ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 81 พลังภายใน
“หลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปตบที่ไหล่หลีมู่เบาๆ “เจ้ากำลังคิดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่?” แม่นางน้อยนางนี้ วันหนึ่งๆ ชอบคิดแต่เรื่องไร้สาระ! แววตาของนางแปลกประหลาดอีกแล้ว!
“ชั่งเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว มิสู้ให้เจ้ากับหลานเย่ว์ตามข้าไปด้วยจะดีกว่า ข้าจะไปพบคนผู้หนึ่ง” ซูเหลียนอวิ้นเอามือข้างหนึ่งไปดึงหลีมู่ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกวักเรียกหลานเย่ว์เข้ามา
“หลานเย่ว์ เจ้ากับหลีมู่ไปธุระกับข้าเถิด พวกเจ้าทั้งสองจะได้ไม่ต้องนั่งคิดมากกังวลทั้งวันและตัดสินใจลงมือทำอะไรโดยพลการอีก”
หลานเย่ว์ชะงักไป แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาของหลีมู่ที่ประหลาดใจไม่แพ้กันก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น เขาจึงเอ่ยว่า “ขอรับ คุณหนูสั่งอะไร ข้าก็จะทำเช่นนั้น”
คุณหนูใหญ่คงกลัวว่าหลีมู่จะเป็นห่วงกระมัง ดังนั้นจึงตัดสินใจจะพาไปด้วย? แต่ทำไมถึงให้เขาไปด้วยเล่า?”
ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ความในใจของหลานเย่ว์ในตอนนี้ เนื่องจากในใจของนางนั้น หลานเย่ว์ได้กลายเป็นคนของนางอย่างเต็มตัวตั้งแต่เมื่อวานที่เขามอบนกหวีดให้นางแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่อยากปิดบังอะไรเขาอีก
“ไปกันเถิด” ซูเหลียนอวิ้นชี้ไปยังภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ “ไปทางนั้น หนทางค่อนข้างไกล ดังนั้นพวกเราต้องรีบเดินกันหน่อย”
หลีมู่พยักหน้า “เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะพยายามไม่เป็นตัวถ่วงของทุกคน”
ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ตอบอะไร เพราะสิ่งที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่ในขณะนี้คือ อีกประเดี๋ยวเมื่อพบหน้าหรงซู่แล้ว นางจะอธิบายกับหรงซู่ว่าอย่างไรดี
“ถึงแล้ว” ผ่านไปไม่นานก็ถึงจุดหมาย
ซูเหลียนอวิ้นชี้ไปยังกระท่อมไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า “พวกเจ้าสองคนรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าขอเข้าไปถามคนผู้นั้นก่อนว่ายินดีจะพบหน้าพวกเจ้าหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ คุณหนู” หลีมู่รีบเอ่ยปาก “คุณหนูเชื่อใจและพาพวกเรามาจนถึงที่นี่ก็นับว่าดีมากแล้ว ข้ากับหลานเย่ว์รอคุณหนูอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว เดิมทีพวกเราเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณหนูถึงไม่กล้าปล่อยให้คุณหนูมาคนเดียว ตอนนี้หากพวกเรายืนรออยู่ด้านนอกไม่เข้าไปด้านในก็คงจะไม่เป็นอะไร”
ใบหน้าของหลีมู่ไม่แสดงอารมณ์ใด แต่อันที่จริงแล้วในใจรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
ดูจากสิ่งแวดล้อมและพื้นที่บริเวณนี้แล้ว ที่นี่จะต้องเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับฝึกปฏิบัติของผู้มีวรยุทธ์สูงสักคนหนึ่งกระมัง? มิน่าเล่าคุณหนูถึงเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงนี้ เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้อย่างแน่นอน!
แต่ว่ากันว่าผู้ที่มีวรยุทธ์สูงโดยส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยใจคอที่แปลกประหลาด? ดังนั้นหลีมู่จึงคิดว่าตนอย่าได้เข้าไปก่อเรื่องเพิ่มเปล่าๆ จะดีกว่า หากนางทำให้เขาไม่ชอบใจขึ้นมาจนทำให้คุณหนูพลอยเดือดร้อนไปด้วย นั่นจะไม่ทำให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นหรือ?
การที่คุณหนูพานางมาด้วยนั้นทำให้นางตื้นตันและซาบซึ้งมากพอแล้ว ตอนนี้หลีมู่จึงไม่ฝันเฟื่องอยากได้อะไรมากกว่านี้อีก นางขอเพียงคอยคุ้มกันคุณหนูอยู่ด้านหลังเงียบๆ ก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว
อีกทั้งในความคิดของหลีมู่ ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงมักจะเป็นพวกเฒ่าหนวดขาว ดังนั้นการที่ซูเหลียนอวิ้นไปพบคนแบบนี้สองต่อสอง…นางไม่คิดว่ามีอะไรน่าเป็นห่วง
หลานเย่ว์เองก็มีทีท่าเช่นเดียวกับหลีมู่คือขอยืนรออยู่ด้านนอกก็เพียงพอ เหตุการณ์ด้านในจะเป็นอย่างไรเขามิได้อยากรู้
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นพวกเขาทั้งสองคนมีทีท่าพอใจเช่นนี้ นางจึงหมดห่วง
“เช่นนั้นพวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะเข้าไปสอบถามอะไรเขาสักหน่อยประเดี๋ยวก็ออกมาแล้ว”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
ด้านนอกกระท่อมไม้ไผ่ หรงซู่รินชาสองแก้วเตรียมไว้บนโต๊ะหินเรียบร้อยแล้ว ราวกับรอซูเหลียนอวิ้นมาเป็นเวลานานแล้ว
“อวิ้นเอ๋อร์มาเสียที” หรงซู่เงยหน้าขึ้น ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรจึงมาหาอาจารย์อีก?”
ซูเหลียนอวิ้นไม่อยากจะสาธยายอะไรกับหรงซู่มากนักเพราะมีคนรอนางอยู่ด้านนอก ดังนั้นจึงต้องพูดอย่างรวบรัดตัดตอน “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าหัวใจข้าผิดปกติ เหตุใดบางครั้งข้าจึงรู้สึกเจ็บที่หัวใจได้?”
หรงซู่จึงเอ่ยว่า “เจ้านั่งลงแล้วเอามือมาให้ข้าตรวจก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือขวาของตนออกไปทันที สายตาทั้งสองข้างจับจ้องไปยังใบหน้าของหรงซู่ เนื่องจากนางกลัวว่าผ่านไปครู่หนึ่งหรงซู่จะถอนใจแล้วบอกนางว่า อาการป่วยนี้ของนางร้ายแรง ต้องกินยาทุกวันขาดไม่ได้แม้แต่มื้อเดียว หากขาดไปเพียงมื้อหนึ่งก็อาจจะ…เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นได้!
หรงซู่ขมวดคิ้วแน่นพลางตรวจดูบริเวณมือด้านขวาของซูเหลียนอวิ้น “ยื่นมือด้านซ้ายของเจ้าออกมาด้วย อาจารย์จะขอตรวจดูหน่อย”
ร้ายแรงขนาดนี้เชียว? ตรวจมือข้างเดียวถึงมิอาจรู้? กล่าวได้ว่าซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ไม่มีจิตใจจะล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย จึงยื่นมือด้านซ้ายออกไปทันที
พักใหญ่ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกังวลจนอกแทบแตกอยู่นั้น หรงซู่ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไรร้ายแรง”
“ไม่มีอะไรร้ายแรง?” เช่นนั้นเมื่อครู่ท่านทำท่านิ่งขรึมราวกับเคียดแค้นเรื่องใดอยู่ทำไมกัน! ทำเอานางกังวลแทบแย่
หรงซู่พยักหน้า “ไม่มีอะไรร้ายแรงนัก แต่ว่า…” หรงซู่ลากน้ำเสียงยาว “แต่สำหรับเจ้าแล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องเล็ก”
“ตอนที่เจ้าเจ็บที่หัวใจ เจ้ากำลังรู้สึกโกรธอยู่หรือว่ากำลังใช้วิชาที่อาจารย์สอนเจ้าอยู่ถึงจะเกิดอาการใช่หรือไม่?”
