ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 82 ศิษย์น้อง
หรงซู่ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าควรฝึกควบคุมอารมณ์ของตนให้ได้ และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เจ้าต้องกินผักให้มากและลดการกินเนื้อสัตว์ลง” หรงซู่ยื่นมือออกไปจิ้มที่หน้าผากซูเหลียนอวิ้นด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจ
“ชู่ ท่านอาจารย์หยิกข้าทำไม!” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืนเพื่อเลี่ยงมือของหรงซู่แล้วจ้องหน้าคนตรงหน้าอย่างฉุนจัด
“ข้าหยิกเจ้าที่ไหนกัน” หรงซู่ไม่ใส่ใจนางแล้วนั่งจิบชาอยู่บนม้านั่งหินอย่างไม่รีบร้อนแล้วเอ่ยต่อว่า “ที่อาจารย์จิ้มไปโดนเมื่อกี้คือรอยบวมที่หน้าผากเจ้า เจ้ามิรู้หรือว่าเจ้าเป็นสิวแล้ว?”
ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าอย่างงุนงง “ไม่รู้เจ้าค่ะ…”
“หากไม่รู้ประเดี๋ยวก็กลับไปส่องกระจกดูเถิด สิวเม็ดใหญ่ขนาดนั้น ข้าเห็นแล้วใจคอไม่ดี เฮ้อ”
ซูเหลียนอวิ้นเอามือลูบบริเวณหน้าผากตน ก็แค่มีสิวเม็ดใหญ่เท่านั้นเอง! แถมยังอยู่กลางหน้าผากอีกด้วย
พอคิดย้อนถึงเมื่อครู่ที่นางออกไปไหว้พระที่วัดฝ่าฝัวโดยไม่รู้ตัว แถมคนที่วัดก็ตั้งมากมายขนาดนั้นคงจะเห็นนางในสภาพเช่นนี้ไปแล้ว วินาทีนั้นนางอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีไปเสีย
“อวิ้นเอ๋อร์ ฟังคำเตือนของอาจารย์สักครั้ง ลดการกินเนื้อสัตว์ลงและกินผักให้มากๆ รับรองว่าไม่มีผลเสียแน่นอน”
ซูเหลียนอวิ้นเอามือขวาของตัวเองลงแล้วแค่นยิ้ม “ท่านอาจารย์อย่าห่วงเลย อยู่ที่เรือนข้าจะกินผักให้มาก ส่วนตอนอยู่ที่นี่กับท่านข้าจะไม่มีทางกินเนื้อสัตว์น้อยลงแม้แต่ชิ้นเดียว! มิเช่นนั้นหากท่านกินเนื้อสัตว์มากไป ของพวกนั้นก็จะสะสมกลายเป็นสิวบนตัวท่านไปอีกมิใช่หรือ? ดังนั้นให้ศิษย์เป็นคนรับไว้เองจะดีกว่า”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหรงซู่ผู้นี้ยังคับแค้นเรื่องที่นางแย่งเนื้อกระต่ายเขากินเมื่อวานอยู่! ซูเหลียนอวิ้นแอบกัดฟัน
แค่แย่งเนื้อไปไม่กี่ชิ้นเอง! ถึงกับต้องคิดแค้นเช่นนี้ นางมิได้กินเนื้อกระต่ายลงไปคนเดียวเสียหน่อย หรงซู่เองก็กินไปไม่น้อยเช่นกัน!
หรงซู่ยิ้มตอบแล้วเอ่ยต่อว่า “มิเป็นไร ต่อไปเนื้อสัตว์ของที่นี่ก็ให้ถือว่าเป็นของเจ้าก็แล้วกัน รับรองว่าทุกครั้งที่เจ้ามาที่นี่จะต้องได้กินเนื้อสัตว์แน่นอน”
ซูเหลียนอวิ้นไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับหรงซู่อีกต่อไปแล้ว เพราะหรงซู่ผู้นี้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอย่างยิ่ง เมื่อวานนางเพิ่งจะเอายาของเขาไปเยอะขนาดนั้น วันนี้เขาดันให้ตำรานางมาอีกสองเล่ม ใครจะรู้ว่าวันหน้าเขาจะไม่ตามเอาคืนหรือทวงบุญคุณอะไรอีก
ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ตำราสองเล่มนี้ นางจะไม่เถียงอะไรกับเขาอีก!
