ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 76 ปั่นหัว
“คุณหนู…” เมื่อหลีมู่มองเห็นซูเหลียนอวิ้นที่ใส่เพียงชุดด้านในกับผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงเดินออกมา ขอบตาของตนจึงเริ่มแดงก่ำ เพราะ…หากมองจากมุมนี้แล้วยิ่งทำให้เห็นรอยแดงบนมือของนาง ชัดมากยิ่งขึ้น
หลีมู่อดกลั้นเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวรู้ดีว่าคุณหนูไม่เหมือนเดิมแล้ว”
คำพูดของหลีมู่เพียงหลุดปากออกไป น้ำตาของนางที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลทะลักออกมาอย่างยากจะควบคุม นางเช็ดแล้วเช็ดอีก “คุณหนูเจ้าคะ ถึงคุณหนูจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่หลีมู่เชื่อว่าคุณหนูก็ยังคงเป็นคุณหนู คนรอบกายคุณหนูมีมากมาย ดังนั้น…ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนู หลีมู่ หลีมู่จะอยู่เคียงข้างคุณหนูเองเจ้าค่ะ”
หลีมู่เอ่ยขึ้นอย่างสับสน ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับเข้าใจ
นี่หลีมู่…โทษตัวเองที่ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนนางเมื่อตอนบ่ายจนสุดท้ายนางได้รับบาดเจ็บ นี่คงคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองกระมัง!
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปลูบหัวของหลีมู่แล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่เจ้าพูดนั้นข้าเข้าใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ค่อนข้างกะทันหัน ดังนั้นจึงไม่ทันได้บอกพวกเจ้า ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะไม่ปิดบังพวกเจ้าและตัดสินใจทำอะไรคนเดียวโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้อีก”
หลีมู่รับรู้ถึงความอบอุ่นที่มาจากฝ่ามือของซูเหลียนอวิ้น น้ำตาที่ไหลออกมาจึงค่อยๆ หยุดลง สาเหตุที่นางร้องไห้นั้นอันที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเพราะเรื่องที่ซูเหลียนอวิ้นแยกตัวไปโดยที่ไม่บอกนางแล้วกลับมาโดยมีบาดแผล
สาเหตุที่แท้จริงคือ คำพูดประโยคนั้นที่หลานเย่ว์พูดกับนาง
หลานเย่ว์เป็นบุรุษ จิตใจของบุรุษย่อมไม่ซับซ้อนเหมือนของสตรี สาเหตุที่เขาเอ่ยเรื่องนั้นกับหลีมู่ในวันนี้กลับมิใช่เป็นเพราะว่าต้องการจะยั่วยุอารมณ์ของหลีมู่ เขาเพียงแค่เอ่ยความจริงเท่านั้น ทว่ายิ่งเอ่ยความจริงมากเท่าไรก็จะยิ่งทำให้คนเสียใจมากขึ้น
เขาบอกนางว่า จากความสามารถและไหวพริบของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้แล้ว หากมีบางเรื่องที่ไม่ต้องการให้พวกเรารับรู้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากสตรีที่เงียบทึ่มมานานหลายปี จู่ๆ ก็ผลิบานสวยงามราวบุปผา ดังนั้นไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล
อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่ได้เป็นองครักษ์ให้ซูเหลียนอวิ้น เขาก็พอรับรู้เรื่องราวของซูเหลียนอวิ้นอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวของซูมั่วเยี่ยจะให้ไม่รู้จักเลยได้อย่างไร
แต่ไหนแต่ไรมาเขาเองก็ไม่เคยได้ยินว่าตระกูลซูมียอดฝีมือด้านหมากล้อมมาก่อน และก็ไม่เคยได้ยินว่าซูเหลียนอวิ้นเคยเชิญอาจารย์หมากล้อมมาสอนวิชาด้านนี้ให้นาง ทว่าผู้ที่ไม่มีความสามารถในด้านหมากล้อมเลยกลับทำให้หยางอวี้หลินผู้มีชื่อว่าเป็นยอดฝีมือด้านหมากล้อมมาตลอดพ่ายแพ้ยับเยินในคืนงานฉลองวสันตฤดูได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะไม่ให้ผู้คนเกิดความสงสัยได้อย่างไร ที่ผ่านมาซูเหลียนอวิ้นคงมิได้ปลอมเป็นหมูเพื่อหวังกินเสือ[1]กระมัง? หรือในความเป็นจริงแล้วอาจจะมีความลับสำคัญอื่นใดแฝงอยู่?
