ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 84 เพื่อนช่วยดำเนินพิธี
ต้วนเฉินเซวียนมิได้ตอบอะไรกลับไป เพียงทิ้งเงาด้านหลังที่วิ่งอย่างรวดเร็วจากไปจนไม่เห็นฝุ่นไว้ให้หรงซู่
หรงซู่หัวเราะและพึมพำกับตัวเองว่า “โอ้โห วันนี้อากาศดีจริงเชียว”
เมื่อนึกถึงหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีดำของต้วนเฉินเซวียนเมื่อครู่ ริมฝีปากของหรงซู่ก็ฉีกยิ้มขึ้นไปจนแทบจะถึงหลังใบหู เพราะตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว เขาอยู่เพียงลำพังอยากจะยิ้มอย่างไรก็ยิ้มได้
ไม่ว่าจะอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเขา แม้ว่าบางครั้งจะดื้อรั้นซุกซน แต่เมื่อเทียบกับต้วนเฉินเซวียนแล้ว…ใจของหรงซู่ย่อมเข้าข้างซูเหลียนอวิ้นมากกว่าอย่างไม่ต้องลังเล! เพราะอีกฝั่งหนึ่งเพียงสร้างความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเปรียบเสมือนเจ้าแห่งมารบนโลกมนุษย์ ทุกๆ ครั้งที่มารบกวน หากไม่สร้างเรื่องโกลาหลวุ่นวายย่อมมิใช่เขาอย่างแน่นอน!
ใครใช้ให้เจ้ามารังแกลูกศิษย์ของข้าเองเล่า หรงซู่เยาะเย้ยในใจ แม้ว่าตัวข้ามิอาจเอามือสอดเข้าไปยุ่งได้มากนัก ทว่ายังสามารถสร้างความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าได้!
อีกทั้งเมื่อย้อนคิดถึงในอดีตที่ต้วนเฉินเซวียนเคยทับถมเขาเอาไว้ หรงซู่ก็รู้สึกว่าที่ตนสร้างความวุ่นวายให้เขาเมื่อครู่นั้นยังน้อยไป
เฮ้อ เมื่อคิดถึงตรงนี้หรงซู่จึงเงยหน้าขึ้นชมฟ้าพลางทอดถอนใจ “ชีวิตคนมีขึ้นมีลงน่ะ”
เมื่อวานตอนที่ซูเหลียนอวิ้นมาหาเขาที่นี่ ตอนที่เขากล่าวถึงต้วนเฉินเซวียน เขามองสายตาของนางออกอย่างชัดเจนว่าสำหรับต้วนเฉินเซวียนแล้ว…แม้ว่าจะยังมีความรู้สึกที่ดีให้อยู่ ทว่าได้มีบางสิ่งที่สำคัญกว่ามาทดแทนอยู่ในใจของนาง ไม่เหมือนอย่างแต่ก่อนที่นางยอมทำทุกอย่างเพื่อต้วนเฉินเซวียนอย่างหัวชนฝา เป็นแม่นางโง่เขลาผู้หนึ่งที่ยอมแข็งใจทำได้ทุกอย่าง
ส่วนต้วนเฉินเซวียนนั้น…หรงซู่หัวเราะออกมา
“ชีวิตคนมีขึ้นมีลง ชะตาฟ้ากำหนดยากล่วงรู้”
……
“น้องหญิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่สบายหรือ?”
น้ำแข็งไสที่อยู่ในปากซูเหลียนอวิ้นยังไม่ทันจะกลืนลงไปหมด นางก็เหลือบไปเห็นซูมั่วเยี่ยกำลังวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“เปล่าเจ้าค่ะ…ท่านแม่ชอบพูดจาเกินจริง ท่านพี่ใช่ว่าจะไม่รู้สักหน่อย” ไม่มีสตรีนางไหนที่เมื่อป่วยแล้วจะนอนหน้าแดงกินน้ำแข็งอยู่เช่นนี้ได้ และในความเป็นจริงตัวนางเองก็ไม่ได้ป่วยอะไร…
“แต่ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าน้องหญิงเป็นไข้” ซูมั่วเยี่ยขมวดคิ้ว “น้องหญิง เมื่อคืนวานตอนเจ้าอยู่ที่วัดฝ่าฝัวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ครั้งหน้าห้ามเจ้าตัดสินใจโดยพลการเช่นนี้อีก เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนท่านแม่เป็นห่วงเจ้ามากขนาดไหน”
“อืม…ครั้งหน้าจะไม่ทำเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นวางชามกระเบื้องสีขาวในมือลงเงียบๆ แล้วทำท่าสงบเสงี่ยมเจียมตัวรับฟังคำว่ากล่าวนี้
ทว่าในใจของนางยังคงแอบบ่นพึมพำ หรือว่าวันนี้นางคงเลี่ยงฟังคำว่ากล่าวไม่พ้นจริงๆ? ขนาดท่านพี่ยังบ่นนาง ดูแล้วนี่คงจะเป็นลิขิตสวรรค์กระมัง
“น้องหญิงยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าได้ยินท่านแม่เคยบอกว่า ผู้หญิงไม่ควรกินของเย็นเป็นประจำ มิเช่นนั้นต่อไปจะส่งผลเสียหลายอย่างต่อร่างกาย ต่อไปเจ้ากินน้ำแข็งไสสัปดาห์ละครั้งแค่ให้พอหายอยากก็พอแล้ว อย่ากินมากไปกว่านี้เลย” ตอนนี้ซูมั่วเยี่ยไม่ได้มองเห็นซูเหลียนอวิ้นเป็นคนอื่นคนไกล ดังนั้นพอได้พูดขึ้นมาก็จะพูดอย่างไม่จบไม่สิ้น ราวกับว่าเขากำลังพูดเพื่อชดเชยสิ่งที่เขาไม่ได้พูดในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา
“ท่านพี่ๆ น้องรู้แล้วเจ้าค่ะ!” แก้มทั้งสองข้างของซูเหลียนอวิ้นแดงระเรื่อ “ต่อไปข้าจะกินให้น้อยลง! แต่ว่าตอนนี้น้องรู้สึกเหนื่อยแล้ว ท่านพี่น้องอยากจะนอนสักประเดี๋ยว”
พระเจ้า! ท่านแม่ไปพูดอะไรกับท่านพี่! แม้แต่ แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังต้องบอกด้วยหรือ? ห้ามนางกินของเย็นมากเกินไป? คงไม่ได้กลัวว่าต่อไปนางจะ…?
ซูเหลียนอวิ้นเคอะเขิน แม้ว่าซูมั่วเยี่ยจะเป็นพี่ชายของนาง แต่นางก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง…จึงรู้สึกแปลกประหลาดพิกล
ทว่าเมื่อมองเห็นสีหน้าไร้เจตนาของซูมั่วเยี่ย ซูเหลียนอวิ้นจึงหลับตา หรือว่าอันที่จริงท่านแม่จะพูดเพียงประโยคเดียว? คิดๆ ดูแล้วก็คงใช่ เพราะเรื่องเช่นนี้ คงไม่มีใครกล่าวลงรายละเอียดมากนัก
“นอนอีกแล้วหรือ? แต่ท่านแม่บอกว่าเจ้านอนไปแล้วมิใช่หรือ? และเมื่อกี้เจ้าเพิ่งจะกินเสร็จ กินแล้วนอนแบบนี้…”
“โธ่ ท่านพี่!” ซูเหลียนอวิ้นหงุดหงิด “น้องอยากนอนแล้ว!”
จู่ๆ นางพลันคิดถึงพี่ชายคนเดิมที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็หน้าแดงขึ้นมาเสียแล้ว แม้ว่าจะพูดน้อยยากจะเข้าถึง แต่อย่างน้อยๆ นางก็รู้สึกว่าดีกว่าพี่ชายที่พูดไม่หยุดปากเช่นนี้อยู่นิดหน่อย…
เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นท่าทางทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดของซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้ เขาพลันพูดไม่ออก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว สาเหตุอาจจะเกิดจากเขาที่พูดมากเกินไป? ทั้งยังบ่นและสอนน้องหญิงอยู่เป็นนานเช่นนั้น ผู้ใดถูกว่ากล่าวนานขนาดนั้นก็คงจะอารมณ์เสียไปบ้าง