“ท่านอาจารย์ข้าขี้เกียจจะทะเลาะกับท่านแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นบ่นขึ้น “ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ท่านอาจารย์อย่าลืมพิธีปักปิ่นของข้าก็พอ”
หรงซู่ขมวดคิ้ว “เจ้าศิษย์ทรยศ! กลับมานี่เดี๋ยวนี้! ในมือของเจ้าถืออะไรไปอีก! นั่นเป็นสิ่งที่อาจารย์ยังต้องใช้อยู่ เจ้าช่าง…ข้าไม่ตีเจ้าเพียงสามวัน เจ้าก็ปีนขึ้นไปรื้อหลังคา[1]เสียแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยตอบว่า “อื้ม”
นางรู้ดีว่าบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องราวใดได้มาง่ายดาย! อาจารย์หรือจะมอบสิ่งของให้นางอย่างเต็มใจ! ในที่สุดแล้วนางก็ต้องแย่งชิงมันมาเอง เพื่อให้ได้ของแม้เพียงเล็กน้อยจากอาจารย์
“ตอนนี้ศิษย์ขอลาก่อน”
“ไปเถิดๆ!”
……
“อวิ้นเอ๋อร์!”
ขณะที่เพิ่งลงจากรถม้าเสร็จ นางยังไม่ทันกลับไปถึงเรือนของตน ซูเหลียนอวิ้นก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นก่อน
“อวิ้นเอ๋อร์! เหตุใดเมื่อวานเจ้าถึงไม่บอกแม่สักคำ! จู่ๆ ก็ไปค้างคืนที่วัดฝ่าฝัวโดยพลการ เจ้าเป็นลูกผู้หญิงแถมไม่ได้พาองครักษ์ไปด้วย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแม้แต่นิดเดียว…”
ซูเหลียนอวิ้นมองไปที่ฮูหยินผู้นี้ที่กำลังจูงมือนางอยู่พลางบ่นอย่างไม่หยุดปากจึงรู้สึกเสียใจขึ้นมา นางว่านางเดินเร็วมากพอแล้ว! ท่านแม่ตามนางทันได้อย่างไร?
“ท่านแม่เจ้าคะ!” ซูเหลียนอวิ้นทนไม่ไหวในที่สุดจึงเอ่ยขึ้น “ลูกก็มิได้เป็นอะไรมิใช่หรือ อีกทั้งที่วัดฝ่าฝัว…ก็เป็นถึงวัดประจำราชวงศ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของโอรสสวรรค์ จะไปเกิดเรื่องอะไรได้อย่างไร ลูกปลอดภัยดี ไม่เป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ”
ที่นั่นย่อมเกิดเรื่องได้แน่! ในใจของซูเหลียนอวิ้นกำลังโต้แย้งตัวเอง ตอนนี้นางกำลังโกหกโดยที่ไม่ได้เตรียมบทอะไรมาก่อนเลย
พอคิดถึงภาพเหตุการณ์น่าพรั่นพรึงของเมื่อคืนวานนั้น ซูเหลียนอวิ้นเริ่มตัวสั่นงันงก ยังดีที่นางเอาตัวรอดเก่ง! มิเช่นนั้นแล้วคงจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้ว่าของป้องกันตัวจำพวกมีดสั้น มิควรวางมั่วๆ แต่ต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลาต่างหาก
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าหนาวหรือ?” เมื่ออันเพ่ยอิงเห็นซูเหลียนอวิ้นตัวสั่นขึ้นมาในตอนนั้นจึงขมวดคิ้ว “อวิ้นเอ๋อร์เมื่อคืนวานเจ้าไม่ได้ห่มผ้าให้ดีใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นจะตัวสั่นได้อย่างไร? คงมิได้เป็นไข้กระมัง” เนื่องจากตอนนี้พระอาทิตย์ดวงใหญ่ จะเลี่ยงความร้อนอย่างไรก็คงไม่ทัน คนปกติที่ไหนจะมาตัวสั่นอยู่ตรงนี้?
อันเพ่ยอิงเอามือไปลูบที่หน้าผากของซูเหลียนอวิ้น “ไม่ร้อนนี่นา…”
“เอ่อ ท่านแม่เจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าหากยังโอ้เอ้อยู่ต่อไปอย่างนี้นางจะต้องเปิดเผยอะไรออกไปแน่ “ลูกรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เช่นนั้นลูกขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ หากท่านแม่มีเรื่องอะไร เมื่อลูกตื่นแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็ได้เจ้าค่ะ”
“ได้…” แม้ว่าอันเพ่ยอิงจะมีคำพูดอีกมากมายที่ยังไม่ได้พูด ทว่าเมื่อเห็นท่าทีของซูเหลียนอวิ้นที่ดูอ่อนแอเช่นนั้นจึงคิดว่าควรเก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ชั่วคราวก่อน “อวิ้นเอ๋อร์กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่เถิด คืนนี้แม่ค่อยแวะไปดูเจ้า”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าอันเพ่ยอิงเดินจากไปไกลแล้วนางจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ดูแล้วนางคงไม่เหมาะกับการโกหกเท่าไหร่นัก แม้แต่แม่ตัวเองนางยังแทบจะโกหกไม่สำเร็จ!