ทว่าสาวน้อยนางหนึ่งปิดบังความลับไว้แน่นหนาเพียงนี้ แท้จริงแล้วเพื่ออะไรกัน? มีแผนการลับบางอย่าง? หรือว่า…
ความสามารถที่หลานเย่ว์และคนอื่นๆ คิดไม่ถึง ทั้งซูเหลียนอวิ้นเองก็ปิดบังมานานเพียงนี้ ทว่าจู่ๆกลับเปิดเผยออกมาอย่างกะทันหัน คงเป็นเพราะทนคำวิจารณ์เรื่องเสียหายของตนในเมืองหลวงไม่ได้ใช่หรือไม่? หรือว่าเพียงต้องการกู้คืนชื่อเสียงของตัวเองขึ้นมาบ้าง
หมอกหนามวลหนึ่ง ทำให้บทบาทเดิมของซูเหลียนอวิ้นที่โดดเด่นอยู่แล้ว ส่องประกายความเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของนางในวันนี้ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถทลายหมอกหนามวลนี้ให้คลี่คลายลงได้ ในมุมมองของหลานเย่ว์นั้น ในเมื่อซูเหลียนอวิ้นไม่อยากบอกกล่าว พวกเขาก็ไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่งมากจนเกินไป
พอหลีมู่ได้ฟังการวิเคราะห์ของหลานเย่ว์ทีละข้อ ใจของนางก็เริ่มจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ
เดิมทีนางคิดว่าคุณหนูมาที่นี่เพื่อไหว้พระและแก้บนเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าความเป็นจริงจะซับซ้อนมากกว่าที่นางคิดมากนัก
หลีมู่ทราบดีว่าคุณหนูของตนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว แต่นางกลับคิดว่าไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย เพราะตั้งแต่ต้นจนจบนางก็ยังคงเป็นสาวใช้ใกล้ตัวที่สุดของซูเหลียนอวิ้น ผู้เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซูมิใช่หรือ? แต่หากฟังจากที่หลานเย่ว์บอกแล้ว หากซูเหลียนอวิ้นเป็นคนซับซ้อนอยากหยั่งถึงเพียงนั้น…
เช่นนั้นหลีมู่อยู่ที่ใดในใจของซูเหลียนอวิ้น?
“คุณหนู…หลีมู่ไม่สนใจว่าคุณหนูจะเปลี่ยนไปในแง่ดีหรือแง่ร้ายหรอกเจ้าค่ะ หลีมู่รู้เพียงว่า คุณหนูเป็นเจ้านายคนเดียวของบ่าว เป็นคุณหนูคนเดียวของบ่าว” หลีมู่เงยหน้าขึ้นแล้วสบตากับซูเหลียนอวิ้น คำพูดของนางแต่ละคำพูดนั้นผ่านการคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ดังนั้นท่าทางของนางจึงหนักแน่นราวกับกำลังกล่าวคำสาบาน
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินและได้เห็นปฏิกิริยาตรงหน้าของหลีมู่นางก็เริ่มสับสน เพราะนางได้จินตนาการถึงปฏิกิริยาต่างๆ ของหลีมู่ล่วงหน้าไว้มากมายในขณะที่นางเดินออกมา ทว่ากลับมิได้คิดว่านางจะมีท่าทีเช่นนี้ได้
เป็นความผิดของตนที่ทำให้ผู้อื่นต้องร้อนใจเช่นนี้หรือจะกล่าวอีกแง่คือนางไม่เห็นค่าของตัวเอง เรื่องราวเหล่านี้ซูเหลียนอวิ้นได้คิดเอาไว้หมดแล้ว แต่ผลสุดท้ายที่ออกมากลับทำให้เกิดบรรยากาศซึ้งตรึงใจเช่นนี้?
