ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 90 โกรธ
“ลูก…” ซูเหลียนอวิ้นกำลังจะเปิดปาก แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยคำพูดใด อันเพ่ยอิงก็เอ่ยแทรกขึ้นเสียก่อน
“อวิ้นเอ๋อร์…”อันเพ่ยอิงเลียริมฝีปากตน “แม่รู้ดีว่าเจ้าต้องไม่พอใจกับผู้ร่วมงานที่แม่เลือกให้ เดี๋ยวแม่ช่วยเจ้าหาวิธีให้อีกทีก็ได้ แม่ขอร้องอวิ้นเอ๋อร์อย่าได้ดื้อดึงเช่นนั้นเลย” เอ่ยจบอันเพ่ยอิงจึงดึงมือของซูเหลียนอวิ้นมาตบบาๆ
หากกล่าวว่าพิธีปักปิ่นเป็นพิธีที่สำคัญที่สุดของเด็กสาวก็ไม่ถือว่าเป็นคำกล่าวเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ย่อมอยากจะมีหน้ามีตาในวันนั้น
หนานกงจวิ้นจู่…หากเชิญนางได้จริง มีหรือที่อันเพ่ยอิงจะไม่อยากเชิญมา? แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณหนูของฮูหยินทุกตระกูลได้แอบนัดแนะกันตั้งแต่งานฉลองวสันตฤดูจบลง ไม่ว่านางจะขอร้องอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดยินดีจะมารับหน้าที่ในงานพิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้นเลย…
คุณหนูภรรยาเอกของเหล่าตระกูลขุนนางยังเป็นเช่นนี้ แล้วธิดาขององค์รัชทายาท…อันเพ่ยอิงคิดว่าอย่าไปเชิญนางให้นางต้องหัวเราะเยาะให้ขายขี้หน้าเปล่าจะดีกว่า
เพราะหลายวันที่ผ่านมานี้ อันเพ่ยอิงต้องเผชิญกับสายตาและการแสดงออกที่เย็นชามากมาย จนทุกบ้านทุกตระกูลในเมืองหลวงต่างเห็นหน้านางกันจนชินตา
ในช่วงเวลาที่ตระกูลแม่ทัพกำลังรุ่งเรืองเช่นนี้ ในเมืองหลวงกลับมีคนพวกหนึ่งที่กล้าดูถูกและสบประมาทพวกเขา? พวกที่ชอบยกตนข่มท่านปลุกปั่นผู้ที่ต่ำต้อยกว่าเช่นนี้เพียงได้ยินข่าวโคมลอยก็กล้าปฏิบัติต่อตระกูลของนางเช่นนี้เชียวหรือ? พวกเขากล้าทำได้อย่างไร!
อันเพ่ยอิงกำมือทั้งสองแล้วกุมมือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อของตนไว้แน่น นางพยายามอย่างยิ่งที่จะสกัดกั้นอารมณ์และความไม่พอใจเอาไว้ภายในใจ อันที่จริงแล้วนางเองใช่ว่าจะไม่เข้าใจเหตุผล เพราะถึงอย่างไรการปักดอกไม้บนผ้าไหมทองนั้นง่าย แต่การมอบฟืนให้กับคนที่หนาวเหน็บนั้นยาก[1]
อวิ้นเอ๋อร์ในตอนนี้มีเรื่องหมางใจกับหยางกุ้ยเหริน สนมที่ได้รับการโปรดปรานมากที่สุดในตอนนี้และถือเป็นการยั่วยุขุนนางใหญ่ในราชสำนักอย่างหยางเกิ่งรั่งด้วย
แต่แล้วอย่างไรเล่า? คนเป็นแม่อย่างนางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลูกสาวของตนทำอะไรผิดไป แล้วเหตุใดต้องมาวิจารณ์และเยาะเย้ยซูเหลียนอวิ้นว่าเป็นคนเลือดร้อนและไม่รู้กาลเทศะด้วย?
หากย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง นางก็ยังคงจะยืนกรานสนับสนุนทุกการกระทำของซูเหลียนอวิ้นอย่างเต็มที่ สิ่งที่อยากให้เปลี่ยนแปลงคือ นางไม่อยากเห็นใบหน้าอันอัปลักษณ์น่าคลื่นไส้ของคนพวกนั้นอีก!
“ท่านแม่เจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นพลางนำมือขวาของตนวางไว้บนมือของอันเพ่ยอิง “ลูกบอกแล้วว่าไม่ต้องกังวล ลูกเขียนจดหมายไปถึงหนานกงจวิ้นจู่แล้ว คำตอบของนางคือรับปากและยินดีที่จะมาช่วยงานพิธีปักปิ่นของลูกเจ้าค่ะ”
สุดท้ายแล้วซูเหลียนอวิ้นก็ไม่ได้เล่าความจริงออกมาทั้งหมด เพราะเรื่องที่หนานกงมู่เสวี่ยเป็นฝ่ายเขียนจดหมายมาหานางก่อนนั้น แม้แต่นางเองเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็อดไมได้ที่จะคิดว่าตนนั้นฝันไป ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเอ่ยเพ่ยอิงและคนอื่นๆ เลย
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีผู้สูงอายุอย่างท่านย่าอยู่ด้วย ผู้สูงอายุมักจะหัวใจไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ดังนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงคิดว่าพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวก็พอแล้ว ถึงอย่างไรผลสุดท้ายหนานกงมู่เสวี่ยก็สามารถมาเข้าร่วมพิธีปักปิ่นของนางได้อยู่ดี
“อวิ้นเอ๋อร์ ลูกพูดจริงหรือ?” อันเพ่ยอิงยื่นมือทั้งสองข้างออกมาแล้ววางลงบนไหล่ของซูเหลียนอวิ้นทอย่างว่องไว
“ฮูหยิน!” หวังฉือหวนทำเสียงตำหนิ “อวิ้นเอ๋อร์ยังไม่ทันพูดจบเลยเจ้าจะรีบตื่นเต้นไปทำไมกัน อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าพูดจริงหรือ?” หวางฉือหวนหันหน้ากลับมา แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะนุ่มนวลแต่มือที่กำลังสั่นเทาอยู่ด้านล่างโต๊ะของนางบ่งบอกถึงอารมณ์ที่แท้จริงของนางที่ตรงกันข้ามกับภายนอกที่ดูสงบนิ่งเป็นปกติ
อันเพ่ยอิงพลันทำตัวไม่ถูกจึงเอามือทั้งสองข้างลงมา ทว่ายังคงส่งสายตาให้ซูเหลียนอวิ้นรีบเล่าต่อโดยเร็วที่สุด
ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย “ลูกมิได้พูดปดนะเจ้าคะ นี่เป็นเรื่องจริง”
“ดีดีดี!” การเอ่ยคำว่าดีสามครั้งเช่นนี้ ถือเป็นการบ่งบอกถึงความตื่นเต้นภายในใจของซูปั๋วชวนได้เป็นอย่างดี จากนั้นเขาจึงตบโต๊ะ “พ่อรู้อยู่แล้ว! อวิ้นเอ๋อร์ของเราที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถเช่นนี้ผู้ใดจะไม่ชอบได้เล่า?”
“แน่นอนว่ามีเพียงจวิ้นจู่อะไรนั่นเท่านั้นถึงจะคู่ควรมาเป็นเพื่อนกับอวิ้นเอ๋อร์ของพวกเรา! ถึงเวลาพวกนางจะได้เห็นสักทีว่า ธิดาของรัชทายาทยังยินดีที่จะมาร่วมงาน แล้วเหตุใดถึงจะต้องไปสนใจคนตระกูลเล็กๆ เหล่านั้นว่าจะนินทาลับหลังเราว่าอย่างไร อยากจะเห็นเวลาที่หน้าของคนพวกนั้นต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ!”
ซูปั๋วชวนตื่นเต้นจนต้องยืนขึ้นเมื่อกล่าวจบแล้ว จากนั้นจึงหยิบแก้วบนโต๊ะของตัวเองขึ้นมาดื่มทีเดียวรวดด้วยท่าทางวางโต ดูจากท่าทางของเขาแล้วคงคิดล่วงหน้าไปถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นเสียแล้ว
“ท่านพ่อ…”
“ท่านพ่อเจ้าคะ!”
ซูเหลียนอวิ้นกับซูมั่วเยี่ยเปิดปากเอ่ยขึ้นพร้อมกัน จากนั้นจึงหันไปมองหน้ากันอีกครั้ง เมื่อเห็นความรู้สึกเหลืออดที่อยู่ในแววตาของอีกฝ่ายก็พลันถอนใจออกมาพร้อมเพียงกันอย่างเข้าใจหัวอกกันเป็นอย่างดี
“ท่านพ่อเจ้าคะ! คำพูดเช่นนั้นต่อไปอย่าได้พูดออกมาอีกเด็ดขาด!” ซูเหลียนอวิ้นรีบเอ่ยปากขึ้น “หากผู้อื่นรู้เข้าว่าคำพูดพวกนั้นออกมาจากตระกูลของพวกเรา ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนะเจ้าคะ!”
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยอมแพ้แล้ว! ตอนนี้นางไม่อยากได้ผู้ช่วยฝีมือเทวดาจากไหนอีก นางขอเพียงอย่าได้มีผู้ใดตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางอีกก็พอ!
“อื้ม” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้าเห็นด้วย “ท่านพ่อ คำพูดเหล่านั้นอย่าได้พูดออกมาอีกเด็ดขาด การที่จวิ้นจู่ยอมมาร่วมงานพิธีปักปิ่นของอวิ้นเอ๋อร์ได้ก็ถือว่าเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของอวิ้นเอ๋อร์แล้ว พวกเราแค่ขอบคุณก็ยังไม่พอ แล้วยังจะอวดดีเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ฮ่าๆๆๆ….” หลังจากที่ถูกทั้งซูมั่วเยี่ยและซูเหลียนอวิ้นสลับกันตักเตือน ตอนนั้นซูปั๋วชวนก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดต่ออีกแล้วกลับลงไปนั่งตัวงอบนเก้าอี้ราวกับเด็กที่กำลังสำนึกผิด
เขาเพียงดีใจมากเกินไปก็เท่านั้นเอง…ถึงได้พูดจาอวดดีไปหน่อย…อวิ้นเอ๋อร์คงไม่ได้โกรธเขาใช่ไหม?
ซูปั๋วชวนเหลือบมองไปทางซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นเพียงหงุดหงิดเล็กน้อยแต่กลับมิได้มีท่าทีโกรธเคือง เขาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง
“อวิ้นเอ๋อร์ พ่อพูดผิดไปแล้ว พ่อเป็นคนห่ามๆ คนหนึ่ง อวิ้นเอ๋อร์อย่าโกรธพ่อเลย”
“ไม่โกรธเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า
เมื่อครู่บิดาของนางคงตื่นเต้นมากเกินไปเท่านั้นถึงได้หลุดวาจาออกมาโดยไม่ทันได้คิดกระมัง? เพราะตัวนางเองบางครั้งก็เป็นเช่นนั้น จะว่าไปคนที่อยู่ตรงหน้าที่นี่ล้วนเป็นคนสนิทที่ไว้ใจได้ทั้งสิ้น ดังนั้นบางครั้งจึงไม่ทันได้ระวังปากของตัวเองไปบ้าง ส่วนเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกจะหลุดพูดเช่นนี้หรือไม่นั้น? อันที่จริงซูเหลียนอวิ้นรู้ดีว่าไม่ต้องกังวลกับประเด็นนี้มากนัก
เพราะหากซูปั๋วชวนเป็นคนที่กล้าพูดเรื่องทุกเรื่องต่อหน้าคนทุกคนแล้ว เกรงว่าตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องประเทศนี้คงจะปกป้องไว้ไม่ได้แล้วกระมัง…
เมื่อครู่นางเพียงร้อนใจถึงได้ข้องใจและตำหนิออกไปแบบนั้น ใจจริงแล้วนางไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาทำร้ายพ่อของนางเลย
“ท่านพ่อ ลูกไม่ได้โกรธท่านจริงๆ นะเจ้าคะ หรือมิเช่นนั้นในงานพิธีปักปิ่นของลูกในวันนั้นท่านพ่อจะมอบของพิเศษอะไรเป็นการชดเชยให้ลูกก็ได้สักชิ้นหนึ่ง? ถึงตอนนั้นลูกต้องไม่โกรธท่านพ่ออย่างแน่นอน และยังจะดีใจมากอีกด้วย” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงแล้วเรื่องนี้นางไม่ได้ต้องการของขวัญอะไรจากซูปั๋วชวนเลย นางเพียงรู้จักโรคนี้ของบิดาตัวเองดี หากนางเอ่ยด้วยปากเพียงอย่างเดียวว่า นางไม่รู้สึกอะไรและไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย
ซูปั๋วชวนต้องไม่เชื่อนางอย่างแน่นอน! และจะยังคงสงสัยรวมทั้งเริ่มเดาเรื่อยเปื่อยขึ้นมาอีก หากนางจามหรือขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อยก็คงคิดว่าเกิดจากเรื่องราวในวันนี้เป็นเหตุและคงคิดว่านางยังโกรธจากเรื่องราวในวันนี้อยู่!
——
[1] การปักดอกไม้บนผ้าไหมทองนั้นง่าย แต่การมอบฟืนให้กับคนที่หนาวเหน็บนั้นยาก หมายความว่าผู้ที่มีทั้งเงินและอำนาจย่อมมีแต่คนอยากช่วยเหลือ แต่คนที่ไม่มีทั้งเงินและอำนาจก็ย่อมไม่มีใครอยากช่วยเหลือ