ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 91 พระธรรม
“ดีเลย อวิ้นเอ๋อร์อยากได้อะไร? บอกพ่อมาสิ พ่อต้องหามาให้เจ้าได้อย่างแน่นอน” เมื่อซูปั๋วชวนได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเช่นนี้จึงมีชีวิตชีวาขึ้น หลังของเขาพลันยืดตรง หน้าตั้งและเงยหน้าถาม
“นี่…” ซูเหลียนอวิ้นชะงักไป เพราะนางเพียงเอ่ยปากไปส่งๆ เท่านั้น หากจะให้นางคิดให้ออกตอนนี้ นางก็จนปัญญาเหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร
นั่นเป็นเพราะว่าหรงซู่ได้บอกนางแล้วว่า ในวันพิธีปักปิ่นวันนั้นนางจะได้รับกระบี่เล่มหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นนางยังจะต้องการอะไรอีกเล่า?
“ถ้าอย่างนั้น ก็…” ซูเหลียนอวิ้นกระอึกกระอัก “ก็ให้ท่านพ่อเป็นคนคิดก็แล้วกันเจ้าค่ะ เรื่องราวน่าตื่นเต้นเช่นนี้หากบอกท่านแล้ว ข้าก็จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เช่นนั้นจะยังเรียกว่าน่าตื่นเต้นได้อย่างไร”
“อ้อ” ซูปั๋วชวนพยักหน้าคล้ายว่าเข้าใจและไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเรื่องนี้ให้พ่อจัดการเองก็ได้ ถึงเวลานั้นอวิ้นเอ๋อร์จะต้องชอบมากแน่ๆ”
“อ่า…เจ้าค่ะ”
สุดท้ายแล้วหัวข้อการสนทนาก็ยุติ จากนั้นหวังฉือหวนจึงลากนางไปถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่วัดฝ่าฝัว โชคดีที่ก่อนหน้านั้นซูเหลียนอวิ้นได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าหวังฉือหวนจะถามคำถามอะไรกับนางนางล้วนตอบได้อย่างไหลลื่น
“ดูท่าแล้วอวิ้นเอ๋อร์ก็ฝักใฝ่ในพระธรรมคำสอนเช่นกัน” หวังฉือหวนยิ้มแล้วลูบผมของซูเหลียนอวิ้นด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“พอสมควรเจ้าค่ะ แต่ไม่เท่าท่านย่า”
ตัวหวังฉือหวนเองตั้งแต่ตอนที่ปู่ของซูเหลียนอวิ้นจากไป นางก็เริ่มสนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนตั้งแต่บัดนั้น
หากจะว่าไปแล้ว บรรยากาศในจวนแม่ทัพใหญ่นี้ไม่ค่อยครื้นเครงเท่าใดนัก
ด้วยเหตุที่ซูปั๋วชวนและซูมั่วเยี่ยมักจะไม่อยู่ที่จวนเป็นเวลาหลายวัน ส่วนอันเพ่ยอิงเองในฐานะฮูหยินก็ต้องจัดการงานต่างๆ ทั้งหมดในจวนแม่ทัพที่มีพื้นที่กว้างขวางเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นเดิมทีก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับหวังฉือหวนนัก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าคนแก่อย่างหวังฉือหวนรู้สึกเงียบเหงาอ้างว้างใจอย่างถึงที่สุด
โชคดีที่หวังฉือหวนได้มีโอกาสศึกษาธรรมะมากมายโดยบังเอิญ สาเหตุอาจเกิดจากอานุภาพแห่งพระธรรมหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะในสมัยยังสาว นางได้ฆ่าคนไปมากมายในสนามรบ
ดังนั้นชีวิตในช่วงบั้นปลายจึงมีเพียงความว่างเปล่าที่จับต้องไม่ได้นี้เท่านั้นที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของหวางฉือหวนให้สงบได้
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อได้ยินว่าซูเหลียนอวิ้นไปวัดฝ่าฝัว หวังฉือหวนจึงรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
“เด็กดี เจ้าเข้าใจมากพอแล้ว” หวางฉือหวนเอ่ยขัดซูเหลียนอวิ้น “เจ้ายังเด็ก เรื่องราวเช่นนี้รอเจ้าเติบใหญ่แล้วค่อยๆ เรียนรู้ก็ไม่สาย ดังนั้นตอนนี้อวิ้นเอ๋อร์ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
คนวัยไหนก็ย่อมเหมาะกับเรื่องราวของวัยนั้นๆ นี่เป็นสิ่งที่หวังฉือหวนยืดถืออยู่ในใจตลอดมา
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังเด็กนัก แม้ว่าใกล้จะต้องเข้าพิธีปักปิ่นเต็มที ทว่าอายุก็ถือว่ายังเป็นเด็กอยู่ดี หวังฉือหวนกลัวว่าซูเหลียนอวิ้นจะโตได้เพียงเท่านี้ก็ซาบซึ้งในรสพระธรรมคำสอนเสียแล้ว
อายุน้อยเพียงเท่านี้ หากเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้งราวกับไม่ใช่เด็กในวัยนี้จะทำอย่างไร!
เรื่องราวพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วจะสอนเกี่ยวกับเรื่องเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา[1]ของมนุษย์ปุถุชน ที่เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ล่องลอยและเลือนหาย ไม่ต้องยึดติด อะไรประมาณนี้เป็นต้น…
แต่ตอนนี้อวิ้นเอ๋อร์ยังไม่ได้แต่งงานแถมยังไม่เคยสัมผัสว่าความรักเป็นอย่างไร ความปรารถนาหน้าตาเป็นแบบไหน หากนางไม่สนใจความรักแล้วล่ะก็ ความผิดในฐานะของคนเป็นย่าอย่างตนก็คงจะใหญ่มิใช่น้อย!
ดังนั้นเมื่อนางได้ฟังซูเหลียนอวิ้นพูดคุยเรื่องราวในพระธรรมคำสอนอย่างเข้าถึงเช่นนี้ ใจของหวังฉือหวนก็อดเต้นแรงไม่ได้
ต้องหยุดตั้งแต่ตอนนี้ บางทีอาจจะยังทัน!
ซูเหลียนอวิ้นเดิมทีที่กำลังท่องอย่างลื่นไหลและจำได้อย่างขึ้นใจอยู่นั้น จู่ๆ เมื่อโดนหวังฉือหวนขัดขึ้นเช่นนี้นางจึงสับสนไปบ้าง
มีประโยคใดที่นางท่องผิดไปหรือ? อันที่จริงนางเองก็เพิ่งเริ่มตั้งใจกับมันและฝึกท่องมาเพียงสองรอบเท่านั้นเอง! จะให้นางจำได้ถึงขั้นไหนกัน?
“ท่านย่าเจ้าคะ…?” ซูเหลียนอวิ้นยังคงข้องใจ
“อวิ้นเอ๋อร์ พระธรรมคำสอนกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มนุษย์ปุถุชนอย่างพวกเราเข้าใจเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว เพราะย่าเองก็ไม่ได้หวังว่าที่เรือนของเราจะมีคนเข้าใจเรื่องพวกนี้ถ่องแท้ ที่ย่าสนใจเรื่องพวกนี้ก็เป็นเพราะเพียงต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองในยามเบื่อหน่ายก็เท่านั้น ดังนั้นนะอวิ้นเอ๋อร์เรื่องราวพวกนี้ เด็กอายุเท่าเจ้า…บางทีอาจจะไม่ต้องไปสนใจมันมากนัก รอให้เจ้าอายุเท่าย่าก่อนแล้วค่อยศึกษาอีกทีก็ไม่สาย…”
“อืม หลานจะจำไว้เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้างกๆ ก่อนที่นางจะกลับนางจึงรู้สึกว่าสิ่งที่นางอุตส่าห์ท่องจำมาพวกนี้นั้นเปล่าประโยชน์หรือ?
“เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว รีบกลับเถิดอวิ้นเอ๋อร์ ยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งมาก ถนนก็จะยิ่งลื่นและยิ่งเดินลำบาก” หวังฉือหวนเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบ
“ท่านย่า หลานขอตัวเลยนะเจ้าคะ”
“กลับไปเถิด ระหว่างทางเดินดีๆ ก็แล้วกัน”
ส่วนซูมั่วเยี่ยเองก็ต้องรีบกลับค่ายทหารแต่หัวเช้าในวันรุ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้รอซูเหลียนอวิ้นและล่วงหน้ากลับไปที่เรือนของตนก่อนนานแล้ว
ในที่สุดซูเหลียนอวิ้นก็เดินกลับถึงเรือนของตนเองโดยมีหลีมู่เดินเป็นเพื่อน ตอนนี้นางรู้สึกมีความสุขมากเพียงนึกถึงตำราสองเล่มนั้นที่หรงซู่มอบให้ตนมา เพราะจนถึงตอนนี้นางยังไม่มีโอกาสได้เปิดดูเลยแม้แต่น้อย นางรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อนึกได้ว่าใกล้จะได้อ่านมันเต็มทีที่เรือนของตนแล้ว
“หลีมู่เจ้ากลับไปที่ห้องของเจ้าเถิด ประดี๋ยวข้าเป็นคนเป่าเทียนให้ดับเองก็ได้ เจ้าไม่ต้องห่วง” เมื่อซูเหลียนอวิ้นอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็โบกมือเป็นการบอกให้หลีมู่กลับไปได้แล้ว
เพราะหากมีหลีมู่อยู่ด้วย แผนที่นางตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือตลอดทั้งคืนนี้คงต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน
ครั้งนี้หลีมู่กลับไม่ได้พูดขัดอะไร นางเพียงพยักหน้าตอบรับและพูดกำชับซูเหลียนอวิ้นเพียงหนึ่งประโยค “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวเห็นว่าสิวบนหน้าผากของคุณหนูยังไม่หายดี ดังนั้นคุณหนูพักผ่อนเร็วหน่อยจะดีกว่า มิเช่นนั้นเกรงว่าพรุ่งนี้อาการน่าจะยิ่งหนักขึ้น” พอเอ่ยจบก็ถอยออกไปแล้วปิดประตู
ซูเหลียนอวิ้นจ้องไปที่ประตูที่ถูกปิดลงเงียบๆ ใจใจของนางพลันปรากฏคำพูดหลายคำขึ้นมา
หลีมู่เจ้าร้ายกาจเกินไปแล้ว!
ประโยคนี้เอาชนะคำพูดเป็นร้อยเป็นพันคำได้อย่างขาดลอย! ได้ผลมากกว่าคำพูดเป็นร้อยๆ ประโยคที่หลีมู่ใช้ตักเตือนนางเสียอีก!
ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นลูบหน้าผากของตัวเองแล้วคลำเจอตำแหน่งที่เป็นสิวอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกเจ็บปวดถาโถมขึ้นในใจของนาง
จะอ่านหนังสือข้ามคืน? หรือว่าจะรักษาใบหน้าตัวเองด้วยการเข้านอนเสียเดี๋ยวนี้เลยดี?
ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางจึงตัดสินใจเลือกทางสายกลาง
นางจะอ่านหนังสือก่อน…พออ่านได้พักหนึ่งนางก็จะรีบเข้านอนทันที! นางจะดูเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น! ซูเหลียนอวิ้นเอามือสัมผัสไปบริเวณที่เปิดซองอย่างทะนุถนอม สุดท้ายจึงตัดสินใจหยิบตำราออกมาอ่าน
ระหว่างที่ซูเหลียนอวิ้นอ่านตำราอยู่นั้น นางไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดว่าอย่างไรดี…เพราะอย่างนางถือได้ว่าเพิ่งจะเริ่มหาแนวทางของตัวเองเจอ แต่กลับให้นางต้องมาเรียนสิ่งที่อันตรายขนาดนี้
ท่านอาจารย์ช่างดีกับข้าเสียจริง
แม้ว่านางจะคิดในใจเช่นนี้ ทว่าการแสดงออกของซูเหลียนอวิ้นนั้นมีความชัดเจนว่าสนใจในตำราสองเล่มนี้เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อนางจินตนาการถึงตัวเองที่เรียนจนสำเร็จแล้วมีท่าทางกวัดแกว่งกระบี่อย่างองอาจสง่างามเช่นนั้น แล้วจะไม่ให้นางตื่นเต้นไหวได้อย่างไร!
——
[1] เจ็ดอารมณ์ หมายถึง อารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์คือ ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด ส่วน หกปรารถนา หมายถึง ความปรารถนาสัมผัสหกประการ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกายและทางใจ