ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 75 บาดแผล
“ก็ดี” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนี้อัปลักษณ์กว่าตอนที่นางร้องไห้เสียอีก เนื่องจากพอต้องเดินกลับไปเช่นนี้ส่งผลให้บาดแผลบริเวณหัวเข่าของซูเหลียนอวิ้นเจ็บระบมจนทำให้รอยยิ้มของนางบิดเบี้ยว
“พวกเรารีบกลับไปที่ห้องเถิด ข้าต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อยแล้ว” แน่นอนว่าที่พักของหรงซู่ไม่มีเสื้อผ้าของนาง ด้วยเหตุนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงต้องอดทนใส่เสื้อผ้าสกปรกตัวนี้เป็นเวลานาน หากเทียบเสื้อผ้าของนางในตอนนี้กับเสื้อผ้าของหลีมู่แล้ว สภาพของมัน…แม้แต่นางเองก็ยังทนดูต่อไปไม่ได้
“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูยังมีแผลตรงอื่นอีกหรือไม่? พวกเราเดินกันช้าหน่อยก็ได้ ไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ” หลีมู่เอ่ยพลางลนลานเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตน นางพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ เพราะตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นมีสภาพเช่นนี้เสียแล้ว หากนางร้องไห้ออกมาอีกก็คงไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ดีขึ้น ดังนั้นหากยิ้มได้ก็ยิ้มไปเถิด อย่างน้อยก็ยังน่ามองกว่า
เมื่อหลานเย่ว์เห็นซูเหลียนอวิ้นแสร้งทำเป็นแข็งแรงไม่เป็นอะไร ในใจของเขาพลันหนักอึ้งจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูขอรับ ให้ข้าแบกคุณหนูไปดีหรือไม่”
เขามองออกว่าขาของซูเหลียนอวิ้น…ได้รับบาดเจ็บ
“ไม่เป็นไรๆ” ตอนนี้แขนซ้ายของซูเหลียนอวิ้นโอบรอบตัวของหลีมู่เอาไว้ นางแทบจะทิ้งน้ำหนักทั้งตัวของนางแขวนไว้บนตัวหลีมู่ ว่ากันตามจริงแล้ว นางแทบจะไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงบนขาของนางเท่าใดนัก
“อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ข้าเดินกลับเองดีกว่า” นางเชื่อว่าหลานเย่ว์หวังดีกับนางและไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงอย่างแน่นอน แต่…ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตัวนางยังคงไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงในใจของตนได้ หากจะกล่าวอีกแง่หนึ่ง หลานเย่ว์ก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง อีกทั้งซูเหลียนอวิ้นเองยังคงรู้สึกว่าพวกเขาสองคนยังไม่ได้สนิทกันมากนัก ดังนั้นนางขอเดินเองทีละก้าวจะดีกว่า
แม้ว่าการเดินจะช้าแต่หนทางย่อมมีจุดสิ้นสุด เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นแสงสว่างที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าจึงรู้สึกว่าน้ำตาอุ่นๆ ของตนปริ่มล้น
สุดท้ายก็ถึงสักที!
“อ้อ คุณหนูขอรับ” ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังจะก้าวเข้าห้องอยู่นั้น เสียงของหลานเย่ว์ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“คุณหนูใหญ่…ข้า ตอนบ่ายข้าน้อยนำเรื่องที่คุณหนูเดินทางมาที่นี่เขียนจดหมายแล้วส่งไปให้พี่ชายของคุณหนูขอรับ เพราะคุณชายใหญ่เคยกำชับข้าเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องการเดินทางของคุณหนู…และ…” คำพูดหลังจากนี้หลานเย่ว์ไม่ได้พูดต่อให้จบ เพราะซูเหลียนอวิ้นเพิ่งจะกลับมาเอาตอนดึกป่านนี้ หากบอกว่าไม่ต้องกังวล ย่อมเป็นคำโกหกอย่างแน่นอน
เมื่อหลานเย่ว์พูดจบก็คุกเข่าลงกับพื้น “คุณหนูใหญ่โปรดลงโทษ”
เนื่องจากบ่าวหนึ่งคนมิอาจมีนายสองคนได้ ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเป็นนายของเขาแล้ว เขากลับยังไปรายงานซูมั่วเยี่ยถึงแผนการเดินทางของซูเหลียนอวิ้น…แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก
พอซูเหลียนอวิ้นเห็นหลานเย่ว์คุกเข่าลงกับพื้นเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นเกาบริเวณคิ้ว เอาล่ะ เดิมทีนางเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้หลานเย่ว์ยอมรับตนเป็นนายเร็วขนาดนี้ แต่เมื่อเขาสารภาพออกมาตรงๆ เช่นนี้…พูดตามตรงแล้ว นางเองก็รู้สึกผิดหวังไม่น้อย
“เช่นนั้นเจ้ารายงานอะไรไปบ้าง?” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเสียงค่อย
“ข้าน้อย ข้าน้อยเพียงรายงานถึงเรื่องการเดินทางมาที่วัดฝ่าฝัวและแผนการเตรียมจะค้างคืนที่นี่เท่านั้น เรื่องอื่นมิได้รายงาน”
“ไม่ได้บอกพี่ชายข้าใช่ไหมว่าข้าแอบหนีไปกลางทางคนเดียว?”
“เปล่า ขอรับ”
“อ้อ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นเบาใจลง “ลุกขึ้นเถิด”
จากนั้นนางถึงเอ่ยต่อว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้านายเก่ายากจะตัดขาด โชคดีว่าเจ้ามิได้พูดอะไรมาก จุดนี้พอจะกล่าวชมเชยได้บ้าง ต่อไปหากท่านพี่ถามอะไรเจ้าอีกหรือให้เจ้ารายงานอะไร เจ้าก็รายงานไปตามจริงเถิด เพราะ…” ซูเหลียนอวิ้นบีบนวดหัวไหล่ตนเอง น้ำเสียงของนางเนิบช้าและผ่อนคลายลง “ข้าเองมิได้ทำเรื่องผิดศีลธรรมและเรื่องโหดร้ายทารุณอะไร ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัว แต่ที่มิได้บอกกล่าวพวกเจ้าก็เป็นเพราะว่า ทุกๆ คนย่อมมีความลับเล็กๆ น้อยๆ เป็นของตัวเองถูกหรือไม่?”
“ดังนั้นหลานเย่ว์ เจ้าจงจำไว้อย่างหนึ่งก็พอ ทุกครั้งที่เจ้าจะรายงานเรื่องราวประจำวันของข้าให้ท่านพี่ทราบ จะต้องได้รับการยินยอมจากข้าก่อน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ขอให้เกิดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่าให้มีครั้งหน้าอีก”
“ขอรับ…” หลานเย่ว์พยักหน้าเกร็งๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนที่หลานเย่ว์ได้ยินประโยคสุดท้ายของซูเหลียนอวิ้นประโยคนั้น เขารับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องและสอดส่องบนร่างเขาอย่างละเอียด ในสถานการณ์ที่มีสายตาจับจ้องเช่นนี้ ตัวเขาเองจึงคิดคำพูดใดไม่ออกเลยแม้แต่คำพูดเดียว สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ก็คือพยักหน้าและรับปากอย่างเงียบๆ
“เอาล่ะ ดึกมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด” ซูเหลียนอวิ้นกวาดตามองไปที่เขาอีกคราหนึ่งและไม่ได้พูดอะไรต่ออีก จากนั้นก็เดินเข้าห้องไป
ภายในห้อง หลีมู่จัดที่นอนไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น้ำที่อยู่อ่างไม้ดูท่าแล้วอุณหภูมิคงจะกำลังพอเหมาะพอดี เมื่อซูเหลียนอวิ้นกลับมาจะเริ่มทำอะไรก่อนก็ได้ทั้งสิ้น
ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ยื่นมือไปดึงฉากกั้นเพื่อเตรียมตัวถอดเสื้อผ้าสกปรกของตัวเองไว้บนพื้น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลีมู่ เจ้าไปตระเตรียมของอยู่ด้านนอกเถิด ข้าขออาบน้ำก่อน”
หลีมู่ได้ยินดังนั้นก็ตอบรับคำหนึ่ง
ถึงแม้ว่าองครักษ์ของวัดฝ่าฝัวจะค่อนข้างเข้มงวด แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างตระเวนอยู่ด้านนอก ดังนั้นจะจัดการเรื่องอะไรก็ต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน
ทว่าซูเหลียนอวิ้นเพียงนั่งหลบอยู่บนเก้าอี้หลังฉากกั้นเท่านั้น นางยังมิได้เริ่มอาบน้ำ เพราะตอนนี้ทั่วตัวนางมีบาดแผลเล็กๆ เต็มไปหมด ดังนั้นหากไม่โดนน้ำได้จะดีที่สุด เพราะหากไม่ระวังแผลเล็กๆ เหล่านั้นจะกลายเป็นแผลใหญ่ได้
อีกทั้งนางอยากใช้โอกาสตอนนี้แอบทายาให้ตัวเองด้วย เพราะสำหรับเรื่องการทายาแล้ว…นางคิดว่าทำด้วยตัวเองจะดีกว่า
เนื่องจากในอดีต นางเคยปักดอกไม้แต่ซุ่มซ่ามทำเข็มทิ่มนิ้วมือตัวเองเข้า แม้ว่าเลือดจะออกเพียงเล็กน้อย แต่ในสายตาของหลีมู่แล้ว นิ้วอันนั้นเสมือนถูกทำให้ขาดออกเป็นสองท่อนอย่างไรอย่างนั้น
เพียงเข็มทิ่มนิ้วมือยังทำราวกับว่านางบาดเจ็บร้ายแรง เมื่อคิดทบทวนดูแล้วหากให้หลีมู่เห็นบาดแผลบนตัวนางตอนนี้…ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าเรื่องนี้จะไปกระทบกับจิตใจอันบอบบางของหลีมู่เข้าอีกครั้ง
นางถอดกางเกงออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นเมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นผิวบริเวณหัวเข่าชัดเจนนางถึงกับตกตะลึงไป
ดีมาก
แผลหกล้มร้ายแรงขนาดนี้ นางเดินกลับมาถึงที่นี่ได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์โดยแท้! ซูเหลียนอวิ้นเป่าแผลของตัวเองไปพร้อมๆ กับใส่ยาแสนแพงที่ล่อลวงมาจากหรงซู่ในวันนี้อย่างระมัดระวัง
เมื่อรู้สึกถึงความเย็นจากแผลของตน ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มผ่อนคลายลง นางรู้สึกว่าตัวเองมีลางสังหรณ์ล่วงหน้าดีจริงๆ ! ยังดีที่เอายามาจากท่านอาจารย์ได้ มิเช่นนั้นแล้ว…ณ พื้นที่รกร้างกลางป่ากลางเขาเช่นนี้ ต่อให้มีเงินก็คงหาซื้อยาไม่ได้อยู่ดี
“คุณหนูเจ้าคะ ยังไม่เริ่มอาบน้ำอีกหรือ?” เสียงเอ่ยเร่งของหลีมู่ดังขึ้นจากด้านนอกฉากกั้น “การอาบน้ำนานๆ ก็ไม่ดีต่อร่างกายเช่นกันนะเจ้าคะ แถมตอนนี้น้ำคงเย็นหมดแล้วกระมัง?”
“จะเสร็จแล้ว ข้าขอเปลี่ยนชุดก่อน!” ซูเหลียนอวิ้นไม่กล้าอ้อยอิ่งอีกต่อไป จึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวนั้นแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว