ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 80 หยามเกียรติ
ณ จวนจิ้งอันโหว
“นายท่าน ข้ามิได้มีเจตนาจะไม่ไปรับนายท่านนะขอรับ!” ตอนนี้หลิวจือกำลังอับจนถ้อยคำอธิบายใดๆ จึงเพียงอธิบายอีกรอบว่า “นายท่าน เมื่อวานข้าต้องการดึงดูดความสนใจของสองคนนั่นถึงได้หลบไป ข้านึกว่าท่านจะหนีไปแล้วเสียอีก ไม่นึกว่า…”
สายตาของหลิวจือแอบเหลือบมองไปยังต้วนเฉินเซวียน พลางคิดในใจว่า ใครเลยจะคิดว่าท่านจะนอนสลบอยู่ตรงนี้! ทว่าเมื่อเห็นเขามีอารมณ์พลุ่งพล่านเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าถามถึงว่าเพราะเหตุใดเขาจึงมานอนสลบอยู่ตรงนั้นได้…
อันที่จริงแล้วพิษนั้น แม้ว่าอาการจะดูค่อนข้างน่ากลัว แต่หากไม่มีคนไล่กวดตามหลังมาแล้วล่ะก็ ด้วยฝีเท้าของต้วนเฉินเซวียนแล้ว คงสามารถกลับมาถึงจวนจิ้งอันโหวได้
จากการคาดคะเนคร่าวๆ ของหลิวจือเอง จึงทำให้เขาไม่ได้สนใจทางด้านของต้วนเฉินเซวียนมากนักและหันไปดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายหนึ่งแทน แต่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของต้วนเฉินเซวียนจะยากลำบากเช่นนี้
ต้วนเฉินเซวียนสังเกตเห็นท่าทางของหลิวจือที่คล้ายอยากจะเอ่ยสิ่งใดแต่อึกอักไม่กล้าพูด เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์
ตอนนี้ยังมีอะไรที่ไม่กล้าพูดอยู่อีก? อันที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์นั้นไม่ได้เกิดจากหลิวจือ แต่เป็นซูเหลียนอวิ้นต่างหาก เขาโกรธที่ตนตกหลุมพรางเด็กน้อยคนนี้ หากใครรู้เข้าคงหัวเราะจนฟันหักแน่นอน อีกทั้งเจ้าเด็กคนนี้ยังไม่พลาดตกหลุมในความเป็นบุรุษรูปงามของเขา
แม้ว่าเขาจะใส่หน้ากากอยู่ก็ตาม แต่ก็สามารถทำให้นางเผลอใจได้เช่นกัน!
“เจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดเร็วข้า! อย่ามัวแต่ชักช้าอึกๆ อักๆ เช่นนี้ ทำตัวอย่างกับผู้หญิง!” ต้วนเฉินเซวียนแผดเสียงตวาด ตอนนี้หลิวจือกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ข้า ข้า…” หลิวจือกลืนน้ำลาย เพราะเขารู้สึกว่าคำพูดต่อไปที่เขาอยากจะพูดนั้นจะต้องทำให้นายท่านอารมณ์เสียมากขึ้นแน่นอน! หากนายท่านไม่ได้ออมมือไว้และด้วยความอับอายจนแปรเปลี่ยนเป็นโทสะลงมือกับเขาถึงตายจะทำอย่างไร?
แต่นายท่านได้เอ่ยปากถามเขาเสียแล้ว จะไม่พูดก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วโทษคงหนักกว่าเดิม…เฮ้อ ตนจะสงสัยอะไรนักหนา! กลับมาถึงจวนแล้วก็ควรหลบหน้าเจ้านายไปให้ไกลๆ นั่นจึงจะเป็นวิธีการปกติที่คนอื่นเขาทำกันมิใช่หรือ! ตอนนี้สมองของเขาคงเสื่อมไปเสียแล้ว
“นายท่านคือเรื่องนั้น…” หลิวจือคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าพูดออกไปตรงๆ จะดีที่สุด เพราะไม่ว่าอย่างไรก็มีโอกาสตายด้วยกันทั้งนั้น เช่นนั้นมิสู้คลายความสงสัยของตนก่อนแล้วค่อยตาย จะได้ตายโดยไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจอีก
“คือข้าเพียงสงสัยว่าใครเป็นคนเอาพิษออกให้ท่าน และเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านทำไมถึงมีรอยเท้าอยู่บนก้นถึงสองรอย”
อีกทั้งความเล็กใหญ่ของรอยเท้านั่นดูก็รู้ว่าเป็นขนาดเท้าของสตรี นายท่านออกมาปฏิบัติภารกิจภายนอก เหตุใดจึงมาอยู่กับสตรีได้? ไหนจะเรื่องการจัดการพันแผลนั่นอีก! ตอนนี้เขาอยากรู้เสียเต็มประดา
หลิวจือเอ่ยทั้งสองประโยคนี้ออกไปทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ เมื่อเอ่ยจบก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงพบว่าตอนนี้สีหน้าของต้วนเฉินเซวียนหมองคล้ำราวกับก้นหม้อ เขาจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี แน่นอนว่าตอนนี้เขาได้กระทุ้งโดนจุดสำคัญของนายท่านเสียแล้ว!
“นายท่านขอรับ ข้า พอดีข้ามีธุระต้องทำ! ท่านไม่พูดก็ไม่เป็นไร ข้าขอตัวก่อน” เมื่อเอ่ยจบก็วิ่งออกจากห้องไปราวกับบินได้ ความเร็วในการกล่าวขอโทษและหลบเลี่ยงปัญหาของเขานั้นสามารถเทียบเคียงหันชิงอวี่ได้เลย
ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้เอ่ยอะไร นั่นเป็นเพราะ…เขาไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ
เสื้อผ้าที่ถูกถอดออกเรียบร้อยแล้วถูกโยนไว้ด้านข้าง เขาจึงเดินเข้าไปแล้วก้มตัวลงไปเก็บมันขึ้นมาสำรวจดู เขาจึงสังเกตเห็นว่า…ที่ด้านหลังกางเกงมีรอยเท้าสองรอยประทับอยู่
เพียงดูแวบเดียวก็รู้ว่าคนที่ฝากรอยเท้าเอาไว้มีความแค้นเคืองมากเพียงใด รอยเท้าถึงยังอยู่ได้ถึงตอนนี้
ต้วนเฉินเซวียนเม้มปากแน่น บรรยากาศรอบตัวเขาเย็นยะเยือก ทว่าโชคยังดีที่ในห้องนี้ไม่มีใครอยู่อีกแล้วนอกจากเขา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดต้องหวาดผวากับบรรยากาศน่าขนลุกนี้
ซูเหลียนอวิ้น แม่ตัวดี!
ความพลุ่งพล่านนี้ของเขาส่งตรงมาจากก้นบึ้งของจิตใจ เพราะลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ ซูเหลียนอวิ้นถึงกับกระทืบเขา? กระทืบเขาเชียวนะ?
คนอย่างต้วนเฉินเซวียนเคยได้รับการหยามเกียรติเช่นนี้เสียที่ไหน! นางแมวขนพองนี่นับวันก็ยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ในความคิดของต้วนเฉินเซวียนแล้ว แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะใช้ลูกไม้บางอย่างทำให้เขาสลบไป เขาก็ยังพอบอกตัวเองได้ว่าตอนนั้นเป็นเขาเองที่ทำให้นางหวาดกลัว อีกอย่างในตอนนั้นที่เขาสลบไปแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่รู้ตัว ดังนั้นเขาคงทำได้เพียงคาดเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นต่อจากนั้น
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นกลายเป็นว่า เจ้าเด็กนี่ไม่ได้หลงเสน่ห์ที่เขาหว่านไว้เลยสักนิด แถมยังกระทืบเขาอย่างโหดเ**้ยม! นี่ส่งผลกระทบต่อความนับถือในตัวเองของเขาอย่างรุนแรง!
ซูเหลียนอวิ้นเจ้าคอยดูเถิด ต้วนเฉินเซวียนโกรธจัดถึงขั้นแยกเขี้ยวสาบาน
แค้นนี้หากไม่ชำระ ไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริง!
หากสบโอกาสเขาจะต้องจัดการเจ้าเด็กนี่ให้สาสม!
ทว่าต้วนเฉินเซวียนคงลืมไปว่า ตัวเขานั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริงอะไรที่ไหนเลย…
…..
“หลีมู่ ตอนนี้ยามใดแล้ว? ทำไมเจ้าถึงไม่ปลุกข้าเล่า” เมื่อซูเหลียนอวิ้นนอนเต็มอิ่มแล้ว ภาพแรกหลังจากที่นางลืมตาตื่นขึ้นคือหลีมู่กำลังนั่งอยู่ด้านข้างนางโดยใช้สายตาซับซ้อนจ้องมองมายังนาง
“หลีมู่เจ้าเป็นอะไรไป?”
ผ่านไปคืนหนึ่งแล้วยังไม่หายอีกหรือ อาการป่วยนี้ของหลีมู่คงรุนแรงมากทีเดียว
หลีมู่เหม่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มออกมา “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ บ่าวเห็นคุณหนูนอนหลับฝันดีเช่นนี้ จึงตัดสินใจอยู่ว่าจะปลุกคุณหนูดีหรือไม่ ในเมื่อตอนนี้คุณหนูตื่นแล้วก็รีบไปอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูบอกเองมิใช่หรือว่าวันนี้มีหลายเรื่องที่ต้องทำ”
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วมองไปที่หลีมู่อย่างระแวดระวัง ตอนนั้นเองจึงพบว่าหลีมู่ไม่เป็นไรและมีทีท่าเหมือนปกติ หรือว่าเมื่อครู่นี้นางตาลายไปเอง?
นี่คงเป็นผลจากเมื่อคืนที่นางสมบุกสมบันมากเกินไปนั่นเอง จนทำให้ตอนนี้นางเริ่มเห็นภาพหลอน!
หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ไม่พิรี้พิไรอีก นางรีบไปยังโบสถ์แล้วไหว้พระสวดมนตร์จนครบกระบวนการ จากนั้นถึงจะได้พักผ่อนอีกครั้ง
นางเดินออกมาด้านนอกโบสถ์ เนื่องจากแสงแดดในตอนนี้แยงตานางจึงยกมือขึ้นมาป้องศีรษะเอาไว้
จนตอนนี้แล้ว นางจะไปหาท่านอาจารย์อีกดีหรือไม่? แต่นางก็ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่อยากจะพูดและอยากจะถาม ยกตัวอย่างเช่นทำไมนางถึงรู้สึกกระตุกที่หัวใจ ที่แท้แล้วมันเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่
“หลีมู่ข้า…” ซูเหลียนอวิ้นอ้าปากเตรียมจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรดี
หลีมู่อยู่กับซูเหลียนอวิ้นมาตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นทุกอากัปกิริยา ทุกการแสดงออก แม้มิอาจกล่าวได้ว่าเข้าใจเต็มทั้งสิบส่วน แต่อย่างน้อยเข้าใจสักเจ็ดส่วนก็ถือว่ามากเพียงพอแล้ว อากัปกิริยาของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้เพียงดูก็รู้แล้วว่านางกำลังปั่นป่วนด้วยเรื่องบางอย่าง แต่มิรู้จะเอ่ยกับนางว่าอย่างไรดี
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” หลีมู่เดินหน้าไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “คุณหนูยังมีเรื่องอะไรที่ต้องทำอีกหรือไม่? หากคุณหนูมีธุระด่วนก็ไม่ต้องสนใจบ่าวแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรีบไปแล้วรีบกลับก็พอ เพราะเมื่อวานเขียนบอกในจดหมายไปแล้วว่าวันนี้พวกเราจะต้องกลับไปถึงอย่างแน่นอน”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือ คราวนี้คุณหนูต้องการให้หลานเย่ว์ไปด้วยหรือไม่? หากบ่าวไปด้วยมีแต่จะไปสร้างความวุ่นวายให้เปล่าๆ แต่หากพาหลานเย่ว์ไป อย่างน้อยๆ คุณหนูก็จะได้ผู้ช่วยนะเจ้าคะ”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นมองไปยังใบหน้าของหลีมู่ที่กำลังยิ้มอย่างพอเหมาะพอดีอยู่นั้น นางก็อับจนถ้อยคำ
หลีมู่คงกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่อย่างที่นางคาดไว้!