ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 72 ตายอย่างคุ้มค่า
“เอาล่ะๆ ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว ข้าไม่ว่าเจ้าแล้ว…” หรงซู่เอามือลูบจมูกแล้วไม่เอ่ยอะไรต่ออีก ดูท่าแล้วอวิ้นเอ๋อร์คงโกรธไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงได้ใส่อารมณ์ขนาดนี้
ซูเหลียนอวิ้นนั้นโกรธไม่น้อยจริงๆ แต่มิอาจพูดได้ว่าโกรธหรงซู่ ตอนนี้นางกำลังระบายอารมณ์ใส่ตัวเองอยู่ เพราะโมโหที่ตัวเองออกไปล่าสัตว์นานขนาดนั้นแต่กลับล่ากระต่ายมาได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น แถมยังเปลืองแรงไปมากขนาดนี้ ทว่าเรื่องนี้นางรู้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นมาบอกนางเรื่องนี้! ดังนั้นคำที่สามารถใช้บรรยายซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ได้ก็คือ ขายหน้าจนโมโห…
“เฮอะ!” ซูเหลียนอวิ้นแค่นเสียงออกมา แล้วไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นจึงอุ้มกระต่ายไปนั่งบนม้านั่งหินพลางลูบกระต่ายขาวที่อยู่ซุกในอกตน แม้ว่ากระต่ายตัวนี้จะยังมีอาการตื่นกลัวอยู่บ้าง แต่เมื่อถูกซูเหลียนอวิ้นลูบขนเช่นนี้ก็ค่อยๆ สงบลง
“อวิ้นเอ๋อร์” หรงซู่ตะโกนเรียกแล้วยื่นมือออกมา “เอากระต่ายมาให้ข้าสิ พวกเราจะได้กินข้าวกัน”
แม้ว่าระหว่างที่ซูเหลียนอวิ้นอุ้มมันกลับมาจะรู้ว่าผลสุดท้ายต้องเป็นเช่นนี้ แต่ว่า…นางลุกขึ้นยืนเงียบๆ อุ้มกระต่ายถอยหลังไปสองสามก้าว
“ท่านอาจารย์…” ในน้ำเสียงจริงจังนี้ไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดต่อก็บอกความหมายโดยนัยได้ “เจ้า เจ้ากระต่ายตัวนี้น่ารักมากเลย ท่านดูขนมันสิขาวมาก ท่านอาจารย์ แถมตอนนี้มันยังเป็นเด็กดีอยู่ในอกข้า ข้าอยากเอามันกลับเรือนไปเลี้ยงได้หรือไม่ ท่านอาจารย์…”
เมื่อหรงซู่ได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนขอร้องเช่นนี้ก็ไม่แปลกใจ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นคืนนี้เจ้ายังจะกินข้าวอยู่หรือไม่”
ซูเหลียนอวิ้นอุ้มกระต่ายอยู่ในอกพลางเอาเท้าเขี่ยพื้นไปมา นางไม่เอ่ยสิ่งใด แต่ในที่สุดบรรยากาศความเงียบรอบด้านนี้ก็ถูกเสียงท้องร้องของซูเหลียนอวิ้นทำลายลง
หรงซู่ถอนใจแล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้าดูมือทั้งสองของเจ้าสิ โดนข่วนจนเป็นรอยแดง คงโดนกระต่ายน้อยแสนน่ารักแสนเชื่อฟังในอกข่วนเอาล่ะสิ หากมันน่ารักและเป็นเด็กดีขนาดนั้น เหตุใดมันจึงข่วนเจ้าได้”
“นั่นเป็นเพราะว่า…” ซูเหลียนอวิ้นคิดอยากจะอธิบาย แต่กลับรู้สึกว่ามาอธิบายเรื่องนี้ตอนนี้คงจะไม่มีประโยชน์อะไร ด้วยเหตุนี้จึงจ้องกับกระต่ายในอกอย่างเงียบเชียบ เมื่อเจ้ากระต่ายขาวนั่นรับรู้ว่ามีสายตาจับจ้องก็หันหัวขึ้นมามองแล้วกะพริบตาปริบๆ
หรงซู่เฝ้ามองทั้งคู่ที่แลกสายตากันราวกับมีกันอยู่เพียงสองคน และไม่สนใจว่ามีเขาอยู่ตรงนี้ก็ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วดึงหูทั้งสองข้างของกระต่ายตัวนี้ขึ้น จากนั้นจึงนำมันมาไว้ในฝ่ามือ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “อวิ้นเอ๋อร์ ตอนนี้อาจารย์หิวมากแล้ว รอเจ้ามานานขนาดนี้ เจ้าอย่าทำให้อาจารย์ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไปเลย ถึงอย่างไรในตอนสุดท้าย เจ้ากระต่ายตัวนี้ก็ต้องลงไปอยู่ในท้องอยู่ดี ดังนั้นอย่ามัวแต่มองอยู่เลย ยิ่งมองยิ่งสงสาร”
ซูเหลียนอวิ้นยังคงไม่ยอมพูดจา เพียงเฝ้ามองขาหลังของเจ้ากระต่ายตัวนั้นถีบเปะปะอย่างสุดแรง ราวกับต้องการจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของหรงซู่ให้ได้ ทว่าสายตาของกระต่ายตัวนั้นยังคงจ้องมองมาที่ซูเหลียนอวิ้นตลอดเวลา
เมื่อหรงซู่เห็นว่านางไม่เอ่ยสิ่งใดและไม่ได้มีทีท่าว่าจะพูดอะไรต่อ จึงเดินอ้อมไปด้านหลังของนางแล้วดึงกระบี่เหยี่ยนชิงออกมา พอหรงซู่เห็นว่ากระบี่เหยี่ยนชิงยังไม่ได้ถูกถอดออกจากปลอกก็ไม่รู้จะหาคำใดมาเอ่ย
“อวิ้นเอ๋อร์ อาจารย์รู้แล้วว่าทำไมสภาพของเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ เจ้าคงมิได้ใช้มือเปล่าล่ากระต่ายกระมัง? ฝีมือเจ้าร้ายกาจมากทีเดียว! เช่นนั้นอาจารย์ให้กระบี่เจ้าไปเพื่ออะไรกัน? ให้เจ้าแบกมันออกไปอวดชาวบ้านงั้นหรือ? มีกระบี่ไม่ยอมใช้ กลับใช้มือจับ?”
พอซูเหลียนอวิ้นโดนหรงซู่ต่อว่าเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหลบหลีกอย่างไร จึงไพล่มือเอาไว้ด้านหลังเพื่อที่จะซ่อนเอาไว้ เพราะสิ่งที่หรงซู่พูดนั้นมิผิด เขาให้กระบี่นางมาใช้ แต่นางกลับมิได้หยิบออกมาใช้เลยแม้แต่น้อย…
เพราะระดับความคมของกระบี่เหยี่ยนชิงนั้น ขอเพียงลงมือ ไม่ต้องคิดว่าจะบาดเจ็บหรือไม่! ขอแค่ลงมือต้องได้เห็นโลหิตหลั่งไหลอย่างแน่นอน
เมื่อหรงซู่หยิบกระบี่ออกมาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เขาแทงตรงลงไปที่คอของกระต่ายตัวนั้น เจ้ากระต่ายตัวนั้นก็คงไม่ได้คิดว่าความตายจะมาเยือนตัวเองเร็วเช่นนี้ จึงดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งแล้วแน่นิ่งไป ตายอย่างรวดเร็วเช่นนี้คงจะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก
ทว่าบริเวณพื้นดินใต้ดาบเต็มไปด้วยเลือดที่สาดกระเซ็น
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วเช่นนี้ พลันตกตะลึงนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำพูดใดออกไป จะบอกว่ากลัว? ดูเหมือน…จะกลัวเพียงเล็กน้อย แต่ในใจของนางตอนนี้กลับมีความรู้สึกว่า ท้ายที่สุดนางก็สามารถปล่อยวางความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้มากขึ้นแล้ว
“กลัวหรือ?” หรงซู่เอ่ยปากขึ้น
“เปล่า…” เสียงของซูเหลียนอวิ้นแหบแห้ง “ตายเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่รู้สึกเจ็บปวด หากเป็นข้า คงไม่สามารถลงมือแบบดาบเดียวปลิดชีวิตได้เช่นนี้”
ไม่สามารถลงมือดาบเดียวปลิดชีวิตได้ นั่นก็หมายความว่า นางจะทำให้กระต่ายตัวนี้ทรมานแสนสาหัสมากกว่า
“ไปจุดไฟเถิด” หรงซู่เอ่ยแค่นี้แล้วก็นำร่างของกระต่ายตัวนั้นไปจัดการถลกหนังออกอย่างใจเย็น
ซูเหลียนอวิ้นถูกฝึกฝนจนชำนาญในการหาฟืน ไฟจึงค่อยๆ ติดขึ้นอย่างช้าๆ ท่าทางของความลังเลไม่มีอีกต่อไป ทว่าความรู้สึกที่แฝงอยู่ในแววตาของนางกลับสามารถดูออกได้อย่างง่ายดายว่าความรู้สึกของนางในตอนนี้กำลังทุกข์ใจอย่างมาก
“ได้แล้ว” เมื่อหรงซู่หันมาแล้วเห็นซูเหลียนอวิ้นจุดไฟติดแล้วก็เอ่ยปากชมคำหนึ่ง “เสร็จแล้ว ไฟติดเร็วยิ่ง”
หรงซู่จึงนำกระต่ายที่ถลกหนังออกเรียบร้อยแล้ววางลงบนกองไฟกองนั้น ผ่านไปไม่นาน กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ก็ลอยคลุ้งออกมา
หรงซู่ฉีกขาหลังของกระต่ายออกมาขาหนึ่ง เขาเคี้ยวมันช้าๆ แล้วมองซูเหลียนอวิ้นที่กำลังเหม่อมองไฟกองนั้นแล้วก็ไร้คำพูด บางเรื่องราวคงจะต้องให้ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดช่วยนางได้ ต่อให้เป็นเขา เขาก็คงทำไม่ได้เช่นกัน
หรงซู่กินอย่างรวดเร็วยิ่ง ดูจากท่าทางแล้วราวกับไม่ได้ตั้งใจจะเหลือไว้ให้ซูเหลียนอวิ้นเลย
สุดท้ายแล้วตอนที่หรงซู่กินทุกอย่างจนหมด เหลือไว้เพียงขากระต่ายเพียงข้างเดียวนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็ไม่ยอมนั่งเหม่อลอยอีกต่อไป นางจึงฉีกขาข้างนั้นออกมา จากนั้นจึงเอาเข้าปากคำโต
มือของหรงซู่ที่ยื่นออกไปค้างอยู่กลางอากาศ เขาหัวเราะและเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะนั่งเหม่อลอยเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เสียอีก ทำไมถึงตัดสินใจกินได้เสียทีเล่า?”
เนื่องจากเนื้อในปากของซูเหลียนอวิ้นยังไม่ได้กลืนลงไป ดังนั้นจึงพูดแบบอู้อี้ว่า “ทำไมจะไม่กินเล่า? หากไม่กินจะไม่เป็นการดูถูกท่านหรือ? จะดีจะร้ายอย่างไรข้าก็เป็นคนจับมาเอง” จากนั้นจึงกัดเข้าอีกคำ
“อ้อ~เช่นนี้เอง” หรงซู่พยักหน้า “แต่เมื่อครู่เจ้ากับกระต่ายตัวนั้นมิใช่ยังอาลัยอาวรณ์แยกจากกันไม่ได้อยู่หรือ ตอนนี้เจ้ากินเข้าไปไม่รู้สึกเสียใจรึ? ไม่กลัวว่าเจ้ากระต่ายตัวนั้นจะเสียใจจนมาล้างแค้นเจ้า? เพราะเจ้ากินมันอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้”
ซูเหลียนอวิ้นกลืนเนื้อกระต่ายลงไปเงียบๆ จากนั้นจึงกลอกตาแล้วเอ่ยว่า “มันตายไปแล้ว! ท่านจะไม่ให้การตายของมันคุ้มค่าหน่อยหรือ? อันที่จริงแล้ว ท่านเป็นคนฆ่ามันต่างหาก เกี่ยวอะไรกับข้า! แถมท่านยังกินไปไม่น้อยเลย หากจะมาแก้แค้นคงมาแก้แค้นท่านมากกว่า”