……
“ศิษย์น้อง แขกผู้ยากจะแวะมาเยือนนี่เอง” ขณะนี้หรงซู่กำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการจัดการยาสมุนไพรของเขา ดังนั้นจึงมิได้เงยหน้าขึ้นมา ทว่ามิต้องเงยหน้าเขาก็สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาคนนั้นคือผู้ใด “ทำไมหรือ วันนี้มาหาศิษย์พี่เพื่อพูดคุยย้อนวันวานกันหรือ?”
“ท่านว่าอย่างไรเล่า?” เสียงนี้แตกต่างจากเสียงที่แผ่วเบาสูงส่งยากจะเอื้อมถึงของหรงซู่ เมื่อคนผู้นี้เอ่ยปาก น้ำเสียงของเขาได้บ่งบอกถึงความใจร้อนถือตนและสง่างาม
“เช่นนั้นเจ้ามาด้วยเหตุใด? ฮึ? ศิษย์น้องต้วน” เมื่อหรงซู่จัดการยาสมุนไพรถังสุดท้ายของเขาจนเสร็จเรียบร้อยก็ยืดตัวขึ้นแล้วหันไปยิ้มให้กับคนผู้นั้นอย่างอบอุ่น
ต้วนเฉินเซวียนสวมใส่อาภรณ์สีดำ ส่วนหรงซู่สวมใส่อาภรณ์สีขาวพระจันทร์เสี้ยว เมื่อทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันจึงเกิดเป็นความแตกต่างกระจ่างชัดที่มิอาจชัดไปได้มากกว่านี้ได้อีก
ผู้หนึ่งงามสง่า ผู้หนึ่งเงียบขรึม ผู้หนึ่งมีรัศมีเทพเซียน ผู้หนึ่งดื้อรั้นถือตน ทว่าคนสองคนนี้กลับเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันจึงมีฐานะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง
“ท่านมิต้องยิ้มขนาดนั้นก็ได้” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยพลางเตะก้อนดิน “ท่านเป็นคนอย่างไรข้าจะไม่รู้เลยหรือ? ดังนั้นเรามาพูดจากันดีๆ เถิด อย่ามัวแต่ยิ้มเลย”
หรงซู่เป็นคนอย่างไรต้วนเฉินเซวียนจะไม่รู้ได้อย่างไร? เขาทั้งสองคนเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงทนเห็นท่าทางสูงส่งเหนือมนุษย์เดินดินของหรงซู่ไม่ได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นมนุษย์หน้าเงินทั่วไปแต่พยายามวางท่าราวกับเป็นเทพเซียนเอาไว้
อันที่จริงทุกครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนเห็นท่าทางเช่นนี้ของหรงซู่ เขาจะเกิดความรู้สึกอยากเข้าไปต่อยหน้าเขาสักยก จากนั้นค่อยบอกเขาว่า อย่าขี้เก๊กให้มากจะได้ไหม?
“โอ้โห อารมณ์ไม่ดีเพียงนี้เชียวหรือ” หรงซู่ส่ายหน้าพลางรุดขึ้นไปข้างหน้าสองสามก้าว ทำให้หลุมที่เกิดขึ้นตอนที่ต้วนเฉินเซวียนเตะไว้เรียบเสมอกัน “หากศิษย์น้องต้วนมีเรื่องไม่สบายใจใดอยู่ ขอร้องอย่าได้นำยาสมุนไพรที่ศิษย์พี่ปลูกไว้ไปคลายความทุกข์ใจก็พอ”
——
[1] มาจากสำนวน ไม่ตีเด็กเพียงสามวัน เด็กก็ปีนไปรื้อหลังคา หมายความว่า ไม่สั่งสอนเด็กให้รู้ถึงความผิด เด็กก็จะยิ่งทำความผิดที่ใหญ่ขึ้นไปอีก หรือหมายถึงเด็กดื้อก็ได้เช่นกัน