ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 87 เลือกกระบี่
“ไปเถิด”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอนุญาต นางจะได้นั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวสักพักหนึ่งด้วยและหค่อยๆ คิดว่าจะตอบจดหมายของหนานกงมู่เสวี่ยอย่างไรดี
เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดอย่างมีสมาธิเช่นนี้ หลีมู่ก็ไม่พูดอะไรมากอยู่อีก นางก้าวเท้าเบาๆ เดินออกไปแล้วปิดประตูอย่างระมัดระวัง เพราะหากทำเสียงดังรบกวนความคิดของคุณหนูเข้าคงไม่ดีแน่
ซูเหลียนอวิ้นใช้ปลายด้ามพู่กันจิ้มไว้ที่คางตัวเองมานานกว่าครึ่งก้านธูปแล้ว ในตอนที่นางรู้สึกว่าตนกำลังจะจิ้มคางตัวเองจนทะลุเป็นรูอยู่นั้น นางก็ได้เริ่มลงมือเขียนตอบจดหมายกลับไป
……
ต้วนเฉินเซวียนใช้วิชาตัวเบาลงจากภูเขามา เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะมุ่งหน้ากลับจวนทันที แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะรู้สึกอยากเดินเล่นขึ้นมา ทว่าระหว่างที่เขาเดินเล่นไปเรื่อยๆ นั้น เขาก็เดินไปจนถึงตลาดแห่งหนึ่ง แถมยังเป็นตลาดที่ขายเฉพาะของจำพวกเครื่องเหล็กเสียด้วย
“เครื่องเหล็กจ้า! เครื่องเหล็กคุณภาพดี!”
“ร้านตีกระบี่อันดับหนึ่ง ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายเชิญทางนี้!”
“อาวุธจะแบบถนัดมือหรือแบบไม่ถนัดมือ ก็ลองแวะมาชมด้านในร้านของเราว่ามีหรือไม่!”
เสียงร้องเรียกตามมาด้วยเสียงดังตึงตังของเสียงค้อนตีเหล็ก เสียงที่เกิดขึ้นในสถานที่นี้ดังก้องอยู่ในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ต้วนเฉินเซวียนเอานิ้วอุดหู เขารู้สึกว่าหูของเขาตอนนี้ใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ตัวได้? ตอนนี้คือฤดูร้อนจัดแถมที่นี่ยังมีทั้งเตาหลอมกระบี่และเสียงเรียกขายของเอะอะ
ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ต่อให้แผลของเขาใกล้จะหายแล้วแต่ก็ไม่สมควรที่จะมาลำบากอยู่ที่นี่อยู่ดี
“คุณชายท่านนี้!” คนผู้หนึ่งเข้ามาจับแขนซ้ายของต้วนเฉินเซวียนเอาไว้พลางเอ่ยขึ้น “คุณชายกำลังหาอาวุธอยู่ใช่หรือไม่? อาวุธของร้านเรามีครบครัน! ต่อให้ตอนนี้ยังไม่มีของ แต่ขอเพียงท่านบอกมาเราก็จะจัดการให้ท่านได้ทันที”
เนื่องจากการแต่งกายของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือว่าป้ายหยก ของทุกอย่างบนตัวเขาเพียงมองก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคุณชายจากตระกูลร่ำรวยหรือเป็นหมูที่วิ่งมาชนบังตอ ลูกค้ารายใหญ่เช่นนี้ จะไม่ให้รีบคว้าไว้ได้อย่างไร?
ต้วนเฉินเซวียนมองมือคู่นั้นที่กวัดเกี่ยวอยู่ที่ชายแขนเสื้อของตนอย่างรังเกียจ คงเป็นเพราะมือคู่นั้นตีเหล็กมาอย่างยาวนาน จึงดำคล้ำอย่างเหลือจะบรรยาย แม้ว่าวันนี้เขาจะสวมชุดดำแต่ว่า…
เมื่อคนผู้นั้นเห็นสายตาเช่นนั้นของต้วนเฉินเซวียนก็เข้าใจความหมายแล้วรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็วพลางยิ้มหวานให้
“ข้าน้อยเห็นท่านจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก คุณชายอย่าได้อารมณ์เสีย ข้าน้อยจะเช็ดออกให้ท่าน” ระหว่างที่พูดก็หยิบผ้าขี้ริ้วที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาผืนหนึ่งแล้วตั้งท่าจะเช็ดเสื้อให้ต้วนเฉินเซวียน
“ไม่ต้อง” ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยขึ้นโดยพยายามข่มอารมณ์ไว้
แม้ว่าผ้าผืนนั้นจะเป็นผ้าขาว แต่กลับมีคราบเหลืองปรากฏอยู่บนนั้น เดาจากรูปการณ์แล้วคงเป็นผ้าที่ใช้เช็ดเหงื่อตอนหลอมกระบี่ของช่างหลอมกระมัง?
