ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 99 ศิษย์พี่ศิษย์น้อง
“ฮ่าๆๆ…” ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้จะพูดอะไรดี ที่นี่คือบ้านของนางและมิผิดนี่คือห้องของนาง! แต่นางมากะทันหันมากเกินไปจนเก็บกวาดข้าวของไม่ทัน ก่อนหน้านั้นซูเหลียนอวิ้นรู้สึกมาตลอดว่าห้องของตนนั้นไม่เลวเลย แต่พอมาดูตอนนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนห้องของนางดูแย่ลงไปหน่อย…
“ห้องของเจ้าสง่าเรียบง่าย แถมยังไม่มีคนผู้อื่น จึงทำให้ไม่รู้สึกถึงความเอะอะครึกโครม”
“ใช่แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นนั่งลงตรงกันข้ามกับหนานกงมู่เสวี่ยแล้วก้มหน้าดื่มชาอึกหนึ่ง เพื่อพยายามให้ตัวเองมีอารมณ์ที่สงบลง นี่มันจะเป็นอะไร? ตัวนางยิ่งมีชีวิตอยู่ยิ่งถอยหลังลงคลองเสียแล้ว! เรื่องเล็กๆ แค่นี้ถึงทำให้นางประหม่าได้ถึงขนาดนี้
“ข้าไม่ชอบให้มีคนมากมายรายล้อม มีคนแค่พอใช้งานก็พอ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมีมากมายอะไร” ซูเหลียนอวิ้นปิดฝาแก้วน้ำชาตัวเองเพื่อหลบเลี่ยงสายตาที่จ้องมาของหนานกงมู่เสวี่ย
“พูดถูกต้อง” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้ม “ในงานฉลองวสันตฤดูครานั้น ในกลอนของเจ้ากล่าวถึงดอกสาลี่ คงจะเป็นต้นที่อยู่ในลานบ้านของเจ้านี่กระมัง?”
“ถูกต้อง เป็นต้นนี้เอง ออกดอกไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ?” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“เจ้าเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจมาก” หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยประโยคนี้ขึ้นต่อทันที “ในเมืองหลวงแห่งนี้ สตรีที่ใช้ชีวิตได้เป็นธรรมชาติอย่างเจ้า พบเจอได้น้อยมาก”
ลูกตาของซูเหลียนอวิ้นกรอกไปมา “ข้าจะถือว่าคูดนี้คือคำชมของเจ้าก็แล้วกัน ฮ่าๆ ในเมื่อยังมีชีวิต อุตส่าห์เกิดมาแล้ว ก็อย่าทำอะไรให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลัง มิเช่นนั้นแล้วตอนตายไปก็คงจะหอบเอาความเสียใจนี้ไปด้วย นั่นน่าเสียดายขนาดไหน”
ครั้งนี้หนานกงมู่เสวี่ยมิได้ตอบอะไรออกไปแต่เงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ในงานวันฉลองวสันตฤดู ข้าเห็นเจ้าเล่นหมากล้อมได้ไม่เลวเลย เช่นนั้นเจ้ากับข้ามาประลองกันสักกระดานดีหรือไม่?”
“เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นเกาศีรษะราวกับกำลังรู้สึกละอายใจและประหม่า “อันที่จริง…ฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าไม่ค่อยดีนัก…”
อย่างน้อยหากเปรียบเทียบกับเจ้าแล้ว จัดได้ว่าน่าอับอายเลยด้วยซ้ำ! ตนไม่อยากต้องขายหน้าอีกแล้ว…
“เอ๊ะ?” หนานกงมู่เสวี่ยคิดไม่ถึงเลยว่าซูเหลียนอวิ้นจะพูดต่อหน้านางตรงๆ ว่าฝีมือตัวเองไม่ดี ตอนนั้นจึงไม่รู้จะเอ่ยออกไปว่าอะไรดี ในตอนนั้นเองจึงได้แต่หัวเราะออกไปเบาๆ “โธ่เอ๊ย สิ่งที่สำคัญในการเล่นหมากล้อมคือความสนุกสนานเท่านั้น การแพ้ชนะอะไรนั่น ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคน ข้าไม่พูดล้อเรียนเจ้าหรอก”
“ก็ได้ เช่นนั้นจวิ้นจู่รอสักครู่…ข้าจะไปเอาหมากล้อมมา…” ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกเหมือนว่าเท้าของตนกำลังย่ำไปบนปุยนุ่น นุ่มนิ่มล่องลอย
ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยยิ้มออกมาจากใจจริง ในอดีตนางเคยเห็นหนานกงมู่เสวี่ยยิ้มอยู่หลายครั้ง ทว่ารอยยิ้มเหล่านั้นเป็นการยิ้มตามมารยาทและห่างเหิน แต่รอยยิ้มที่หนานกงมู่เสวี่ยยิ้มให้นางเมื่อครู่นั้น…สวยงามน่าประทับใจจริงๆ!
