ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 88 ตำนาน
“พอเอ่ยถึงองค์หญิงจิ้งหว่านแล้ว” ชายชรากระแอมขึ้น แววตาลึกซึ้งห่างไกล “องค์หญิงจิ้งหว่านในตอนนั้นเป็นโฉมงามสะท้านแผ่นดินผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือของราชวงศ์ นางได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ในตอนนั้นเป็นอย่างมาก”
“อยู่มาวันหนึ่ง องค์หญิงจิ้งหว่านเสด็จประพาสนอกวังหลวง แล้วพบเซียนกระบี่ผู้หนึ่งเข้า เซียนกระบี่ผู้นั้นห้าวหาญอาจอง ในช่วงเวลาเพียงเท่านั้น ท่าทางเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าไปเข้าตาองค์หญิงจิ้งหว่านได้อย่างไร องค์หญิงองค์น้อยผู้นี้หลังจากกลับวังหลวงแล้วก็ไปขอร้องฮ่องเต้ในสมัยนั้น ด้วยหวังว่านางจะมีกระบี่เป็นของตัวเองสักเล่ม เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้วนางคงมีโอกาสใกล้ชิดกับเซียนกระบี่ผู้นั้นมากขึ้น”
“ความปรารถนาเพียงเล็กน้อยเท่านี้ฮ่องเต้ย่อมไม่ทรงปฏิเสธ จึงรับสั่งให้ช่างหลอมกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนั้นตีกระบี่เล่มนี้ให้องค์หญิง องค์หญิงองค์น้อยตื่นเต้นยินดีเมื่อได้รับกระบี่ด้ามนี้ จากนั้นจึงออกจากวังหลวงไปอีกรอบหนึ่งเพื่อไปยังสถานที่ที่ไปมาในวันนั้นและนางก็ได้พบคนผู้นั้นอย่างที่หวังไว้ คนผู้นั้นกลับหัวเราะเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า แม้ว่ากระบี่ขององค์หญิงจิ้งหว่านจะดีเพียงใด แต่นางก็ยังใช้กระบี่ไม่เป็น ประทานกระบี่เล่มนี้ให้กับนางก็เป็นการสิ้นเปลืองเปล่า”
“องค์หญิงจิ้งหว่านไม่ยอมแพ้ แล้วบอกว่าจะตามติดเขาจนเขายอมสอนวิชากระบี่ให้นาง เพราะว่าในครั้งแรกที่นางพบเขา ทำให้นางอยากจะได้กระบี่สักเล่ม เมื่อองค์หญิงเอ่ยปากใครกันจะกล้าปฏิเสธ? ทว่าเพียงการไปมาหาสู่ไม่กี่ครั้งนี้ ใจขององค์หญิงก็ค่อยๆ กลายเป็นของคนผู้นั้นไปเสียแล้ว แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงไม่ยอมให้ลูกสาวที่ตนโปรดปรานไปแต่งงานกับชายตัวเปล่าเล่าเปลือยผู้นั้น แต่ก็มิอาจขวางจิตใจที่แข็งเหมือนหินขององค์หญิงจิ้งหว่านที่อยากแต่งงานกับชายผู้นั้นได้ ท้ายที่สุดองค์หญิงจิ้งหว่านก็สมความปรารถนา ทว่า…แม้ว่านางจะได้แต่งงานกับชายผู้นั้นตามความปรารถนา แต่เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้นางต้องจ่ายค่าเล่าเรียนที่แสนสลดใจ”
“เรื่องที่องค์หญิงจิ้งหว่านไม่รู้ในตอนนั้นคือ การพบกันในคราแรกและคำพูดต่างๆ ที่เกิดตามมา ได้ผ่านการไตร่ตรองและความพยายามอย่างมากมาย เพื่อให้องค์หญิงจิ้งหว่านตกหลุมพราง ชายผู้นั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นบุตรอนุภรรยาของอัครมหาเสนาบดีในรัชสมัยนั้น เขาทำทุกอย่างเพื่อแสวงหาช่องทางให้ตนได้เป็นส่วนหนึ่งของพระบรมราชวงศ์และง่ายต่อการล้างแค้นบิดาของตน แต่ด้วยนานวันเริ่มลุ่มหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ ท้ายที่สุดแล้ว ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีก็มิอาจเติมเต็มความต้องการของเขาได้ เขาจึงวางแผนโค่นล้มราชบัลลังก์ในเวลาต่อมา”
“องค์หญิงจิ้งหว่านผิดหวังและโกรธแค้นตัวเองที่มองคนผิดพลาดจนดึงเอาคนในครอบครัวของตัวเองต้องมาเดือดร้อนด้วยเช่นนี้” แววตาของชายชราผู้นั้นกลับคืนสู่ภาวะปกติแล้วเอ่ยต่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “พอถึงตรงนี้ กระบี่เล่มนี้ก็ถึงคราวที่ต้องกลับคืนสู่บ้านเก่าแล้ว องค์หญิงจิ้งหว่านพยายามกลั้นใจเฮือกสุดท้ายของตนเอง และรวบรวมพลังทั้งหมดของตนที่มี นำกระบี่เล่มนั้นไปปลิดชีวิตคนอกตัญญูผู้นั้น แต่ด้วยมิอาจทนต่อความน่าสังเวชใจในตอนนั้นได้ สุดท้ายจึงใช้กระบี่เล่มนี้ปาดคอตัวเองตายตามไปด้วย”
เนื่องจากชายชราเล่าเรื่องราวนี้รวดเดียวจบ ลมหายใจของเขาจึงเริ่มติดๆ ขัดๆ และไออยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อไปว่า “ต่อมาจึงมีเรื่องเล่าขานต่อจากนั้นว่า กระบี่เล่มนั้นมีวิญญาณขององค์หญิงจิ้งหว่านสถิตอยู่”
“วิญญาณขององค์หญิงจิ้งหว่านจะคอยปกป้องผู้ที่เป็นเจ้าของกระบี่มือต่อไปทุกๆ คน หากมีผู้ใดคิดทรยศต่อเจ้าของกระบี่ กระบี่เล่มนี้จะเป็นฝ่ายชิงลงมือตัดคอคนคิดคดผู้นั้น โดยที่เจ้าของกระบี่ยังมิทันจะได้ลงมือทำสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ”
“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายจะยังต้องการกระบี่เล่มนี้อยู่หรือไม่?” ชายชราผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาเยาะเย้ยดูถูก
เมื่อต้วนเฉินเซวียนมองชายชราที่อยู่เบื้องหน้าเล่าเรื่องราวจบแล้วจึงยกมือขึ้นโบกแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงข้องใจ “ทำไมจะไม่เล่า? เป็นเช่นนี้ก็ยิ่งดีใหญ่มิใช่หรือ? ปกป้องผู้ที่เป็นเจ้าของกระบี่ทุกคน? กระบี่ที่ปกป้องเจ้าของกระบี่ได้เช่นนี้ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”
แววตาของชายชราฉายแววประหลาดใจ “คุณชายคงมิได้จะซื้อกระบี่เล่มนี้ให้กับคนในดวงใจกระมัง?”
คนในดวงใจ? ต้วนเฉินเซวียนฟังจบก็ยกมือขึ้นมากุมหน้าผาก ผู้ใดจะมอบของขวัญเป็นกระบี่ให้กับคนในดวงใจกัน? แถมยังเป็นกระบี่สังหารที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้…
“ท่านลุงคิดมากเกินไปแล้ว” สีหน้าของต้วนเฉินเซวียนไร้อารมณ์ใด “แค่มีคนไหว้วานข้ามา เป็นคนที่มีบุญคุณต่อกันก็เท่านั้น ดาบเล่มนี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้า ดังนั้นท่านอย่าได้เข้าใจผิดเลย ดาบเล่มนี้ราคาเท่าไหร่ท่านเสนอราคามาเถิด ข้าเสียเวลาอยู่กับท่านตรงนี้มานานพอสมควรแล้ว”
“ในเมื่อองค์ชายยืนกรานเช่นนี้ ข้าก็จะไม่พูดอะไรให้มากความอีก” ชายชราหันตัวกลับไปแล้วหยิบกระบี่เล่มนั้นส่งให้ต้วนเฉินเซวียน “เดิมทีกระบี่เล่มนี้ก็ไม่มีราคาอะไร ในเมื่อคุณชายถูกชะตากับมัน เรื่องราวของพรหมลิขิตมิอาจตีราคาเป็นเงินตราได้ กระบี่เล่มนี้มอบให้ท่านก็แล้วกัน ข้าหวังเพียงว่าในวันหน้าท่านจะไม่รู้สึกผิดกับการเลือกของท่านในครั้งนี้ แค่กๆ แค่กๆ”
ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้ว เนื่องจากตอนที่เขาอยู่กับหรงซู่ในตอนที่เขากำลังจะจากมานั้น หรงซู่ก็เอาแต่พูดถึงพรหมลิขิตอะไรนี่ พอมาถึงที่นี่ ณ ร้านขายอาวุธเล็กๆ ร้านหนึ่งยังมีคนพูดถึงเรื่องโชคชะตากับเขาอีก?”
หรือว่าเขาจะออกบวชด้วยเลยดีหรือไม่? ในเมื่อมีโชคชะตาเช่นนี้
แต่ในเมื่อได้ของมาฟรีๆ เช่นนี้ใครจะไม่อยากได้เล่า? ได้กระบี่ล้ำค่ามาโดยไม่ต้องเสียเงิน การมาที่นี่ในครั้งนี้ถือว่าไม่เสียเปล่า ตอนนั้นเองที่ต้วนเฉินเซวียนเริ่มรู้สึกว่าเสียงตีดาบและเสียงดังเอะอะที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายนั้นน่าฟังขึ้นเยอะ
“คุณชายเก็บไว้ให้ดี เดินระวังด้วย แค่กๆ…” ชายชราผู้นั้นเอ่ยเบาๆ ในสายตาของเขาปรากฏแววตาบางอย่าง ทว่าเขารีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วเพื่อปกปิดสายตานั้นทันที
ต้วนเฉินเซวียนก้าวเท้าอาดๆ จากไปโดยไม่หันมาสนใจเสียงด้านหลังอีก มือของเขาทั้งซ้ายขวากำลังชั่งน้ำหนักของกระบี่เล่มนั้น น้ำหนักเบาคล่องมืออย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเอาไปมอบให้ผู้ใดก็ไม่ขายหน้าอย่างแน่นอน
ทว่าหากจะนำไปมอบให้ผู้อื่นจริงจะมอบให้ในนามของผู้ใด?
ต้วนเฉินเซวียนตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ในเมื่อเขาเป็นผู้ซื้อกระบี่เล่มนี้ โดยที่เขาต้องเหนื่อยและทนฟังเสียงดังเอะอะเป็นเวลานานขนาดนั้นโดยที่ตัวเขายังบาดเจ็บอยู่เพื่อออกตามหาซื้อกระบี่เล่มหนึ่ง แต่คำแนะนำให้ซื้อของสิ่งนี้เป็นความคิดของหรงซู่? หากไม่มีการแนะนำของหรงซู่ เขาจะไม่มีทางมีกระบี่เล่มนี้
ทว่าเมื่อเขาจินตนาการถึงสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นตอนที่ได้รับกระบี่เล่มนี้ ริมฝีปากของต้วนเฉินเซวียนก็หยักยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มิถูกสิ! ต้วนเฉินเซวียนส่ายหน้าอย่างรุนแรง เขาคงไม่ได้บ้าไปแล้วใช่ไหม? ซูเหลียนอวิ้นจะดีใจหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเสียที่ไหน หากนางเดือดร้อนเมื่อไหร่ เขาถึงค่อยดีใจจึงจะถูก!
เขาเกือบลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่วัดฝ่าฝัวในวันนั้นไปเสียแล้ว! ค่ำคืนที่น่าอับอายนั้น!
มือของต้วนเฉินเซวียนที่กำกระบี่อยู่นั้นยิ่งบีบแน่นมากขึ้น เมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ซูเหลียนอวิ้นแสร้งทำเป็นหวาดกลัวและทำตัวไร้พิษสง ต้วนเฉินเซวียนยิ่งโมโหมากยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นตัวเองยังโง่ติดกับดักของนางอีก!
ต้วนเฉินเซวียนนึกถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ในเมืองหลวงที่มีต่อซูเหลียนอวิ้นขณะนี้
ล่อลวงจิตใจมนุษย์ โฉมสะคราญที่ชวนหลงใหล บางที…นี่อาจจะไม่ได้เป็นเพียงข่าวโคมลอย?
เมื่อนึกถึงซูเหลียนอวิ้นที่ถูกแสงจันทร์ส่องต้องในค่ำคืนนั้น ในใจของเขาพลันบังเกิดความรู้สึกบางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมาโดยยากจะอธิบาย
ต้วนเฉินเซวียนพยายามข่มความคิดแปลกประหลาดนั้นของตนลง จากนั้นจึงก้มหน้าลงมองกระบี่ที่อยู่ในมือ กระบี่ชั้นยอดเช่นนี้ หากเขานำมันมอบให้กับซูเหลียนอวิ้นไปเช่นนี้ เขาคงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนกับตัวเองเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเขามิได้ใจกว้างถึงขนาดจะมอบของให้กับผู้ที่เคยทำร้ายตนเองมาก่อนได้ จิตใจของเขานั้นคับแคบยิ่ง ดังนั้นเขาจึงโยนคำพูดเหล่านั้นของหรงซู่ทิ้งไปและไม่คิดถึงมันอีก