ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 70 ว่าด้วยเรื่องกระบี่
“คนที่ติดหนี้ข้าไว้มาก?” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นจากโต๊ะหิน “ใครกัน…”
มีบุคคลผู้นี้อยู่ด้วย? ทำไมนางถึงจำอะไรไม่ได้เลย
แม้ว่าเมื่อชาติก่อนนางจะมิใช่นักโทษที่ทำความผิดฉกรรจ์ แต่ก็มิใช่พระผู้เป็นเจ้าที่ลงมาโปรดมนุษย์ให้พ้นทุกข์
คนที่ติดหนี้นางไว้มาก…คนผู้นั้นคือใครกัน
กล่าวได้ว่า บางครั้งสมองของมนุษย์ก็สามารถเข้าสู่ทางตันและหาทางออกไม่ได้ เช่นเดียวกับซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าคนผู้นั้นคือใคร
เมื่อหรงซู่เห็นท่าทางเดี๋ยวเกาศีรษะ เดี๋ยวเกาหูของนางก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยถ้อยคำใดดี
เขาจึงเอ่ยว่า “ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง” จากนั้นเขาก็กลับไปวางท่าสูงส่งเหนือโลกียวิสัยอีกครั้ง
“อ้อ…ก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นคุ้นเคยกับนิสัยเฉลยครึ่งหนึ่งเก็บงำไว้ครึ่งหนึ่งของหรงซู่ดี ทว่าในตอนนี้ นางห้ามเผยท่าทางว่าที่แท้แล้วตนก็อยากรู้เรื่องนี้ออกไปอย่างเด็ดขาด เพราะหากถูกหรงซู่จับได้ เขาจะกุมจุดอ่อนนั้นของเราไว้ทันที
“เจ้ามิอยากรู้?” หรงซู่เลิกคิ้ว เจ้าเด็กคนนี้ทำไมถึงไม่ซักไซ้ต่อ เขาได้เตรียมบทพูดไว้หมดแล้ว หากนางไม่ถาม เขาจะพูดต่อได้อย่างไรเล่า
คอยดูเถอะ…ซูเหลียนอวิ้นแอบคิดอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน
“มิอยากรู้” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “ในเมื่อติดหนี้ข้าไว้เยอะนัก ข้าได้รับการตอบแทนเช่นนี้ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว ดังนั้นข้าจะสงสัยไปทำไมกัน ถึงอย่างไรข้าก็ควรจะเป็นคนตัดสินใจเองมิใช่หรือ”
เมื่อหรงซู่เห็นนางไม่ติดกับดักก็ลอบถอนใจ คงไม่เจอกันนานแล้วจริงๆ ร่างกายไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่ความคิดเติบโตขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
“อวิ้นเอ๋อร์ ในเมื่อไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เช่นนั้นพวกเรามาลับฝีมือกันสักกระดานเถิด” หรงซู่เก็บกระดานหมากล้อมที่ยังเล่นไม่เสร็จเมื่อครู่ไปพลางเอ่ยขึ้น “หากเจ้าชนะอาจารย์ได้ อาจารย์จะมีรางวัลให้เจ้า”
“หากข้าแพ้?” ซูเหลียนอวิ้นหาได้ใส่ใจว่าชนะแล้วจะได้อะไร นางสนใจว่าแพ้แล้วจะเป็นอย่างไรมากกว่า
“หากเป็นฝ่ายแพ้…” หรงซู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ครั้งนี้จะไม่มีบทลงโทษสำหรับฝ่ายแพ้ อาจารย์แค่อยากเห็นว่าฝีมือของเจ้าว่าพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็คงเอาชนะข้าไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นอย่าคิดมากนักเลย”
“ฮึ!” ซูเหลียนอวิ้นแค่นเสียงแต่ไม่มีอากัปกิริยาอื่น เนื่องจากสิ่งที่หรงซู่พูดนั้นคือความจริง นางเอาชนะเขาไม่ได้อยู่แล้ว
“ทว่าอย่าถอดใจไปเสียก่อน เพราะถ้าชนะข้าขึ้นมาละก็…” หรงซู่เอ่ยต่อช้าๆ
“ได้ๆ อย่ามัวแต่เสียเวลากันอยู่เลย รีบเล่นให้เสร็จเถิด” ตอนนี้นางเริ่มหิวแล้ว