“อ่ะ…จวิ้นจู่…” ซูเหลียนอวิ้นเดินกลับมาอย่างล่องลอย เห็นได้ชัดเจนว่าจิตใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่รอยยิ้มเมื่อครู่นั้น
“ไม่ต้องเรียกข้าแบบนั้นหรอก” หนานกงมู่เสวี่ยจัดแจงวางหมากให้เรียบร้อย “ตอนนี้มีเพียงข้ากับเจ้าสองคน ดังนั้นพวกเราไม่ต้องไม่สนใจพิธีรีตองว่าใครเป็นจวิ้นจู่หรือไม่”
“ตกลง!” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอย่างตื่นเต้น หญิงงามอยู่ตรงหน้า อะไรก็ดูจะถูกต้องไปหมด
ใครให้นางตลอดมามองคนจากใบหน้าแต่อย่างเดียวกันเล่า…เฮ้อ พอนึกถึงต้วนเฉินเซวียน ตอนนั้นก็เป็นเพราะใบหน้าของเขาไม่ใช่หรือที่ทำให้นางลุ่มหลงได้มากถึงขนาดนั้น…
เดินหมากมาได้ถึงกลางทาง หนานกงมู่เสวี่ยก็เริ่มขมวดคิ้วแน่น
“ซูเหลียนอวิ้น เจ้ากับต้วนเฉินเซวียนความสัมพันธ์เป็นอย่างไรบ้าง” จู่ๆ หนานกงมู่เสวี่ยก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้น ทำเอาซูเหลียนอวิ้นตกใจเสียจนหมากที่เดินอยู่แทบปลิว
“อะอะอะไรนะ?” ซูเหลียนอวิ้นกลืนน้ำลาย “พวกเรา พวกเราไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกันเลย…”
เหตุใดหนานกงมู่เสวี่ยถึงถามนางเช่นนี้! หรือว่าตนแสดงท่าทีอะไรออกไปหรือไม่? เป็นไปไม่ได้กระมัง! ในโลกใบนี้นอกจากท่านอาจารย์แล้ว ยังมีผู้อื่นรู้เรื่องราวของนางด้วยหรือ?
“ข้าเสียมารยาทเอง” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้มอย่างรู้สึกผิด “บางทีข้าควรจะถามว่าเจ้ากับหรงซู่มีความสัมพันธ์กันเช่นไรมากกว่า”
ในห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ
“ข้า…” ซูเหลียนอวิ้นกำหมากในมือเอาไว้ไม่ขยับเขยื้อนราวกับต้องการจะบีบให้แตกคามือ นางจ้องตาทั้งคู่ของหนานกงมู่เสวี่ย นางไม่เข้าใจประโยคนั้น เหตุใดนางถึงพูดอะไรพูดไม่ออก
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก็ได้” ผ่านไปเนิ่นนาน หนานกงมู่เสวี่ยจึงเปิดปาก “ตอนนี้หรงซู่อยู่ที่ไหน”
“เรื่องนี้…” คงต้องกล่าวว่าเมื่อครู่ไม่ว่าหนานกงมู่เสวี่ยจะแสดงออกอย่างเป็นกันเองแค่ไหน แต่ว่าโดยเนื้อแท้แล้วในสายเลือดของนางก็เป็นจวิ้นจู่ที่มีสายเลือดของราชวงศ์ การไม่ยอมให้ผู้อื่นปฏิเสธตนเองถือเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ติดตัวมาของครอบครัวราชวงศ์
มือทั้งสองข้างของซูเหลียนอวิ้นหดอยู่ใต้โต๊ะ ไม่ใช่ว่านางไม่อยากพูด แต่นางพูดไม่ได้จริงๆ!
หรงซู่เป็นอาจารย์ของนาง เป็นคนที่นางสนิทมาก ไม่ว่าอย่างไรนางก็มิอาจทรยศเขาได้ อีกทั้ง…ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น ที่ผ่านมาหรงซู่คล้ายกำลังหลบเลี่ยงบางสิ่งมาโดยตลอด แม้ว่านางจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่นางมั่นใจในเรื่องนี้อย่างแน่นอน บางทีอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับหนานกงมู่เสวี่ยก็เป็นได้?
“ท่านอาจารย์สบายดี แต่ข้าบอกเจ้าไม่ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นจ้องไปยังดวงตาของหนานกงมู่เสวี่ย
หนานกงมู่เสวี่ยไม่คิดเลยว่าซูเหลียนอวิ้นจะปฏิเสธตนเองเสียงแข็งขนาดนี้ ตอนนั้นจึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากต่อว่าอย่างไรดี นิ่งเงียบอยู่นานหนานกงมู่เสวี่ยจึงเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่น่าใกล้ชิดและอบอุ่น “เขาสบายดีหรือ? เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
“เมื่อครู่เจ้าเรียกเขาว่าอย่างไรนะ? ท่านอาจารย์หรือ? เพราะเหตุใด เขารับเจ้าเป็นลูกศิษย์หรือ?”
“อืม…หรงซู่เป็นอาจารย์ของข้า” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า
“อย่างนี้เอง” หนานกงมู่เสวี่ยลุกขึ้นแล้วเดินหน้าไปสองสามเก้าราวกับกำลังพยายามจะทำอะไรบางอย่าง ท้ายที่สุดแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ดูแล้วความสัมพันธ์ของพวกเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว เช่นนั้นเขาเคยเอ่ยถึงข้าให้เจ้าฟังหรือไม่…?”
น้ำเสียงของหนานกงมู่เสวี่ยสั่นไหว นางหันหลังไปเพื่อไม่ให้ซูเหลียนอวิ้นได้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของนาง
“ไม่เคย…” ซูเหลียนอวิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจเอ่ยความจริงออกไป แต่เมื่อเห็นท่าทางของหนานกงมู่เสวี่ยที่พลันแข็งทื่อก็รีบกล่าวเสริมขึ้นว่า “แต่ว่าท่านอาจารย์ไม่เคยพูดถึงผู้อื่นให้ข้าฟังอยู่แล้ว! หรือจะพูดได้ว่า แม้แต่เรื่องราวของเขา เขาเองก็ไม่ชอบเอ่ยถึงมากนักและก็ไม่ชอบให้ถามด้วย…” เขาไม่ได้พยายามจะปิดบังเรื่องของเจ้า เพราะเรื่องราวของคนอื่นเขาก็ไม่เอ่ยถึง
“เช่นนี้เองหรือ ข้าเข้าใจแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยหันตัวกลับมาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ นางกลับสู่ท่าทางเช่นเดิมแล้วราวกับว่าท่าทางเปราะบางมิอาจสัมผัสของหนานกงมู่เสวี่ยเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพที่ซูเหลียนอวิ้นตาฝาดไปเองเท่านั้น
“เช่นนั้นเจ้าก็คงไม่รู้ความสัมพันธ์ของต้วนเฉินเซวียนและหรงซู่ใช่หรือไม่?”
“ต้วนเฉินเซวียน?” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เขากับท่านอาจารย์มีความสัมพันธ์ใดข้องเกี่ยวกันด้วยหรือ?” นางไม่เคยได้ยินหรงซู่เอ่ยถึงมาก่อนเลย! ท่านอาจารย์คนทรยศ! มิใช่ว่ามีความสัมพันธ์กับต้วนเฉินเซวียนดีมากแต่มิยอมบอกนางกระมัง?
“พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน” หนานกงมู่เสวี่ยสำรวจดูความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้น หยุดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อว่า “ข้าเองก็เช่นกัน ข้าเป็นศิษย์น้องของหรงซู่และเป็นศิษย์พี่ของต้วนเฉินเซวียน”
“ห๊า? เรื่องนี้ข้าไม่เคยรู้เลย…” น่าตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ? คนหนึ่งคือจวิ้นจู่ อีกคนหนึ่งคือคุณชาย และอีกคน…คนที่สันโดษตัดขาดจาดโลกภายนอก? เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน?
เช่นนี้สามารถอนุมานได้ว่า ฐานะของท่านอาจารย์คงไม่ธรรมดาเลยกระมัง?! เฮ้อ น่าหมั้นไส้ชะมัด คนไม่ธรรมดาเช่นนี้กลับมาคิดเล็กคิดน้อยลูกศิษย์ แม้แต่เงินค่ายาเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ยอม!