ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 85 เขียนจดหมาย
เนื่องจากบรรดาคุณหนูเรือนเล็กจะไม่เป็นที่โปรดปรานของคนในตระกูล ดังนั้นสู้ยอมทิ้งหน้าตาตัวเองแล้วมาร่วมพิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้นจะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรแล้วก็ขึ้นชื่อว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ทัพใหญ่มิใช่หรือ?
แม้ว่าจะมีคุณหนูเรือนเล็กบางคนที่หยิ่งผยองไม่ยอมมาเข้าร่วม ทว่าบนโลกใบนี้ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันขาดแคลนผู้ที่ชอบขายลูกสาวแลกชื่อเสียงเงินทอง แม้ว่าจะดูถูกทางการกระทำ? ดูถูกทางความคิด? แต่นั่นจะเป็นอะไรไป? ในเมื่อผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า เรื่องราวพวกนั้นจะมีผลอะไรได้
“น้องหญิง?” ซูมั่วเยี่ยตะโกนเรียก “เป็นอะไรไป? มีเรื่องอะไรหรือไม่?” ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าน้องสาวของเขาชอบเหม่อลอยบ่อยขึ้นทุกวัน?
“เจ้าคะ?” สติสัมปชัญญะของซูเหลียนอวิ้นถูกดึงกลับมา นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้ากำลังคิดว่าอาจจะไม่ต้องรบกวนท่านแม่ ข้าขอลองคิดดูเองก่อนว่าจะมีผู้ใดเต็มใจมาเข้าร่วมบ้างหรือไม่”
เนื่องจากตอนนี้ชื่อเสียงของนางถือว่ายังใช้ได้อยู่? อย่างน้อยๆ หากเทียบกับชาติที่แล้วแล้วถือว่าดีกว่ามากนัก สำหรับพวกที่กระตือรือร้นอยากจะมาหรือไม่อยากมาน่ะหรือ? พวกเจ้าไม่ต้องมาจึงจะดีที่สุด ในเมื่อตัวเองยังไม่เต็มใจ เหตุใดจะต้องฝืนใจมาเข้าร่วมกันทั้งสองฝ่ายด้วยเล่า
ซูมั่วเยี่ยแปลกใจเล็กน้อยแต่มิได้เอ่ยสิ่งใดต่อจึงได้แต่พยักหน้า “ถึงอย่างไรเวลาตอนนี้ก็ยังเนิ่นอยู่ ไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น น้องหญิงลองกลับไปพิจารณาดูให้ดี เพราะนี่คือพิธีปักปิ่นของเจ้า งานทั้งหมดนี้เจ้าสำคัญที่สุด”
“เจ้าค่ะ หากไม่ได้ข้าจะบอกท่านแม่เอง”
“ดี เช่นนั้นพี่ขอตัวก่อนแล้ว น้องหญิงพักผ่อนให้มากๆ”
“ท่านพี่เดินระวังด้วย”
เมื่อซูมั่วเยี่ยไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงกลับไปนอนอยู่บนฟูกอีกครั้งหนึ่ง สายตาของนางเหม่อมองไปยังเพดาน
รับปากรับคำออกไปแล้ว แต่จะจัดการเรื่องนี้ให้ลุล่วงได้อย่างไร?
สำหรับเพื่อนช่วยงานพิธีในใจของนางได้เลือกไว้คนหนึ่งแล้ว คนผู้นั้นก็คือหลินเหวินเสี่ยว ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าหากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย คนผู้นี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แน่นอนว่าหากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย นางคงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับแล้วคิดหาคนใหม่
ทว่าสำหรับเพื่อนช่วยถือถาดรองนั้น…
“คุณหนู จดหมายของคุณหนูเจ้าค่ะ” เมื่อหลีมู่เห็นนางคุยกับซูมั่วเยี่ยจบแล้วก็เพิ่งจะเดินเข้ามา แล้วยื่นจดหมายให้ซูเหลียนอวิ้น “คล้ายว่าส่งมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่พวกเราเพิ่งเห็นกันวันนี้ ไม่รู้ว่ามีเรื่องด่วนหรือไม่…”
“มีจดหมาย? แถมยังเป็นของข้าด้วยหรือ?” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ทว่านางมิได้มีเพื่อนและมิได้มีเพื่อนสนิทที่ไหน แล้วใครกันเป็นผู้เขียนจดหมายมา? ซูเหลียนอวิ้นคิดไปต่างๆ นานา อย่าได้เป็นของที่น่าสยดสยองเลย!
ซูเหลียนอวิ้นหรี่ตามอง นางยื่นมือทั้งสองข้างออกไปสุดแขนแล้วฉีกจดหมายอย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าด้านมีเพียงกระดาษแผ่นเดียวจึงรู้สึกเบาใจลง
ยังดีๆ ทว่าทำไมช่วงนี้นางถึงได้มีอาการคิดฟุ้งซ่านไปเองเช่นนี้ได้?
ซูเหลียนอวิ้นคลี่จดหมายออกมาแล้วกวาดตาอ่านข้อความในนั้น จนกระทั่งถึงตอนที่นางอ่านจบ นางตกใจจนตัวแข็งทื่อมิอาจขยับได้
“คุณหนู ข้างในเขียนว่าอย่างไรเจ้าคะ?” เดิมทีหลีมู่ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ แต่พอมองเห็นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นที่ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเริ่มเหม่อลอยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายนางจึงเริ่มร้อนใจ “คุณหนูเจ้าคะ! คุณ…บ่าวจะรีบไปตามคุณชายใหญ่กลับมา!” เอ่ยจบก็ยกเท้าเตรียมที่จะวิ่งออกจากห้องไป
“กลับมาก่อน!” ซูเหลียนอวิ้นร้องเรียก “จดหมายนี้ไม่มีปัญหาอะไร เจ้าอย่าคิดเหลวไหล”
เมื่อหลุดจากภวังค์ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้ว่าอาการคิดฟุ้งซ่านของนางเช่นนี้คงจะติดต่อมาจากหลีมู่
“เช่นนั้นเมื่อครู่ทำไม…” หลีมู่วิ่งไปจนถึงปากประตูแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดออกก็ถูกซูเหลียนอวิ้นเรียกกลับมาเสียแล้ว ตอนนี้จึงรีบวิ่งซอยเท้าถี่กลับมาแล้วอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ จดหมายฉบับนั้นว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
เขียนว่าอย่างไร? ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าอ่านจดหมายฉบับนั้นซ้ำอีกสามรอบจนแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดหรือว่าฝันไป จากนั้นจึงถอนใจยาวแล้วเอ่ยว่า “หลีมู่ ข้าอยากกินน้ำแข็งไส”
เนื่องจากซูมั่วเยี่ยโผล่มากะทันหัน จึงทำให้นางกินน้ำแข็งไสที่เหลืออยู่ครึ่งถ้วยเมื่อครู่ไม่หมด ซึ่งตอนนี้คงจะละลายกลายเป็นน้ำทะเลไปแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นเอาช้อนตักเข้าไปในถ้วยแล้วพยายามคนหาจนถึงก้นถ้วย ไม่เหลือน้ำแข็งเลยแม้แต่ก้อนเดียว!
“คุณหนูเจ้าคะ!” สรุปแล้วจดหมายฉบับนี้เขียนว่าอย่างไรบ้าง? เมื่อครู่คุณหนูยังตกใจจนหน้าถอดสีอยู่ชัดๆ ตอนนี้ยังมีกะจิตกะใจกินน้ำแข็งไสอีกหรือ?
“หลีมู่เจ้าไปเติมน้ำแข็งไสให้ข้าสักถ้วยหนึ่งก่อน ตอนกลับมาข้าค่อยบอกเจ้าว่าในจดหมายนี้เขียนไว้ว่าอย่างไร รีบไปๆ!” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับนำจดหมายฉบับนั้นไปเก็บเอาไว้อย่างใส่ใจ โดยนางเอาใส่ไว้ในกล่องเครื่องสำอางของตน เห็นได้ชัดเจนว่านางให้ความสำคัญกับจดหมายฉบับนี้มากขนาดไหน
หลีมู่ไม่รู้ว่าจะกล่าวว่าอย่างไรดีจึงได้แต่แอบวิจารณ์ในใจ เมื่อครู่คุณหนูยังบอกอยู่เลยว่าจะเชื่อฟังคุณชายใหญ่และจะไม่กินอาหารเย็นๆ มากเกินไปนัก! ตอนนี้คุณชายใหญ่เพิ่งจะก้าวออกไปไม่กี่ก้าว คุณหนูก็จะกินให้ได้อีกแล้ว!
ทว่าด้วยความที่หลีมู่อยากรู้เป็นอย่างมากว่าในจดหมายฉบับนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร สุดท้ายแม้ว่าจะเหลืออดอย่างไร แต่กลับยกน้ำแข็งไสมาให้ซูเหลียนอวิ้นจนได้
“นี่เจ้าค่ะ คุณหนู” หลีมู่นำน้ำแข็งไสวางไว้บนโต๊ะชา “ตอนนี้คุณหนูคงบอกได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะว่าจดหมายฉบับนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง?”
นับวันคุณหนูก็ยิ่งร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว! ทั้งๆ ที่รู้ว่านางอยากรู้จะแย่อยู่แล้ว แต่กลับไม่ยอมบอกนางสักที!
ซูเหลียนอวิ้นยกถ้วยขึ้นมาแล้วกินเข้าไปคำหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “เป็นจดหมายที่หนานกงจวิ้นจู่[1]เขียนมาถึงข้า”
“หนาน หนานกงจวิ้นจู่?” หลีมู่ยกมือขึ้นปิดปากแล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “หมายถึงธิดาของเหิงชินอ๋อง หนานกงจวิ้นจู่น่ะหรือเจ้าคะ?”
“แล้วจะเป็นใครอีกเล่า” ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ “ในเมืองนี้มีหนานกงจวิ้นจู่คนที่สองด้วยหรือ?”
“แต่ แต่นางจะเขียนจดหมายมาถึงคุณหนูทำไมกัน…” เสียงของหลีมู่เบาลงเรื่อยๆ
เพราะความจริงคือ ซูเหลียนอวิ้นกับหนานกงมู่เสวี่ยเป็นบุคคลที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย แล้วเหตุใดหนานกงมู่เสวี่ยถึงได้เขียนจดหมายมาหาคุณหนูของนางได้?
“เขียนจดหมายมาแล้วอย่างไร? หนานกงมู่เสวี่ยไม่ใช่บุรุษ หลีมู่เจ้าต้องตกใจขนาดนี้เลยหรือ” ซูเหลียนอวิ้นกลอกตาเมื่อเห็นหลีมู่ทำท่าแปลกประหลาดใจเช่นนั้น “ยิ่งไปกว่านั้นคือการเขียนจดหมายติดต่อกันในวงสตรีเป็นเรื่องที่ปกติมาก”
แต่สำหรับคุณหนูแล้ว…กลับเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่ง
แต่ประโยคนี้หลีมู่กล้าเอ่ยขึ้นเพียงในใจเท่านั้น เพราะหากมีบุรุษเขียนจดหมายมาหาซูเหลียนอวิ้น หลีมู่ก็คงจะไม่ประหลาดใจขนาดนี้หากเทียบกับหนานกงมู่เสวี่ย เพราะแม้ว่าคุณหนูของนางอาจจะทำอะไรไม่เป็น แต่ในด้านรูปโฉมก็นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งหรือสองของเมืองหลวง ดังนั้นหากมีบุรุษเขียนจดหมายมานางก็พอเข้าใจได้
แต่นี่เป็นหนานกงมู่เสวี่ย! สตรีสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเป็นฝ่ายเริ่มเขียนจดหมายมาหาคุณหนูของนางก่อน
เป็นฝ่ายเริ่มก่อน!
คุณหนูของนางคือคมในฝักอย่างแท้จริง…หลีมู่รู้สึกเลื่อมใสยิ่ง
ซูเหลียนอวิ้นกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง โดยไม่ยอมหันไปมองสีหน้าของหลีมู่ เพราะอันที่จริงตอนที่นางเพิ่งจะรู้เรื่อง นางก็ตกใจมากไม่แพ้หลีมู่เช่นกัน ทว่าเมื่อเห็นหลีมู่แสดงท่าทีมากเกินจริงเช่นนั้น…ซูเหลียนอวิ้นจึงเป็นฝ่ายสงบลง
มนุษย์ ไม่สามารถนำมาเปรียบกันได้ เพราะหากเทียบกันเช่นนี้ ความสงบนิ่งหนักแน่นของนางถือว่าสูงเป็นอย่างยิ่ง!
——
[1] หนานกงจวิ้นจู่ ในที่นี้คือหนานกงมู่เสวี่ย คำว่าจวิ้นจู่หมายถึงธิดาขององค์รัชทายาท