ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 74 ไม่มั่นใจ
“ได้ๆๆ” ซูเหลียนอวิ้นเมื่อเห็นท่าทางของหรงซู่ที่กลับคืนสู่ท่าทางสูงส่งเหนือมนุษย์เดินดินอีกครั้งพลันทำตาละห้อย
เนื่องจากนางรู้ว่าแท้จริงแล้วหรงซู่เป็นคนเช่นไร แต่พอเห็นท่าทางของเขาในตอนนี้แล้ว….ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตนปวดหัวตุบๆ
แม้ว่าจะยังมีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่ได้พูดคุยและยังคุยกันไม่จบ แต่ซูเหลียนอวิ้นต้องกลับแล้ว เพราะหากนางยังไม่กลับ ซูเหลียนอวิ้นกลัวว่าอีกประเดี๋ยวหลีมู่จะเกณฑ์คนขึ้นมาตามหานางถึงบนภูเขานี้
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ค่อยแวะมาหาท่านใหม่” ในดวงตาของซูเหลียนอวิ้นสะท้อนเป็นประกาย ดูท่าแล้วนางคงยังไม่อยากกลับ
“เจ้ารีบกลับไปสิ! หากตอนนี้เจ้าไม่ยอมกลับ อีกประเดี๋ยวข้าคงจะไล่เจ้ากลับไปเอง!” หรงซู่โบกมือไล่เบาๆ ตอนนี้หรงซู่รู้สึกว่าตนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสนใจสีหน้าท่าทางของซูเหลียนอวิ้นว่าเป็นอย่างไรอีกต่อไปแล้ว
เพราะเมื่อเหลือบไปเห็นนางก็จะเห็นสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นกอดเอาไว้ในอก สิ่งที่เขาทำขึ้นมาเองกับมือ ยาราคาแสนแพงขวดนั้น! แม้จะได้ชื่อว่าเป็นยา แต่ก็นับว่าเป็นเงินได้เช่นกัน! เพราะยาแต่ละขวดหากนำไปขายจะแลกเงินมาได้เป็นพันชั่ง
สาเหตุอะไรที่ทำให้หรงซู่ยอมให้ซูเหลียนอวิ้นเอายาขวดนี้ติดตัวไปได้เล่า? นั่นย่อมเป็นเพราะว่าซูเหลียนอวิ้นได้รับบาดแผลนั้นมาจากการออกไปล่ากระต่าย แถมตัวเขาเองก็กินกระต่ายตัวนั้นลงไปไม่น้อยเสียด้วย และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถหาข้ออ้างที่จะไม่ให้ยากับซูเหลียนอวิ้นได้ เขาจึงใช้ยาขวดนี้ปิดปากนางซะ นางจะได้ไม่ต้องพูดมากอีก
“ท่านอาจารย์ ข้าลาก่อน” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วก็ไม่ยุแหย่หรงซู่ต่ออีก เพราะหากหรงซู่โดนยุแหย่จนโมโหขึ้นมา คาดว่ายาที่นางได้มายังไม่ทันจะถูกจับจนอุ่นก็คงจะโดนเขาเอากลับคืนไป
“อ้อ จริงสิ” เมื่อหรงซู่เห็นเงาด้านหลังของนางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น “อวิ้นเอ๋อร์ วิชาตัวเบาที่อาจารย์สอนเจ้า เจ้ายังจำได้อยู่หรือไม่? เจ้าต้องใช้วิชาตัวเบาลงเขา ห้ามเดินลงเด็ดขาด!”
“ฮะ?” ซูเหลียนอวิ้นเตะกิ่งไม้ที่ระเกะระกะอยู่บนพื้น ถือเป็นการส่งสัญญาณอย่างเงียบๆ บอกกับเขาว่าวุ่นวายกับนางเสียจริง
เนื่องจากวิชาอย่างเช่นวิชาตัวเบานี้ ต้องใช้กำลังภายในถึงจะสำเร็จ พลังลมปราณจะต้องโคจรทั่วร่างถึงจะทำให้ฝีเท้าเบาและรวดเร็ว จากนั้นร่างกายจะเบาราวกับนกนางแอ่น ย่ำไปบนหิมะได้อย่างไร้ร่องรอย
ทว่าการโคจรของลมปราณอะไรนั่น สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ฝึกวรยุทธ์อย่างซูเหลียนอวิ้นแล้ว คงมิสู้ให้นางวิ่งหรือเดินลงไปจะสะดวกและรวดเร็วกว่า เพราะหากให้นางต้องกำหนดลมหายใจอยู่ตลอด คงจะ…อีกทั้งตอนที่พัก หากโชคดีก็แค่เดินสะดุดนิดหน่อย แต่หากโชคร้ายฝีเท้าไม่มั่นคงแล้ววูบตกลงมาจะทำอย่างไร
แน่นอนว่าหากฝึกฝนจนชำนาญ วิชาตัวเบาจะสะดวกและรวดเร็วกว่าการเดินและวิ่งอย่างแน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางไม่ค่อยชำนาญนัก!
“อย่ามัวแต่เหลวไหลอยู่” หรงซู่ทำเสียงแข็งขึ้น “สุดท้ายแล้วไม่ว่าเจ้าจะใช้วิชาตัวเบาลงเขาไปหรือไม่ หากพรุ่งนี้เจ้ากลับมาหาข้าอีก ข้าก็จะดูออก ยกเว้นว่าพรุ่งนี้เจ้าจะไม่กลับมา”
ซูเหลียนอวิ้น “…เจ้าค่ะ” ดูท่าแล้วท่าอาจารย์คงโมโหมากถึงได้ดุขนาดนี้!
แค่เอายามาไม่กี่ขวดเอง! มิได้กวาดยาจากโกดังออกมาทั้งหมดเสียหน่อย ซูเหลียนอวิ้นแอบบ่นพึมพำ ดูๆ ไปแล้วหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน คนที่เปลี่ยนไปไม่ได้มีแค่นางคนเดียวเท่านั้น แต่เป็นท่านอาจารย์ด้วย! งกเงินมากขึ้น…
เมื่อหรงซู่เห็นเงาด้านหลังที่ก้าวออกไปอย่างหนักๆ เบาๆ ก็ถอนใจ เมื่อครู่ตอนที่เขาใส่ยาให้ซูเหลียนอวิ้น เขาได้แอบตรวจชีพจรของนางไปด้วย
อวิ้นเอ๋อร์…มีบางสิ่งในตัวนางเริ่มเปลี่ยนไป
ช่างเถิด พรุ่งนี้ก็จะรู้เอง
ซูเหลียนอวิ้นกำหนดลมหายใจ ฝีเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่านางมิกล้าประมาทมากนัก เพราะตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว แม้ว่าแสงจันทร์จะสว่างสดใสทำให้ถนนไม่มืดสลัวจนเกินไปนัก แต่ก็ต้องระวังอย่างดีจึงจะดีที่สุด
“ย่ะ!” ทันใดนั้นเองซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าใจของนางกระตุกวูบ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้นางไม่ได้สนใจเรื่องอื่นอีก ขาของนางอ่อนแรง จากนั้นจึงพลัดตกลงมาจากต้นไม้ทันที
ทว่ายังดีที่นางมีสมาธิและคอยระวังตัวอยู่ตลอด นางไม่กล้าเหยียบลงบนต้นไม้ที่สูงมากจนเกินไป ดังนั้นเมื่อกลิ้งตกลงมาอย่างฉับพลันเช่นนี้ นางกลับมิได้เป็นอะไรมากนัก เพราะใต้ต้นไม้มีแนวป้องกันธรรมชาติอย่างใบไม้สุมเป็นกองอยู่ ทำให้นางไม่เจ็บเท่าไหร่ตอนร่วงลงมา อย่างน้อยก็ไม่เจ็บก้น
ทว่าที่หัวเข่า…
เนื่องจากร่วงลงมาด้วยท่าคุกเข่า จึงทำให้เกิดเป็นบาดแผลไม่น้อยเลยทีเดียว
ซูเหลียนอวิ้นพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ความรู้สึกเจ็บปวดคลายลงไปโดยเร็วที่สุด ทว่าความเจ็บปวดนี้…เป็นความเจ็บปวดที่นางค่อนข้างจะคุ้นเคย
เนื่องจากที่ผ่านมานางมีร่างกายแข็งแรง อีกทั้งหัวใจยังเป็นส่วนที่สำคัญ หากเคยได้รับบาดเจ็บแล้วครั้งหนึ่ง อย่างไรก็จะกลายเป็นความทรงจำที่ฝังลึกในใจ ความรู้สึกนี้คล้ายคลึงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในคืนวันงานฉลองวสันตฤดูคืนนั้น
มือข้างหนึ่งของซูเหลียนอวิ้นเกาะต้นไม้ ส่วนอีกข้างก็กุมบริเวณหัวใจของตนเอาไว้แล้วเดินต่อไปอย่างเงียบเชียบ เนื่องจากในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นหัวใจหรือร่างกาย ล้วนทำให้นางรู้สึกว่านางไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาเดินต่อไปได้อีก ดังนั้นจึงทำได้เพียงเดินลงไปทีละก้าว แม้ว่าจะช้าไปสักหน่อยแต่อย่างน้อยก็จะถึงอย่างแน่นอน!
โชคดีที่ตอนนี้นางอยู่ห่างจากวัดฝ่าฝัวไม่ไกลแล้ว ซูเหลียนอวิ้นแอบให้กำลังใจตัวเอง สู้ๆ! เจ้าใกล้จะได้กลับไปนอนพักในห้องเต็มทีแล้ว อดทนหน่อย!
“คุณหนู!”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกอย่างสุดแสนร้อนใจ จากนั้นจึงหรี่ตามองไปยังแสงของโคมไฟที่ส่องสว่างอยู่ไกลลิบๆ
คนผู้นั้นคือหลีมู่หรือ?
“คุณหนูใหญ่!” หลานเย่ว์ย่อมมีสายตาที่แหลมคมกว่าหลีมู่ อีกทั้งฝีเท้ายังรวดเร็วไม่เป็นสองรองใคร
หลานเย่ว์ไม่ได้สนใจว่าหลีมู่จะเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาได้วิ่งมาถึงตรงหน้าของซูเหลียนอวิ้นก่อนแล้ว ตอนที่เขาได้เห็นซูเหลียนอวิ้นชัดๆ นั้น ตาของเขาพลันเบิกโพลงขึ้นแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู!”
เมื่อหลานเย่ว์เห็นทั่วทั้งตัวของซูเหลียนอวิ้นเปอะเปื้อนไปด้วยโคลนจึงตกใจอย่างมาก
คงมิได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนูจริงๆ กระมัง?! แต่เหตุใดจึงไม่เป่านกหวีดเรียกตนเล่า?
“ไม่เป็นไรๆ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายศีรษะ “ข้าเพียง…ข้าไม่ทันระวังจึงหกล้ม ไม่เป็นไร เจ้าดูสิ นกหวีดของเจ้ายังอยู่ที่ข้า ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เลยไม่ได้เรียกเจ้ามา”
ซูเหลียนอวิ้นหยิบนกหวีดออกมาจากในอกแล้วส่งคืนให้หลานเย่ว์ จากนั้นจึงก้มหน้าลงเพื่อปิดบังสีหน้าบิดเบี้ยวที่เกิดจากความเจ็บปวดตรงหัวใจของตน
พอหลานเย่ว์เห็นซูเหลียนอวิ้นพูดจาอย่างสดชื่นแจ่มใสเช่นนี้ จึงเข้าใจทันทีว่าไม่ควรถามอะไรต่อให้มากความ เพราะหากสังเกตดูดีๆ จะพบเพียงเสื้อผ้าที่สกปรกเลอะเทอะและรอยขีดข่วนเล็กน้อยไม่กี่รอยเท่านั้น ดูท่าแล้วรอยบาดแผลขีดข่วนเหล่านี้คงจะเกิดขึ้นตอนที่นางหกล้ม
“คุณหนู!” เมื่อหลีมู่เห็นหลานเย่ว์วิ่งทะยานไปข้างหน้าเช่นนั้นก็เดาได้ว่าเขาคงจะพบคุณหนูแล้ว จึงยกชายกระโปรงขึ้นแล้วรีบสาวเท้าตามไป
ทว่าหลีมู่มิใช่หลานเย่ว์ มิอาจโดนคำพูดว่าไม่เป็นไรของซูเหลียนอวิ้นหลอกและวางใจลงได้ง่ายๆ
เมื่อหลีมู่เห็นเสื้อผ้าสกปรกเปื้อนโคลนทั้งตัวรวมทั้งผมเผ้ายุ่งเหยิงของซูเหลียนอวิ้น แต่คุณหนูกลับยังพูดคุยกับพวกตนได้อย่างร่าเริงราวกับตัวเองไม่เป็นไร ทำให้คำพูดที่เดิมทีเตรียมเอาไว้เพื่อจะบ่นนางสักตั้งต้องมลายหายไปอย่างไร้รูปไร้รอย เหลือเพียงคำพูดที่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “คุณหนูเจ้าคะ…ขอเพียงคุณหนูไม่เป็นไรก็พอแล้ว พวกเรารีบกลับกันเถิด กลับไปบ่าวจะอาบน้ำแต่งตัวให้คุณหนูใหม่”
ซูเหลียนอวิ้นยิ้มให้พวกเขาทั้งสอง เพราะนางเองก็เดาได้ว่าพวกเขาคงตกใจไม่น้อยเช่นกัน ต้องโทษตัวนางเองที่เดินไม่รู้จักระวัง!