ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 92 โตเป็นสาว
ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นตื่นขึ้นมานั้นก็พบว่ามือของตัวเองยังคงอยู่ในท่าถือตำราอยู่ ทว่าตำราที่ควรอยู่ในมือกลับไม่มีแล้ว
“หลีมู่…?” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นนั่งอย่างสับสนแล้วร้องเรียก เพราะคนที่สามารถเข้ามาในห้องของนางได้นั้นคงมีเพียงหลีมู่แค่คนเดียว
“คุณหนูตื่นแล้วหรือ ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวกันเถอะเจ้าค่ะ” หลีมู่วางเสื้อผ้าในมือของตนลงแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปหา
“หลีมู่ ตำราของข้าล่ะ?” เมื่อวานอุตส่าห์ตั้งใจเอาไว้ว่าจะอ่านเพียงประเดี๋ยวเดียวและก็จะรีบเข้านอน แต่คิดไม่ถึงว่านางจะลืมเวลาจนลืมเอาตำราไปซ่อนแล้วก็ถืออยู่เช่นนั้นจนหลับไป…
“บ่าวนำมันวางไว้บนโต๊ะน้ำชาตรงนั้นเจ้าค่ะ” หลีมู่ชี้มือไปพลาง “บ่าวมิได้เปิดดูเนื้อหาข้างในเลยนะเจ้าคะ”
“อ้อ…ไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นเกาศีรษะ อันที่จริงดูก็ไม่เป็นไร แต่แน่นอนว่าไม่ดูย่อมดีที่สุด!
เพราะกระบวนท่าต่างๆ ที่บันทึกอยู่ในหนังสือเล่มนั้น…ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าหลีมู่ไม่ได้เห็นจะเหมาะสมกว่า มิเช่นนั้นตอนนั้นนางคงต้องใช้เวลาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่อธิบายว่านั่นไม่เป็นอันตรายอะไร…หรือบางทีอาจจะไม่อันตราย
“ดีจริง” ซูเหลียนอวิ้นอุทานออกมา พองานฉลองวสันตฤดูสิ้นสุดลง ก็เป็นช่วงเวลาที่กั๋วจื่อเจียน[1]ปิดพอดี จนกระทั่งสิ้นสุดฤดูร้อนถึงจะเริ่มเปิดใหม่ ด้วยเหตุนี้เวลาที่อยากจะตื่นเมื่อไหร่ก็ตื่นเมื่อนั้นหรือช่วงเวลาที่อยากจะทำอะไรก็ทำเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สบายมากเลยทีเดียว
“คุณหนูเจ้าคะ…” หลีมู่เอ่ยปากด้วยท่าทางลังเล
“หือ?” ในปากของซูเหลียนอวิ้นยังคงอมเกลือที่ใช้บ้วนปากอยู่ ในตอนนั้นจึงยังไม่ได้บ้วนน้ำออกมา ดังนั้นตอนนี้จึงเพียงเค้นเสียงออกมาคำหนึ่งเท่านั้น สายตาของนางส่งไปทางหลีมู่เป็นนัยว่านางมีเรื่องอะไรอยากจะพูดกันแน่
“คือว่า…” หลีมู่เริ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะคำพูดที่นางจะเอ่ยต่อจากนี้ต้องเป็นคำพูดที่คุณหนูไม่อยากฟังอย่างแน่นอน แต่นางจำเป็นต้องพูด! เพราะไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสุขตลอดชีวิตของคุณหนู!
ซูเหลียนอวิ้น “?”
เช้าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่? ดูจากท่าทางของหลีมู่แล้วจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่!
“คุณหนูคือว่าอย่างนี้ ต่อไปเวลาที่คุณหนูจะนอน ห้ามนั่งพิงแล้วหลับไป มันไม่ดีกับ…ตรงนั้น ว่ากันว่าหากนอนหลับแบบนั้นเป็นประจำ ตรงนั้นจะยิ่งถูกกดให้แบนมากขึ้น” หลีมู่ใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะเอ่ยปากเรื่องนี้ออกมา แต่เพราะเห็นตรงนั้นของคุณหนูแบนราบ นางจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องกล่าวเตือนสักหน่อย!