แต่เรื่องนี้จะไม่เอ่ยชมซูมั่วเยี่ยไม่ได้ เขาเป็นพี่ชายที่ดีตามแบบอย่างยี่สิบสี่ยอดกตัญญู แม้ว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นจะโมโหเขาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ แต่เขากลับมองเห็นความผิดของตัวเอง…
“พี่ผิดเอง พี่ไม่ควรพูดกับเจ้าแบบนั้น น้องหญิงอย่าโกรธพี่เลย” ซูมั่วเยี่ยก้มหน้าลงและเมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมาสายตาของเขาก็มีแต่ความรู้สึกผิด “พี่ใจร้อนไปชั่วครู่ ครั้งหน้าพี่จะไม่พูดกับเจ้าแบบนั้นแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา
แต่ไหนแต่ไรมานางก็เป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง ตอนนี้นางจะทำอย่างไรดีเพราะนางรู้สึกผิดต่อซูมั่วเยี่ยเสียแล้ว? อันที่จริงแล้วเรื่องนี้คนที่เป็นฝ่ายผิดก็คือนาง แถมเมื่อครู่นางยังระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างไร้เหตุผล แต่ซูมั่วเยี่ยกลับเป็นฝ่ายต้องขอโทษนาง…
“ท่านพี่…ข้า คราวหน้าหากข้าจะทำอะไรข้าจะบอกท่านเอาไว้ก่อน และจะไม่ตัดสินใจเองโดยพลการอีกแล้ว ข้าสาบาน”
ซูเหลียนอวิ้นชูนิ้วสามนิ้ว เป็นการรับประกันว่านางสาบานด้วยใจจริง ขออย่างเดียวแค่อย่าให้ซูมั่วเยี่ยใช้สายตาเช่นนั้นมองนางอีกเลย! นางทำอะไรผิดก็ไม่ได้
“ดีมาก” ซูมั่วเยี่ยหัวเราะ เนื่องจากเขาเชื่อในคำพูดของซูเหลียนอวิ้นโดยที่ไม่สงสัยเลยแม้แต่คำเดียว “ในเมื่อน้องหญิงเหนื่อยแล้วก็นอนต่อหน่อยเถิด คืนนี้ท่านพ่อจะกลับมากินข้าวด้วย ไม่รู้ว่าท่านจะรั้งเจ้าไว้นานเพียงใด ดังนั้นตอนนี้น้องหญิงพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อนก็ดีเหมือนกัน”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่มาก”
“จริงสิ ยังมีอีกเรื่อง” ซูมั่วเยี่ยคล้ายคิดบางสิ่งออกกะทันหันจึงนั่งลงอีกรอบหนึ่ง “น้องหญิง เจ้าคิดไว้หรือยังว่าเจ้าจะเชิญใครมาเป็นผู้ช่วยถือถาดรองและเพื่อนช่วยดำเนินพิธีในงานปักปิ่นของเจ้า? ท่านแม่บอกว่าหากเจ้าไม่รู้ว่าจะเชิญใครมา ท่านจะช่วยออกหน้าเชิญมาให้สักสองคน เจ้ามิต้องกังวล”
ซูมั่วเยี่ยเอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างไม่เต็มปากเต็มคำนัก ให้อันเพ่ยอิงเชิญคนมาร่วมงานพิธีปักปิ่น? หากเรื่องนี้แพร่ออกไป…คงจะน่าขายหน้ามากทีเดียว!
เนื่องจากคนสองคนนี้ที่จะมาร่วมในงานพิธีปักปิ่นของสตรี โดยปกติแล้วจะต้องเป็นเพื่อนสนิทร่วมเรียงเคียงหมอนกัน ทว่าสำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้ว…นางมีเพื่อนสนิทเสียที่ไหน?
เนื่องจากฐานะสูงต่ำและคุณสมบัติดีหรือไม่ดีของผู้ที่มาร่วมในงานพิธีปักปิ่น จะถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงมาตรฐานของพิธีปักปิ่นนี้ว่าดีหรือไม่ ใครเป็นเพื่อนกับใคร หากแม้แต่ในพิธีปักปิ่นยังไม่มีเพื่อนสนิทคนใดยอมมาร่วมงาน นั่นก็เพียงพอที่จะบ่งบอกว่าคนผู้นั้นล้มเหลวแค่ไหนที่ไม่มีแม้แต่เพื่อน…
ในชาติที่แล้วผู้ที่มาช่วยถือถาดรองและเพื่อนช่วยดำเนินพิธีของซูเหลียนอวิ้นก็เป็นคนที่อันเพ่ยอิงเชิญมา ซึ่งก็เป็นบรรดาลูกสาวของเพื่อนสนิทอันเพ่ยอิงนั่นเอง
ทว่าในตอนนั้นชื่อเสียงของซูเหลียนอวิ้นได้เสื่อมเสียไปเรียบร้อยแล้ว จะยังมีเด็กสาวบ้านใดที่ยังกล้าไปมาหาสู่กับนางอีก? หลบหน้านางยังแทบจะหลบไม่ทัน ดังนั้นเมื่ออันเพ่ยอิงออกหน้าเชิญ ผู้ใดที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยง สุดท้ายจึงเหลือเพียงคุณหนูเรือนเล็กสองคนที่ไม่ได้รับการโปรดปรานมาร่วมงาน