ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 121-1 คืนพระจันทร์เต็มดวง
เมื่อเดินออกมาจากตำหนักจางเต๋อ สายตาของสตรีชั้นสูงที่มองมายังเยี่ยหลีดูแปลกออกไปไม่น้อย สายตาเหล่านั้นทั้งอิจฉาและริษยา ซ้ำยังมีความหวาดเกรงและดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่ด้วย
อย่าว่าแต่ต้าฉู่ก่อตั้งแคว้นมาร้อยกว่าปีเลย ต่อให้ย้อนกลับไปเป็นพันปี ก็ไม่มีสตรีคนใดที่กล้าชักมีดและเอ่ยว่าจะฆ่าสตรีทุกคนที่คิดจะแต่งงานเข้ามาเป็นอนุของสามีตนเช่นนี้มาก่อน ความห้าวหาญและความกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้ย่อมทำให้สตรีชั้นสูงที่ต้องทนให้สามีของตนมีอนุอยู่เต็มบ้านอดรู้สึกอิจฉาริษยาขึ้นมาไม่ได้ แต่ด้วยเพราะเหตุนี้ ทุกคนต่างรู้ดีกว่าชายาติ้งอ๋องต้องโดนตราหน้าว่าเป็นภรรยาขี้หึงอย่างแน่นอน
“หลีเอ๋อร์” เพียงเยี่ยหลีก้าวออกจากตำหนักก็เห็นสวีฮูหยินยืนรอนางอยู่
เยี่ยหลีเดินยิ้มน้อยๆ เข้าไปหานาง เอ่ยเรียกท่านป้าสะใภ้เบาๆ
สวีฮูหยินมองนาง ถอนหายใจเบาๆ พร้อมส่ายหน้า “เจ้าเด็กคนนี้นะ…”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หลีเอ๋อร์ทำให้ท่านป้าสะใภ้ขายหน้าแล้ว”
สวีฮูหยินจูงนางพาเดินออกไปด้านนอกพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ตระกูลสวีของพวกเราใส่ใจเรื่องชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้เมื่อไรกัน ป้าเองก็เป็นสตรีเช่นกัน จะไม่เข้าใจหัวอกคนเป็นสตรีด้วยกันได้อย่างไร เพียงแต่ทางติ้งอ๋องนั่น…”
สิ่งที่เยี่ยหลีทำในตำหนักวันนี้ถือได้ว่าบ้าบิ่นและขาดความยั้งคิดอย่างมาก แต่ด้วยฐานะชายาติ้งอ๋องของนางจึงทำให้ไม่โดนโทษที่หนักหนาอันใด
เรื่องการแต่งภรรยาหรือแต่งอนุนั้นหากจะพูดไปก็ถือเป็นเรื่องภายในบ้าน ขอเพียงติ้งอ๋องยังคอยปกป้องนางอยู่ ย่อมไม่มีปัญหาอันใด แต่หากติ้งอ๋องไม่พอใจกับพฤติกรรมของนางในวันนี้ ก็เกรงว่าเยี่ยหลีคงใช้ชีวิตต่อไปไม่ง่ายนัก
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ สบตาสวีฮูหยินที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง นางกอดแขนสวีฮูหยินพร้อมซบลงอย่างสนิทสนม แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านป้าสะใภ้วางใจเถิด ข้าไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ ท่านป้าสะใภ้กลับไปช่วยพูดกับท่านลุงรองแทนหลีเอ๋อร์ก็พอ ไม่งั้นเดี๋ยวท่านลุงรองจะมาต่อว่าหลีเอ๋อร์เอา”
สวีฮูหยินยกมือขึ้นตบแขนนางเบาๆ พร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าเด็กคนนี้ใจกล้าเกินไปจริงๆ ไม่แปลกที่ท่านลุงรองคิดอยากอบรมเจ้า เมื่อครู่ตอนอยู่ในตำหนักก็ทำข้าตกใจไม่น้อยเลย”
สวีฮูหยินเกิดในตระกูลบัณฑิต ตามปกติจึงไม่ค่อยเห็นผู้ใดมาชักดาบรำกระบี่ต่อหน้าต่อตามากนัก ในตำหนักเมื่อครู่ยามที่เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นไกวดาบพุ่งตรงเข้ามาหาเยี่ยหลี หากนางไม่ได้รับการฝึกฝนให้สงบนิ่งและควบคุมตัวเองให้ดีแล้ว เกรงว่าคงได้กรีดร้องออกมาเป็นแน่
“หลีเอ๋อร์สำนักผิดแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีกอดแขดสวีฮูหยินพร้อมทำท่าออดอ้อน
เพียงเดินคู่กับสวีฮูหยินออกมานอกวัง ก็เห็นว่ามีคนกำลังเลิกผ้าม่านก้าวออกมาจากรถม้าของตำหนักติ้งอ๋อง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีขาวนวลกำลังก้มตัวก้าวลงมาจากรถม้า เขาอมยิ้มมองเยี่ยหลีที่ยืนอยู่หน้าประตูวัง “อาหลี”