เมื่อพูดจบนางก็รีบก้มหน้าลงแล้วเหม่อมองไปยังปลายเท้าของตัวเองโดยไม่ยอมพูดอะไรอีก
“พู่! แค่กๆ แค่กๆ อะไรนะ?” เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นกำลังขบคิดอยู่ว่าหลีมู่จะเอ่ยเรื่องอะไรถึงกล้าๆ กลัวๆ เช่นนี้ จนลืมบ้วนน้ำเกลือที่อยู่ในปากออก ตอนนี้จึงใช้โอกาสนี้บ้วนน้ำเกลือออกมาเลยทีเดียว ไม่ใช่สิ เป็นการพ่นออกมาต่างหาก
“แค่กๆ หลีมู่ เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ?” ซูเหลียนอวิ้นหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากของตัวเอง จากนั้นจึงถามขึ้นอีกรอบ
เนื่องจากคำพูดเมื่อครู่ที่หลีมู่เอ่ยนั้นออกจะน่าตกใจไปหน่อย! ซูเหลียนอวิ้นจึงต้องการการยืนยันอีกที ยืนยันว่านั่นใช่คำพูดของหลีมู่จริงๆ หรือ!
เมื่อหลีมู่ได้ยินคำถามดังนั้นหน้าพลันแดงก่ำจากนั้นจึงรีบส่ายศีรษะ ดูท่าแล้วไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่กล้าเอ่ยปากออกมาอีกแล้ว เพราะนางเข้าใจว่าคำพูดเมื่อครู่ของตนทำให้คุณหนูโกรธตนอย่างแน่นอน!
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวยังมีงานอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำรออยู่ด้านนอก คุณหนูอาบน้ำก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวบ่าวจะเข้ามาจัดการต่อเอง บ่าวขอตัวก่อน!” เมื่อหลีมู่เอ่ยจบก็รีบทำความเคารพ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องนี้ไปอย่างรวดเร็ว
หลีมู่เมื่อเดินออกมาด้านนอกแล้วก็ตบหน้าตัวเองเบาๆ มือของนางพลันรู้สึกร้อนขึ้นมา…นางไม่รู้ว่าตนเป็นไข้หวัดแล้วหรือไม่…มิเช่นนั้นทำไมนางจึงรู้สึกตัวร้อนๆ เช่นนี้?
“เฮ้อ! เมื่อครู่ข้าพูดไร้สาระอะไรออกไปกัน!” หลีมู่กระทืบเท้า คำพูดเมื่อครู่ของนางทำไมถึงพูดออกไปโดยไม่ใช้หัวคิดเช่นนั้น? หากนางจะขอย้อนกลับไปเก็บคำพูดเหล่านั้นจะยังทันหรือไม่…
ตอนนี้หลีมู่ไม่กล้ารั้งอยู่หน้าประตูต่อไปอีกแม้เพียงเสี้ยวนาที เพราะแม้จะมีกำแพงกั้นอยู่นางก็ยังรู้สึกวางตัวไม่ถูกอยู่ดี จากนั้นจึงวิ่งอย่างรวดเร็วออกไปทันที
ภายในห้อง ซูเหลียนอวิ้นใช้มือคลำไปที่หน้าอกด้านซ้ายของตนด้วยแววตาที่ซับซ้อน
นางรู้สึกว่านางเริ่มเจ็บที่หัวใจอีกแล้ว นางจะทำอย่างไรดี? แถมยังเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงมากเสียด้วย! ยิ่งสัมผัสไปใกล้บริเวณหัวใจมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นเท่านั้น
ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ด้านหน้ากระจกแล้วจ้องมองตัวเองโดยละเอียด
อืม…นางอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้กระมัง? ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าสิ่งที่หลีมู่พูดเป็นความจริง เพราะดูเหมือนว่าที่ตรงนั้นจะเล็กลงจริงๆ!
ซูเหลียนอวิ้นสูดหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าไป เพราะยิ่งนางมองมันนางก็ยิ่งผิดหวัง นางคิดว่านางจะใช้โอกาสช่วงนี้ที่ไม่ต้องไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียนทำอะไรสักอย่าง จะปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆ แบบนี้ไม่ได้แล้ว!
เพราะจะอย่างไรก็ใกล้ถึงวันงานพิธีปักปิ่นของนางแล้ว นางใกล้จะกลายเป็นสาวเต็มทีแล้ว และอีกไม่นานก็จะถึงวัยที่ต้องแต่งงานออกเรือน! ทำไมถึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย?
