งหิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “โตอะไรกัน ข้ายังมิได้ปักปิ่นเลย ยังถือว่าเป็นเด็กอยู่ ทำไมหรือ”
สิ้นเสียงพูด ซูเหลียนอวิ้นคล้ายนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นเพราะนางเกิดใหม่แล้วถึงได้มีความทรงจำจากเมื่อชาติก่อนรวมอยู่ด้วย แต่อาจารย์ของนางรู้ได้อย่างไร เพราะเมื่อครู่ยังเอ่ยว่า…ไม่เจอกันนานแล้ว
‘ไม่เจอกันนานแล้ว?’
เมื่อก่อนมิได้เคยเจอกันแล้วหรือ แต่ครั้งนี้เป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองหลังจากที่นางกลับมาเกิดใหม่
“ท่านอาจารย์ ท่านรู้เรื่องทั้งหมดหรือเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นเอียงคอมองหรงซู่อย่างสงสัยใคร่รู้
“รู้อะไรหรือ” หรงซู่ปัดเสื้อผ้าของตน จากนั้นจึงนั่งลงบนม้านั่งหินตรงข้ามซูเหลียนอวิ้น
“คือว่า…” ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี แต่เมื่อนึกถึงความสามารถของหรงซู่แล้วก็ผ่อนคลายขึ้น ต้องเป็นท่านอาจารย์แน่ๆ ที่ให้โอกาสนางกลับมาเกิดใหม่ครั้งนี้
“ท่านอาจารย์ การที่ข้าได้กลับมาเกิดใหม่ คงเป็นฝีมือของท่านกระมัง” นางถามออกไปอย่างใสซื่อและตรงไปตรงมา
หรงซู่ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ก็มิได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย จึงจิบชาหนึ่งทีแล้วเอ่ยว่า “ข้าเพียงออกแรงเพียงน้อยนิดเท่านั้น มิได้เป็นฝีมือข้าทั้งหมด”
เมื่อได้ยินดังนี้น้ำตาของซูเหลียนอวิ้นจึงเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาอีก ตาทั้งสองข้างของนางเริ่มพร่ามัว “ท่านอาจารย์ ทำไมท่านถึงไม่ถามถึงความสมัครใจของข้าบ้าง” ถามข้าสักหน่อยว่าอยากจะกลับมาเกิดในครั้งนี้หรือไม่! ไม่ถามความคิดเห็นของข้าแล้วยังทำให้ข้ากลับมามีชีวิตใหม่อีกรอบหนึ่ง!
“ความเห็นของเจ้าสำคัญหรือ” หรงซู่เหลือบมองซูเหลียนอวิ้น ตอนนั้นเองที่นิสัยแท้จริงของเขาได้เปิดเผยออกมา
มือของซูเหลียนอวิ้นชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็กลับมาปาดคราบน้ำตาที่ยังคงเหลืออีกนิดหน่อย นางรู้ดีว่าไม่ว่าจะอย่างไร ท่านอาจารย์ก็ยังคงเป็นท่านอาจารย์ เพราะคนที่สามารถพูดกับนางแบบนี้ได้ แถมยังใช้น้ำเสียงแบบนี้ต่อว่านาง คนทั่วไปย่อมมิอาจเลียนแบบได้
สำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าหรงซู่เป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ เป็นทั้งญาติและเพื่อนสนิท
เมื่อชาติก่อนซูเหลียนอวิ้นนั้นอ้างว้างโดดเดี่ยว คนทั้งแผ่นดินล้วนไม่เข้าใจนางและมองนางในแง่ลบ แม้แต่คนในครอบครัวตัวเองแท้ๆ ก็ไม่สนับสนุนการตัดสินใจของนาง มีเพียงหรงซู่ที่นางยังพอมาหาเขาได้ในบางครั้ง เพื่อพูดคุยสัพเพเหระและระบายความอัดอั้นในใจ
ตอนนั้นหรงซู่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของนาง และเป็นคนสนิทเพียงหนึ่งเดียว
แต่หากถามว่าเพราะเหตุใดซูเหลียนอวิ้นจึงไม่มีใจให้หรงซู่ แถมยังมีใจแน่วแน่ให้ต้วนเฉินเซวียนอย่างไม่แปรเปลี่ยน? หากพูดถึงรูปลักษณ์ผิวพรรณ ผิวพรรณของหรงซู่นั้นเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง อันที่จริงคำตอบของคำถามนี้ง่ายมากทีเดียว
นั่นเป็นเพียงเพราะว่า ท่าทางของหรงซู่ผู้นี้สูงส่งมากเกินไป!
เมื่อมองดูหรงซู่ ซูเหลียนอวิ้นไม่สามารถปลุกความรู้สึกอยากเย้าแหย่คลอเคลียของสตรีออกมาได้เลย! เพราะเขาเหมือนเทพองค์หนึ่ง แม้ว่ารูปโฉมจะเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง แต่เป็นเพราะความแตกต่างที่มากเกินไป ทำให้ไม่มีผู้ใดมีความคิดชั่วร้ายกับเขาได้เลย แม้ว่าผู้ที่คุ้นเคยกับภูมิหลังของเขาเป็นอย่างดีจะรู้ว่านี่เป็นเพียงเปลือกนอก แต่ความทรงจำแรกกลับฝังรากลึกไปเสียแล้ว
หรงซู่ในคำจำกัดความของซูเหลียนอวิ้น หากต้องบรรยายจริงๆ คนผู้นี้ก็คือคนสนิท คนสนิทมากๆเท่านั้น สามารถพูดคุยความในใจได้บางเรื่อง หากเทียบกับพี่ชายแท้ๆ อย่างซูมั่วเยี่ยแล้วก็ถือว่ายังสนิทกว่าอยู่เล็กน้อย
อีกทั้งพวกเขาทั้งสองต่างยอมรับกันและกันในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ ยิ่งถือว่าเป็นการยกระดับความรู้สึกสนิทสนมมากขึ้น
และเพราะว่าตลอดมาหรงซู่มองซูเหลียนอวิ้นเป็นดั่งรุ่นน้องของตนและเด็กดื้อเพียงคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าอายุของทั้งสองจะไม่ได้ห่างกันมากนัก ดังนั้นหากจะจับทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องไปถามถึงความเห็นของคนอื่นเพราะเขาทั้งสองคนต่างจะปฏิเสธเป็นเสียงเดียว เนื่องจากใครจะมีความรักกับรุ่นพี่คนสนิทของตัวเองได้?
“ท่านอาจารย์…” ซูเหลียนอวิ้นเอนตัวพิงเก้าอี้หินแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่เจอกันตั้งนาน ข้ายังหาคำพูดดีๆจากปากของท่านไม่เจอเช่นเดิม”
“อืม ข้านึกว่าเจ้าชินแล้วเสียอีก คงไม่ได้เจอกันมานานเกินไป เจ้าถึงไม่ชินเสียแล้ว”
มิผิด แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของหรงซู่เปรียบได้กับเทวดาเดินดิน แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนปากร้ายอย่างยิ่ง
“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ท่านยังมิได้บอกข้าเลยว่า หากไม่ใช่ฝีมือท่านที่ทำให้ข้าได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว เช่นนั้นจะเป็นใครได้อีก ท่านพ่อ ท่านแม่หรือพี่ชายของข้า?”
“ไม่” หรงซู่วางถ้วยชาในมือลงแล้วส่ายศีรษะ “เป็นคนที่ติดหนี้เจ้าเอาไว้มากมาย จึงมาคืนหนี้ให้แก่เจ้า”