เอาของเยี่ยงนี้มา ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าเป็นการดูถูกสายตาเขา ดังนั้นไม่ต้องหวังเลยว่าจะเอามาเช็ดเสื้อผ้าให้เขา
“ได้ๆๆ เช่นนั้นคุณชายค่อยๆ ดูเองไปพลางก่อน ข้าน้อยจะไม่รบกวนท่าน” เมื่อเอ่ยจบ ผู้ที่ปฏิบัติต่อต้วนเฉินเซวียนอย่างกระตือรืนร้นเมื่อครู่ก็หลบเข้าไปในร้านตัวเองอย่างรวดเร็วไม่เห็นแม้แต่เงา
ด้วยเหตุที่ต้วนเฉินเซวียนสวมชุดดำทั้งชุด เมื่อมายืนอยู่ตรงนี้ก็ดูราวกับเป็นปีศาจหน้าดำมากกว่า คนอย่างเขามาซื้ออาวุธที่ร้านของพวกเขา? พอซื้ออาวุธได้แล้วคงไม่ได้จะหาเรื่องบูชายัญอาวุธต่อกระมัง? แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เมื่อเห็นคนผู้นั้นแอบย่องหนีไป ต้วนเฉินเซวียนจึงรู้สึกว่าไม่รู้จะไประบายโทสะใส่ใครได้ จึงทำได้เพียงอดทนไว้ นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้หลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะไปดูของที่ร้านใด ทุกร้านต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีอาวุธที่เหมาะกับเขา
ต้วนเฉินเซวียนเดินครบหนึ่งรอบ แต่กลับหาอาวุธที่เหมาะมือไม่ได้สักชิ้น หากไม่เป็นเพราะทุกร้านต่างปฏิเสธเขาก็อาจจะเป็นเพราะรสนิยมของเขาคงสูงเกินไป ถึงอย่างไรในตอนนี้ก็ยังไม่มีชิ้นได้เลยที่เข้าตาของเขา
……
“คุณลุง กระบี่ที่ด้านหลังของท่านเล่มนั้น ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่” ตอนที่ต้วนเฉินเซวียนตัดสินใจว่ากำลังจะกลับนั้น ร้านที่ตั้งอยู่ตรงมุมที่อยู่นอกเส้นทางร้านหนึ่งกลับมีของเตะตาเขา
“เล่มไหน?” ชายชราผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบห้าว ณ ถนนที่มีเสียงดังอึกทึกเช่นนี้ หากไม่ตั้งใจฟังดีๆ คงจะไม่ได้ยินเสียงของชายผู้นี้อย่างแน่นอน
ต้วนเฉินเซวียนชี้ไปยังด้านหลังของชายชราผู้นั้น “คือเล่มนั้น เล่มที่อยู่ตรงด้านขวามือล่างของท่าน”
“อ้อ อันนี้เองหรือ” ชายชราผู้นั้นเอ่ยขึ้นหลังจากเหลือบไปมองกระบี่เล่มนั้น “กระบี่เล่มนั้นไม่เหมาะกับท่าน หากคุณชายต้องการหากระบี่สักเล่ม ลองไปดูเล่มอื่นก่อนเถิด”
ต้วนเฉินเซวียนหัวร่อ “บังเอิญจริง ข้ามิได้มาเลือกกระบี่ให้ตัวเอง ตัวข้ามีกระบี่คู่กายอยู่แล้ว”
เขาเพียงรู้สึกว่ากระบี่เล่มนั้นดูมีชีวิตก็เท่านั้น บนโลกนี้มีกระบี่มากมาย ทว่ากระบี่ที่ดูมีพลังชีวิตนั้นหายากเสียยิ่งกว่าอะไร ในเมื่อเขาได้พบมันอยู่ตรงนี้แล้ว จะมีเหตุผลอะไรอีกเล่าที่เขาจะไม่ซื้อ? แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลอื่นใด
เมื่อชายชราผู้นั้นได้ยินต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรอีก เขาเพียงนำกระบี่ลงมาวางบนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อคุณชายชอบมัน ก็ลองดูก่อน แต่อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือนท่านนะ เพราะกระบี่เล่มนี้ไม่เหมาะกับท่านอย่างยิ่ง”
ต้วนเฉินเซวียนเอามือลูบไล้บริเวณฝักกระบี่ ฝักกระบี่นี้มีลวดลายงามวิจิตร ทว่าไม่ได้น่ารำคาญตาจนเกินไป เมื่อดูกระบี่ออกมา ลักษณะด้านในก็เป็นเช่นเดียวกัน ด้ามจับงดงามหรูหรา คมกระบี่มีลวดลายสลักไว้
งดงามเหนือธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกันคือความคมของกระบี่ หากมีผู้ใดสนใจแต่ความสวยงามของกระบี่จนลืมมองข้ามความร้ายกาจของตัวกระบี่แล้ว เกรงว่าหากถูกมันปลิดชีวิตเข้า คนผู้นั้นคงยังไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“ท่านพูดถูก” ต้วนเฉินเซวียนปิดฝักกระบี่ “สีสันสดใส ไม่เหมาะกับข้าจริงๆ” ไม่ว่าจะมองอย่างไรกระบี่เล่มนี้ก็ต้องเป็นของสตรีถึงได้ตีออกมางดงามเพียงนี้
หากยอมให้กระบี่เล่มนี้ตกไปเป็นของผู้อื่น คงจะน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง!
“ฮ่าๆ” ชายชราทำท่าราวกับได้ยินเรื่องที่น่าสนใจเข้า ทว่าด้วยร่างกายของเขาจึงทำได้เพียงหัวเราะออกมาสองคำ แล้วตามด้วยเสียงไอดังขึ้นมาอีกระลอก เขาหอบอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายรู้ที่มาของกระบี่เล่มนี้หรือไม่?”
ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้สนใจอะไร ที่มาของอาวุธเช่นนี้น่ะหรือ? สิบเล่มคงมีถึงเก้าเล่ม นี่เป็นอาวุธสังหาร! ด้วยเหตุนี้เจ้าของคนก่อนของมันจึง…ดังนั้นจึงทำให้กระบี่เล่มนี้มาอยู่ที่นี่
ถึงอย่างไรสิ่งของพวกนี้ ต่อให้ไม่มีที่มาแต่ก็สามารถแต่งเรื่องหลอกๆ ขึ้นมาได้สักเรื่องอยู่ดี บางทีอาจมีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้อาวุธขายออกได้ง่ายขึ้น เพราะอย่างน้อยก็ยังสามารถเอาไปพูดโม้ต่อได้?
ชายชราผู้นั้นมิทันรอให้ต้วนเฉินเซวียนเปิดปากก็เอ่ยต่อไปว่า “กระบี่เล่มนี้เป็นขององค์หญิงในราชวงศ์ก่อน กระบี่คู่กายขององค์หญิงจิ้งหว่านในตอนนั้น”
องค์หญิงจิ้งหว่าน? สมองของต้วนเฉินเซวียนค้นหาคนผู้นี้อย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากตัวเขาเองมีความทรงจำเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้น้อยอย่างยิ่ง เขารู้เพียงว่าบนโลกนี้มีคนชื่อนี้ก็เท่านั้น
นั่นยังเป็นเพราะว่าราชวงศ์ก่อนหน้าห่างจากตอนนี้มากว่าร้อยปีแล้ว แค่องค์หญิงของแผ่นดินที่ล่มสลายไปแล้วเท่านั้น จะมีผู้ใดจำได้เล่า
สายตาของชายชราผู้นี้ยิ่งลึกซึ้งห่างไกลออกไป แววตาของเขาราวกับย้อนกลับเข้าสู่ห้วงแห่งความทรงจำบางอย่างไปเสียแล้ว