หรงซู่ยิ้ม ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ และครั้งนี้เขาเลือกใช้หมากดำจึงได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ซูเหลียนอวิ้นมองเห็นการลงหมากที่คุ้นเคยจึงลงหมากสีขาวตามลงไป ครั้งนี้นางมิได้ทำตัวใสซื่อสงวนท่าทีวางหมากป้องกันเพียงอย่างเดียว เพราะการประลองกับหยางอวี้หลินคราวนั้นจุดประกายให้เกิดขึ้นในใจนางอย่างใหญ่หลวง หากตอนนี้คิดจะเอาชนะแล้วละก็…
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้อายุท่านก็ไม่น้อย ข้าเองก็จวนจะปักปิ่นอยู่แล้ว ท่านอาจารย์วางแผนจะแต่งงานเมื่อไหร่กัน”
เมื่อหรงซู่ได้ยินคำถามประโยคนี้ของซูเหลียนอวิ้น มือที่สัมผัสหมากของเขาจากเดิมที่หนักแน่นเริ่มสั่นเทา ทว่าเพียงครู่เดียวเขาก็สามารถเก็บอาการได้เป็นปกติดังเดิมแล้วตอบว่า “อยากกวนสมาธิข้า? เช่นนั้นอาจารย์ขอถามเจ้าบ้าง เจ้ากับคุณชายต้วน ต้วนเฉินเซวียน ช่วงนี้ความสัมพันธ์เป็นอย่างไรบ้าง”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
“ท่านอาจารย์ สุภาพชนจะไม่วิจารณ์ระหว่างดูการลงหมาก แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีคนดู แต่พวกเรากำลังแข่งขันกันอยู่ ดังนั้นอย่าเพิ่งสนทนาอะไรกันเลย”
คุยกันดีๆ ไม่ได้เลย! ในมือของนางมีจุดอ่อนของหรงซู่เพียงข้อนี้ข้อเดียว แต่จุดอ่อนของนางที่หรงซู่กำไว้นั้นมีมากมายนัก ดูท่าแล้วหุบปากไว้จะดีกว่า
กลยุทธ์ครั้งนี้ที่ซูเหลียนอวิ้นเลือกใช้ล้วนเป็นการเดินหมากเพื่อโจมตีทั้งสิ้น เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าคือหรงซู่ หากเลือกกลยุทธ์เพื่อป้องกัน เกรงว่าจะต้านทานไม่อยู่ อีกทั้งนางยังปรารถนาเป็นฝ่ายกำชัยจึงทุ่มเทความหวังทั้งหมดไว้กับการเดินหมากครั้งนี้ ไม่แน่นางอาจจะเป็นฝ่ายชนะก็ได้
ท้ายที่สุด เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ผลแพ้ชนะก็ปรากฏออกมา
“อวิ้นเอ๋อร์ ฝีมือหมากล้อมของเจ้า ยังคงต้องพยายามให้มากขึ้น” หรงซู่มองหมากกระดานนี้แล้วกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพอใจ
“อืม ศิษย์ทราบแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเบะปาก แล้วเบือนหน้าหนีสีหน้าพออกพอใจของอีกฝ่าย มิเช่นนั้นแล้วนางเกรงว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ คันมือคันไม้ แม้จะรู้ดีว่าต่อให้ลงมือก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้อยู่ดี
“อืม…ในเมื่ออาจารย์ได้เห็นฝีมือหมากล้อมของเจ้าแล้ว เช่นนั้นให้อาจารย์ได้เห็นฝีมือกระบี่ของเจ้าบ้างได้หรือไม่? ดูว่าเจ้าขี้เกียจฝึกฝนในด้านนี้หรือไม่” หรงซู่ลุกขึ้น จากนั้นจึงเดินกลับไปยังกระท่อมไม้ไผ่ด้านหลังแล้วหยิบกระบี่เล่มหนึ่งออกมาโยนให้ซูเหลียนอวิ้น
ซูเหลียนอวิ้นรับมันมาแล้วสัมผัสกระบี่เล่มนี้ ทันใดนั้นพลันเบิกตากว้าง
นี่…นี่คงมิใช่กระบี่เหยี่ยนชิงกระมัง! เมื่อชาติที่แล้วนางอยากสัมผัสมันตลอดมา แต่น่าเสียดายที่หรงซู่หวงแหนมันอย่างกับอะไรดี ไม่ยอมให้นางแตะต้องเด็ดขาด
ตอนนั้นหรงซู่บอกเอาไว้ว่า ‘กระบี่เล่มนี้นับว่าคมเกินไปสำหรับเจ้า อาจารย์เกรงว่าหากพลาดพลั้งไปอาจทำให้บาดเจ็บได้ ดูได้แต่ตา มือห้ามแตะต้อง’
แต่วันนี้หรงซู่กลับส่งกระบี่เล่มนี้ให้นางง่ายๆ? โดยที่ไม่เกรงว่าจะเกินกว่าที่นางจะรับได้ แม้จะยังไม่ชักออกจากปลอกกระบี่ เช่นนี้หากไม่ทันระวังจนพลาดพลั้งทำนางบาดเจ็บเล่า!
“ท่านอาจารย์…ท่านเคยบอกมิให้ข้าแตะต้องกระบี่เล่มนี้มิใช่หรือ วันนี้เหตุใดท่านถึงได้ใจกว้างหยิบยื่นให้ข้าง่ายๆ เช่นนี้”
หรงซู่สืบเท้าเข้าหานางพลางเอ่ย “นั่นคือเมื่อก่อน แต่เจ้าในตอนนี้…ใช้กระบี่เล่มนี้ได้แล้ว มา เจ้าใช้กระบี่เล่มนี้ ส่วนอาจารย์จะใช้เล่มนี้ เรามาประลองกันสักเพลง” สิ่งที่หรงซู่ถืออยู่ในมือเป็นไม้ก้านหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเก็บขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“แต่ครั้งนี้หากแพ้จะต้องมีบทลงโทษ และแน่นอนว่าหากเจ้าชนะ อาจารย์รับปากว่าจะบอกเล่าเรื่องที่ตกลงกับเจ้าเมื่อตอนประลองหมากให้ได้รู้ มีเพียงสองตกลงนี้”
ซูเหลียนอวิ้นลูบไล้กระบี่เหยี่ยนชิงที่อยู่ในมือ นางรู้สึกลังเลอยู่บ้าง แต่เงื่อนไขที่หรงซู่เสนอตอนนี้น่าสนใจมาก! ทั้งนางเองก็อยากเห็นว่าคมของกระบี่เหยี่ยนชิงนั้นเป็นอย่างไร ไม่ใช่เพียงมองปลอกกระบี่อยู่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงอยากจะสะบัดกระบี่เหยี่ยนชิงดูสักครา
“ตกลง” ซูเหลียนอวิ้นใช้มือขวาชักกระบี่ออกจากปลอก “ลองดูสักตั้งเถิด” ทันทีที่สิ้นเสียง ซูเหลียนอวิ้นก็รุกเข้าจู่โจมราวกับไม่อาจยับยั้งตนเองไว้ได้
แม้ว่าสิ่งที่หรงซู่ถืออยู่ในมือจะเป็นเพียงกิ่งไม้ แต่กลับแข็งแรงทนทานยิ่งนัก จึงรับมือการบุกโจมตีของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ได้
ทว่า เมื่อหรงซู่เห็นกระบวนท่าของซูเหลียนอวิ้นแล้ว ดวงตาของเขาก็ปรากฏความกังวล
หลังจากลงมือกันอยู่หลายกระบวนท่า หรงซู่ก็ถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว แล้วเหวี่ยงกิ่งไม้นั้นขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะกลับมายืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไร้อาวุธในมือ
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของหรงซู่ก็ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร จึงได้แต่หยุดฝีเท้าของตนไว้ เม้มริมฝีปากเพราะไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
ทว่าในช่วงเวลาที่กิ่งไม้นั้นกำลังร่วงหล่นลงมา หรงซู่กลับใช้มือขวาคว้ามันเอาไว้ แล้วตวัดเข้าที่กระบี่ในมือของซูเหลียนอวิ้นจนกระบี่หลุดจากมือนางไป ซูเหลียนอวิ้นเมื่อถูกกำลังภายในโจมตีกะทันหันเช่นนี้ก็ถอยกรูดออกไปสองสามก้าว ก่อนจะเสียหลักล้มลงกับพื้น
หรงซู่ไม่รอให้นางได้ทันตั้งตัว พอซูเหลียนอวิ้นรู้สึกตัวอีกที กิ่งไม้กิ่งนั้นก็ได้จ่ออยู่ที่คอของนางเสียแล้ว