ตอนแรกที่ซูเหลียนอวิ้นได้ยินหรงซู่เอ่ยเพียงครึ่งๆ กลางๆ ก็เตรียมจะเถียงเขาสักคำสองคำ ทว่าเมื่อได้ยินประโยคอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือนางจึงสงบลง จากนั้นจึงก้มหน้าครุ่นคิดสิ่งที่หรงซู่กล่าว
เวลาที่นางรู้สึกเจ็บหัวใจ…
“คล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้น…” เนื่องจากตอนนี้เพิ่งจะมีอาการเพียงสองครั้ง แต่เมื่อใดที่รู้สึกเจ็บขึ้นมาก็แทบทนไม่ไหวทีเดียว
“ครั้งแรกดูเหมือนว่าจะเป็นตอนงานฉลองวสันตฤดู ตอนที่ข้าระเบิดอารมณ์ใส่หยางอวี้หลิน? อีกครั้งหนึ่งก็คือเมื่อวานนี้ ท่านอาจารย์ให้ข้าใช้วิชาตัวเบาลงเขาไป สุดท้ายข้าลงไปได้เพียงครึ่งทางก็เกิดรู้สึกเจ็บหัวใจขึ้น จากนั้นข้าก็ตกจากต้นไม้”
เมื่อหรงซู่ได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็มิผิดแล้ว”
“มิผิดแล้ว?”
“ถูกต้อง พลังภายในตัวเจ้ากับร่างกายของเจ้าในตอนนี้ สิ่งสองสิ่งนี้กำลังต่อต้านกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บที่หัวใจ”
หรงซู่หันตัวไปหยิบหนังสือที่เตรียมไว้แล้วสองเล่มวางลงตรงหน้าซูเหลียนอวิ้น “ข้าเคยบอกเจ้าว่า เจ้าเรียนวิชาป้องกันเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ แต่วันนี้ไม่เหมือนอย่างในอดีตแล้ว หากเจ้ายังใช้วิชาป้องกันอยู่เกรงว่าจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้นกับร่างกายของเจ้า”
“ตอนนี้เจ้ามิต้องเรียนเพียงป้องกันอย่างเดียวแล้ว เจ้าควรจะไปเรียนรู้อย่างอื่นบ้าง เจ้านำตำราสองเล่มนี้กลับไปเถิด เมื่อเจ้าเข้าใจและศึกษาหนังสือทั้งสองเล่มนี้ได้พอสมควรแล้วค่อยกลับมาหาข้าอีกครั้ง”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนักจึงเอ่ยว่า “ความหมายของท่านอาจารย์คือ ข้าในชาติที่แล้วรู้จักแต่เพียงการกล้ำกลืนฝืนทนจึงไม่จำเป็นต้องรู้จักการโจมตี เรียนเพียงวิชาป้องกันตัวก็เพียงพอ แต่ข้าในตอนนี้รู้จักต่อกรกับผู้อื่นแล้ว ดังนั้นหากใช้วิชาการป้องกันไปโจมตีผู้อื่นมีแต่จะทำให้ตัวเองต่อต้านร่างกายตัวเอง?”
หรงซู่พยักศีรษะ “เจ้าสอนง่ายยิ่งนัก”
“อวิ้นเอ๋อร์ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือ เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าช่วงนี้เจ้าหงุดหงิดง่าย?”
“เอ๊ะ!” ซูเหลียนอวิ้นชะงักไป “ใช่หรือ?”
“เจ้าลองคิดดูดีๆ ก็แล้วกัน”
เหมือนจะเป็นเช่นนั้น? ซูเหลียนอวิ้นหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางครุ่นคิด แต่จะว่าไปแล้วจะบอกว่านางหงุดหงิดง่ายก็ไม่ถูกนักกระมัง? เพราะเรื่องราวต่างๆ ในอดีตที่นางเคยอดกลั้นได้ ตอนนี้นางเพียงไม่อดทนกับมันอีกต่อไปแล้ว