ทว่าเคล็ดลับการทำให้ตรงนั้นใหญ่ขึ้น…นางเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่นัก ต่อให้เป็นนางในชาติที่แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
ทว่าวิธีที่นางรู้ก็เป็นเพียงวิธีแบบบ้านๆ เท่านั้น กินมะละกอเยอะๆ ก็อาจจะพอได้ผล…
ทว่าสำหรับวิธีนี้ ทำไมเมื่อชาติที่แล้วซูเหลียนอวิ้นถึงไม่ใช้ทำต่อเนื่องเล่า? จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่า วิธีนี้สิ้นเปลืองเงินเป็นอย่างมาก!
ผลไม้อย่างมะละกอนั้น ในเมืองหลวงถือว่าพบเห็นได้น้อยมาก เพราะแหล่งปลูกไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกทั้งตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน และต้องขนส่งมาจากดินแดงไกลโพ้น ด้วยเหตุนี้เกรงว่าระหว่างจะเน่าเสียไปกว่าครึ่ง
ผลไม้นี้ถือว่าเป็นผลไม้ธรรมดาที่หาได้ทั่วไปในแทบภาคใต้ แต่เมื่อมาถึงที่นี่กลับกลายเป็นของมีค่าราคาแพงขึ้นมา
ทว่าหากไม่สละเด็กก็คงมิอาจคว้าหมาป่ามาครอง[2]ได้!
ซูเหลียนอวิ้นกัดฟัน แพงก็แพง! ถึงอย่างไรตอนนี้นางเองก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง อีกไม่กี่วันซูมั่วเยี่ยก็จะได้รับเงินเดือนแล้วมิใช่หรือ? ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องให้เงินนางไม่น้อยอย่างแน่นอน ตอนนี้จึงสามารถใช้เงินก้อนนั้นไปก่อนได้
แม้ว่าเมื่อนึกถึงตอนที่ต้องจ่ายเงินมากขนาดนั้นจะรู้สึกเสียดายขึ้นมา แต่ว่าเมื่อมาคิดทบทวนดูแล้วเงินที่เก็บเอาไว้ก็เป็นเพียงแค่เงินเก็บ มันคงไม่สามารถงอกออกมาเพิ่มเองได้ ดังนั้นมิสู้ใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าไม่ดีกว่าหรือ
อีกทั้งเมื่อนึกถึงการแสดงท่าทางกระอักกระอ่วน กล้าๆ กลัวๆ เช่นนั้นของหลีมู่ ซูเหลียนอวิ้นก็รู้สึกอับอายขึ้นมา
หน้าอกของนางแย่ถึงขั้นนั้นแล้วหรือ? หลีมู่ถึงได้เป็นกังวลแทนนางแล้ว! เวรกรรมจริงๆ …
ทว่าพอผ่านไปครู่ใหญ่ ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เงินก้อนนี้ คุ้มค่าที่จะใช้!
เพราะว่านางนึกถึงต้วนเฉินเซวียนขึ้นมา
ชาติที่แล้วแม้ว่าต้วนเฉินเซวียนจะไม่เคยหัวเราะหรือล้อเรียนตรงนั้นของนางออกมาโดยตรง แต่บางครั้งเมื่อเขาแอบเหลือบมอง แววตลกขบขันและเยาะเย้ยในแววตาของเขาก็มิอาจปิดบังเอาไว้ได้!
ซูเหลียนอวิ้นกำหมัดน้อยๆ ของตน แต่จากนั้นก็คลายมือออกทันที แล้วคลำไปที่หน้าอกของตัวเอง
ไม่ว่าจะอย่างไร ในวันงานพิธีปักปิ่นก็คงจะมีแขกมาร่วมงานไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ยินดีมาช่วยดำเนินพิธีการ แต่ซูเหลียนอวิ้นเชื่อว่า คนที่จะมาเข้าร่วมเพียงอย่างเดียวนั้นจะต้องยอมมากันไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นถึงตอนนั้นนางจะต้องพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น
นางจะต้องโตเป็นสาวได้อย่างแน่นอน!
——
[1] กั๋วจื่อเจียน คือสถานศึกษาสูงที่สุดในสมัยนั้น
[2] ไม่สละเด็กมิอาจคว้าหมาป่ามาครอง หมายความว่า อยากได้สิ่งได้ก็ต้องยอมแลกเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา