ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 94 ถอนหญ้า
เอ๊ะ? มิใช่สิ นางคล้ายลืมคนผู้หนึ่งไป…
“หลานเย่ว์!” ซูเหลียนอวิ้นรีบยัดเท้าเข้าไปในรองเท้า แล้วเปลี่ยนเป็นชุดที่สวมใส่คล่องตัว จากนั้นจึงตะโกนเรียกจากด้านในเรือน
“คุณหนูใหญ่? คุณหนูตามหาข้าด้วยเรื่องใดหรือขอรับ?” เมื่อสิ้นเสียงไปเพียงครู่เดียว หลานเย่ว์ก็ปรากฏตัวออกมา
เมื่อครู่เขากำลังถอนหญ้าให้คุณหนูอยู่…
เนื่องจากพออยู่ที่เรือนของซูเหลียนอวิ้นไปนานๆ เข้า จะพบว่าทุกอย่างเป็นจริงตามที่เนี่ยนเอ๋อร์เคยบอกไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน! ที่ว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่ไปทุกวันจะไม่เหลืองานใดให้พวกตนทำเลย
แต่จะให้รับเงินโดยไม่ทำงานหรือ? ในใจของหลานเย่ว์รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ซูเหลียนอวิ้นยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย แม้ว่านางจะไม่ได้ตำหนิเขา แต่ยิ่งไม่ตำหนิเขา หลานเย่ว์ก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นเท่านั้น
เจ้านายได้รับบาดเจ็บ นั่นก็เป็นเพราะว่าองครักษ์ปกป้องดูแลไม่ดี ระหว่างที่ตำหนิตัวเองอยู่ต่างๆ นานานั้น หลานเย่ว์ก็เริ่มถอนหญ้าไปด้วยพลางๆ
หญิงสาวทุกคนล้วนมีผิวพรรณขาวละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะมาโก้งโค้งถอนหรือตัดหญ้าอยู่ใต้แสงแดดร้อนๆ เช่นนี้ทุกวันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทว่าชายฉกรรจ์อย่างเขานั้นมิกลัวแดด โดนแดดจนผิวเข้มขึ้นหน่อยเขาว่าก็ดูไม่เลว มิเช่นนั้นหากมัวแต่ห่วงความขาวความสะอาดอยู่ก็คงดูเหมือนเป็นไก่อ่อน แล้วเช่นนั้นจะมีรูปลักษณ์น่าเกรงขามไว้ปกป้องคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร?
ดังนั้นในช่วงนี้งานถอนหญ้าจึงกลายเป็นหน้าที่ของหลานเย่ว์แต่เพียงผู้เดียว
“หลานเย่ว์ หลานเย่ว์” ซูเหลียนอวิ้นดึงตัวเขาที่กำลังนั่งยองๆ อยู่กับพื้นขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ามานั่งยองๆ อยู่ตรงนี้ทำไม? อย่ามัวแต่นั่งยองๆ อยู่เลย มา เราสองคนมาประลองกันสักตั้งจะดีกว่า”
“เอาอีกแล้วหรือขอรับ คุณหนูใหญ่?” หลานเย่ว์ขมวดคิ้ว เช่นนั้นให้เขาถอนหญ้าต่อดังเดิมยังจะดีกว่าให้เขาไปประลองเสียอีก
เนื่องจากในการประลอง เขาต้องครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะต่อสู้อย่างไรโดยไม่ทำให้ซูเหลียนอวิ้นได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังต้องพิจารณาถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย
แม้ว่าฝีมือของซูเหลียนอวิ้นจะไม่ได้แย่อะไร อย่างน้อยๆ เมื่อเทียบกับคุณหนูคนอื่นๆ ในเมืองหลวงก็ถือว่าดีกว่ามากหลายเท่าตัวแล้ว แต่จะอย่างไรก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้กับคนที่ฝึกวรยุทธ์มาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบปีอย่างเขา
หากจะชนะก็มิอาจชนะขาดได้ หรือถ้าจะแพ้ก็มิอาจยอมแพ้อย่างชัดเจนได้?
นี่ถือว่าเป็นบททดสอบชีวิตของเขาอย่างหนึ่งเช่นกัน…
“มิต้องกลัว” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปและก้าวเท้ามาข้างหน้า จากนั้นตบไปที่ไหล่ของหลานเย่ว์ “ครั้งนี้พวกเราใช้กิ่งไม้ฝึกแทนก็ได้ มิต้องใช้กระบี่ เช่นนี้เจ้าคงเบาใจขึ้นบ้างแล้วกระมัง?
หลานเย่ว์ร่างสูงยิ่งนัก…ซูเหลียนอวิ้นแอบบ่นในใจ ทำไมเมื่อก่อนนางถึงมิเคยสังเกตมาก่อนว่าเขาเป็นคนสูงขนาดนี้?
แต่เนื่องจากเมื่อครู่นางยื่นแขนออกไปแล้ว จะอย่างไรก็ต้องตบบ่าเขาสักหน่อยใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นซูเหลียนอวิ้นจะรู้สึกว่ามันน่าอึดอัดมากกว่าหากยื่นมือออกไปโดยไม่ทำอะไร
หลานเย่ว์หลับตาลงอย่างเหลืออดเพื่อรับรู้ถึงน้ำหนักมือที่ตบมาบนไหล่ของเขาอย่างไม่หนักไม่เบา จากนั้นเขาจึงยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง
อืม เขาเริ่มรู้สึกว่าเงินที่เขาได้รับมาในแต่ละเดือนมิได้เป็นเงินที่เขาได้รับมาโดยไม่เสียแรงแล้ว
องครักษ์ประจำตัวที่เป็นคนสวนถอนหญ้าด้วย ทั้งยังเป็นคู่ซ้อมวิชาต่อสู้อีก? หลานเย่ว์คิดว่าหรือเขาควรจะไปบอกซูมั่วเยี่ยเพิ่มเงินให้เขามากขึ้นสักหน่อยดี? เพราะเงินหนึ่งก้อนกับงานสามอย่าง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่คุ่มค่า
ซูเหลียนอวิ้นมิได้เอ่ยอะไรอีก นางหันหลังกลับไปแล้วเขย่งเท้าเพื่อหักกิ่งไม้จากต้นสาลี่ออกมาสองก้านแล้วยื่นให้หลานเย่ว์พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “มาเถิด พวกเรามาประลองกันอีกสักตั้ง”
หลานเย่ว์รับมาแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นครั้งนี้คุณหนูจะยังเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่หรือไม่?”
“ไม่ๆๆ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “ครั้งนี้พวกเราจะสลับกัน ข้าเป็นคนโจมตี ส่วนหลานเย่ว์ เจ้าเป็นฝ่ายตั้งรับ มาลองดูกันว่าข้าจะทลายการป้องกันของเจ้าได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ” คุณหนูว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้นเถิด
“งั้นข้าเริ่มแล้วนะ!” ซูเหลียนอวิ้นสงบจิตใจ ในหัวของนางมีภาพกระบวนท่าต่างๆ ที่อยู่ในตำราปรากฏขึ้น นางเบิกตากว้างจากนั้นกิ่งไม้ที่อยู่ในมือของนางก็พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
จิตใต้สำนึกของหลานเย่ว์บอกให้เขายกมือขึ้นมาขวางไว้ ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของซูเหลียนอวิ้น
คุณหนูนาง…การโจมตีครั้งนี้ไม่เหมือนอย่างในครั้งก่อนหน้าเสียแล้ว!
ด้วยครั้งนี้ใช้กิ่งไม้เป็นอุปกรณ์ ดังนั้นจึงไม่มีทางปรากฏรอยแผลหรือรอยขีดข่วนให้เห็นได้แน่ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการออกท่าทางของซูเหลียนอวิ้นในครั้งนี้ใช้พลังสุดแรงที่มีของนางอย่างเต็มที่ นางออกแรงดุดันกว่าการประลองกับหรงซู่ในครั้งก่อนมากนัก
หลานเย่ว์ตั้งรับพลางถอยหลังไปหลายก้าว ทว่าสุดท้ายแล้วเท้าของเขาก็ไปเตะเข้ากับกำแพงด้านหลัง
ถอยจนมิอาจถอยได้อีกต่อไปแล้ว
“คุณหนู…” หลานเย่ว์เอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด “วันนี้เอาไว้เท่านี้เถิดขอรับ คุณหนูชนะแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นพลันหยุดการโจมตีลงแล้วทำปากจู๋ “หลานเย่ว์นับวันเจ้าก็ยิ่งฝืนใจทำ…” ฝืนใจทำเสียยิ่งกว่าการต่อสู้ครั้งที่แล้วเสียอีก!
“ฮ่าๆ คุณหนูล้อเล่นแล้ว” หลานเย่ว์หัวเราะเกร็งๆ
“ช่างเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นกรอกตาแล้วโยนกิ่งไม้ในมือทิ้ง “ข้าระดับไหนข้าก็พอรู้ตัวดี เจ้าไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก รอให้ข้าฝึกจนคล่องก่อนเถิด ข้าจะกลับมาประลองกับเจ้าอีก ถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่ายอมแพ้ง่ายๆ อีกก็แล้วกัน!”
นางปรารถนาชัยชนะ และเกลียดความพ่ายแพ้เป็นที่สุด! ทว่าชัยชนะที่นางต้องการจะต้องไม่ใช่ชัยชนะที่ผู้อื่นยอมอ่อนข้อให้นางเช่นนั้น หากนางชนะเช่นนั้นแล้วสู้นางยอมแพ้อย่างมีเกียรติจะดีกว่า!
หลานเย่ว์ไม่ได้ยินสิ่งใดที่ซูเหลียนอวิ้นพูดอีก สิ่งที่เขาได้ยินเพียงอย่างเดียวคือ วันหน้านางจะกลับมาประลองกับตนอีก!
พระเจ้า! ใครพอจะบอกเขาได้บ้างว่าเขาควรจะทำเช่นไร? ชนะก็ไม่ได้ แพ้ก็ไม่ได้?
ความคิดของคุณหนูใหญ่ยากจะคาดเดาเสียจริงๆ…
……
ณ พระราชวังลิ่งอัน
“พระสนมเพคะ นายท่านได้ยินข่าวว่าช่วงนี้พระสนมไม่สบาย ดังนั้นจึงส่งคนมาเยี่ยม พระสนมลุกขึ้นมานั่งสักครู่เถิดเพคะ” หลิงเซียงประคองหยางอวี้หลิงที่ยังอ่อนแอจากอาการป่วยและนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลาให้ลุกขึ้น จากนั้นจึงวางหมอนอิงไว้ขด้านหลังของนางอย่างใส่ใจ
“คนของท่านพ่อ?” หยางอวี้หลิเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังออกได้ไม่ยากนัก น้ำเสียงของนางเย่อหยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ตอนนี้นางรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่ปกคลุมเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
“หม่อมฉันคารวะหยางกุ้ยเหริน ขอให้หยางกุ้ยเหรินมีแต่ความสุข”
“ลุกขึ้นเถิด” หยางอวี้หลิงเหลือบตาไปมองสตรีผู้นั้นที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ “วันนี้ท่านพ่อส่งเจ้ามาหาข้าที่เรือนมีเรื่องอะไรหรือ?
สตรีผู้นั้นยืดตัวขึ้นแล้วก้มหน้ากล่าวตอบว่า “หม่อมฉันได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มามอบของบำรุงร่างกายให้พระสนม นายท่านยังถือโอกาสนี้ให้หม่อมฉันสอบถามพระสนมว่าอยู่ที่วังหลวงพระสนมยังต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่? หากมีก็บอกแก่หม่อมฉันได้เพคะ หม่อมฉันจะกลับไปรายงานให้นายท่านทราบ”
หยางอวี้หลิงหลุบตาต่ำอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกมือขึ้นอย่างเหนื่อยล้า “กลับไปรายงานท่านพ่อเถิดว่าช่วงนี้ข้ายังมิได้ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ร่างกายของข้าเป็นแบบนี้เพียงเพราะไม่อยากอาหารเท่านั้น ท่านพ่อวางใจได้มิต้องเป็นห่วงข้า”
“เพคะ” สตรีผู้อยู่ด้านล่างเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนสายบัว “แต่ก่อนที่หม่อมฉันจะมานายท่านยังกำชับหม่อมชั้นไว้อีกเรื่องหนึ่ง ตระกูลของหม่อมฉันมีบรรพบุรุษเป็นหมอ หากพระสนมรู้สึกไม่ค่อยสบายจะให้หม่อมฉัน…”
“ฮ่องเต้เสด็จ!” ที่ด้านนอกตำหนัก เสียงเล็กแหลมของขันทีตะโกนรายงานขึ้น
“ฮ่องเต้?” หยางอวี้หลิงแหงนหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อตัวเอง แววตาของนางพลันปรากฏประกายระยิบระยับราวกับได้เปลี่ยนร่างเป็นตุ๊กตาที่มีพลังสูบฉีดเต็มที่และมีชีวิตชีวาขึ้นทันที
“ฮ่องเต้มาถึงแล้วหรือ?” ยังไม่ทันจะใส่รองเท้า หยางอวี้หลิงก็ถลาวิ่งออกไป “ฝ่าบาทมาเยี่ยมหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?”
ลี่หยวนตี้เลิกม่านแล้วเดินเข้ามาด้านใน เขาจึงพบกับภาพหยางอวี้หลิงที่ปล่อยผมสยายแล้ววิ่งตรงมาที่ตนโดยยังไม่ทันได้สวมรองเท้า