นี่นางทำอะไรลงไปหรือ! แค่ไม่ได้อยู่กับหลีมู่ตลอดทั้งบ่ายเท่านั้น! นี่มัน…บ่ายนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…
จากนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “เอ่อ หลีมู่ เรื่องนั้น แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ หรือเจ้าไปรับรู้เรื่องราวอะไรมา แต่เจ้ามิต้องห่วง ในใจของข้ายังคงมีเจ้าอยู่เสมอ! เจ้า…เจ้าอย่าคิดมากเลย รีบเข้านอนเถิด จะได้รีบพักผ่อน”
บางทีการได้นอนสักตื่นอาจช่วยให้ดีขึ้นได้ เพราะขืนหลีมู่ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตนคงต้องนั่งละเมอแน่
เมื่อหลีมู่เห็นว่าซูเหลียนอวิ้นมีท่าทางอยากจบบทสนทนาเต็มที ในใจก็ยิ่งจมดิ่ง ทว่าการพูดให้คำมั่นของซูเหลียนอวิ้นกลับทำให้นางรู้สึกได้ถึงความร้อนที่กรุ่นขึ้นในดวงตา
เฮ้อ คุณหนูก็ยังคงเป็นคุณหนู เรื่องอื่น…ใครจะพูดว่าอย่างไรก็ช่าง
“เจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูรีบขึ้นไปพักผ่อนบนเตียงก่อนเถิด บ่าวจะปูที่นอนข้างล่างนี้”
“อื้ม ก็ได้”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหลีมู่กลับคืนสู่ท่าทางปกติได้ดังเดิมก็รู้สึกโล่งใจ นางรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้หลีมู่ไม่อยู่ในอาการปกติ! ทว่ายังดีที่กลับมาเป็นดังเดิมได้ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงน่ากลัวไม่น้อย!
สิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นทนเห็นไม่ได้มากที่สุดก็คือน้ำตาของสตรี หากเป็นของนางเองนางคงไม่สนใจ แต่หากเป็นของคนอื่นเล่า? ก็คงต้องปล่อยวางเช่นกัน
จากนั้นราตรีนี้ก็ไร้ซึ่งคำพูดใด
เนื่องจากวันนี้หลีมู่ประสบกับเรื่องน่าตื่นเต้นมากเกินไปจึงไม่ทันได้พลิกตัวแม้แต่ครั้งเดียวก็เข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว ทว่าซูเหลียนอวิ้นที่นอนอยู่บนเตียงกลับพลิกตัวซ้ายทีขวาทีราวกับหนอนตัวหนึ่ง จะทำอย่างไรก็ไม่ยอมหลับ!
อันที่จริงแล้วใช่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะไม่อยากนอน เพียงแค่…ที่นอนอันนี้ไม่มีความนุ่มแม้แต่น้อย!
แม้ว่าหลีมู่จะเลือกห้องที่ดีมากแล้วให้ซูเหลียนอวิ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงเทียบกับที่นอนบ้านตัวเองไม่ได้ แถมซูเหลียนอวิ้นเองยังเป็นคนประเภทติดที่อีกด้วย ดังนั้นนางก็อยากนอนแต่จะนอนอย่างไรก็ไม่หลับ
สุดท้าย ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตนมิสามารถทนนอนกระสับกระส่ายแบบนี้ได้อีกต่อไป ก็ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างมิหวาดกลัวสิ่งใด สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างจากนั้นจึงถอนใจ
——
[1] เป็นสำนวน หมายถึง คนที่มีความสามารถอยู่แล้วแต่ทำเป็นไม่มีความสามารถเพื่อให้ฝ่ายตรงข้าย่ามใจ เพื่อให้บรรลุแผนการที่วางไว้