สตรีชั้นสูงที่เดินผ่านถึงแม้จะไม่อาจเสียมารยาทหยุดยืนดู แต่ก็เห็นว่าติ้งอ๋องอมยิ้มมองเยี่ยหลีพร้อมยื่นมือส่งให้นาง พวกนางไม่เชื่อว่าในยามนี้ติ้งอ๋องจะยังไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวัง ดูท่าในใจติ้งอ๋องจะมีแต่พระชายาจริงๆ เสียแล้ว เพราะถึงแม้พระชายาติ้งอ๋องจะประกาศกร้าวอย่างอาจหาญเช่นนั้นออกไปในวังหลวง และน่าจะทำให้ตำหนักติ้งอ๋องเสียหน้าอย่างที่สุด แต่ดูเหมือนติ้งอ๋องก็ยังคงรักใคร่นางเช่นเดิม
สวีฮูหยินจูงเยี่ยหลีเดินเข้าไปทำความเคารพ ม่อซิวเหยาเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย เอ่ยด้วยหน้าตายิ้มแย้มว่า “ฮูหยินเป็นป้าสะใภ้ของอาหลี เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
สวีฮูหยินเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พิธีไม่อาจละเลยได้ หลีเอ๋อร์อายุยังน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราว เพียงหวังว่าท่านอ๋องจะมีใจเมตตา”
ม่อซิวเหยาระบายยิ้มมองเยี่ยหลี “ฮูหยินคิดมากไปแล้ว อาหลีดีมาก”
“ท่านมาได้อย่างไร” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ม่อซิวเหยาหัวเราะเบาๆ “ได้ยินว่าภรรยาชักมีดออกมาจนทำให้คนในตำหนักจางเต๋อต่างตกใจกันยกใหญ่ สามีก็เลยเป็นห่วงความปลอดภัยของภรรยาอย่างไรเล่า”
เยี่ยหลีกรอกตาใส่เขาอย่างอดไม่อยู่ เป็นห่วงความปลอดภัยของนางแต่กลับไม่เข้าวังไปหา เขามารออยู่หน้าประตูวังเช่นนี้ มาเล่นละครให้ผู้ใดดูกัน
สวีฮูหยินมองท่าทางการพูดจาระหว่างทั้งสองด้วยแววตาวางใจ เพียงแวบเดียวก็ดูออกว่าติ้งอ๋องนั้นมิได้ใส่ใจกิริยาที่เยี่ยหลีแสดงออกไปในวังด้วยใจจริง หนำซ้ำอาจบอกได้ว่าเขาดีใจกับเรื่องนี้อย่างมากอีกด้วย สวีฮูหยินอมยิ้มเอ่ยขอตัวกับทั้งสอง แล้วจึงเดินไปยังรถม้าของจวนตนด้วยความสบายใจ
จนเมื่อรถม้าตำหนักติ้งอ๋องเคลื่อนตัวออกไปแล้ว บริเวณหน้าประตูวังจึงค่อยๆ กลับมาสงบลงอีกครั้ง เยียหลี่ว์เหยี่ยและเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นยืนมองตามรถม้าของตำหนักติ้งอ๋องแล่นออกไปเงียบๆ พักใหญ่ถึงได้ยินเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “พี่ชาย จะให้เรื่องนี้แล้วไปแล้วเช่นนี้หรือ”
เยียหลี่ว์เหยี่ยกวาดสายตามองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หากไม่ให้แล้วไปแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรได้ เจ้าหว่านเสน่ห์ใส่ติ้งอ๋องไม่สำเร็จ ชายาติ้งอ๋องเจ้าก็รับมือไม่ได้ หรือว่าเจ้าคิดจะไปเป็นสาวใช้ปัดกวาดในตำหนักต้องอ๋องจริงๆ อย่าลืมว่าเจ้าสิบเอ็ดถูกม่อซิวเหยาจัดการเสียจนมีสภาพเช่นไร เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนใจดีมีเมตตาอย่างนั้นหรือ”
เมื่อคิดถึงท่าทางเลอะเลือนไม่รู้เรื่องรู้ราวขององค์ชายสิบเอ็ด เยียหลี่ว์ผิงแล้ว เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ นางไม่กล้าคิดเลยว่า คนคนหนึ่งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บและไม่ได้ถูกพิษร้าย จะเปลี่ยนจากคนปกติธรรมดากลายเป็นคนที่สติเลอะเลือนไปได้อย่างไร เยียหลี่ว์ผิงจะต้องเจอกับการทรมานอย่างผิดมนุษย์มนาเช่นไรมาบ้าง ซ้ำร้ายทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียงเพราะเยียหลี่ว์ผิงได้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดในงานมงคลสมรสของม่อซิวเหยาเท่านั้นเองด้วย
“เช่นนั้น…ยามนี้พวกเราควรทำเช่นไรเพคะ” เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็ต้องรอรับองค์หญิงที่จะแต่งงานกลับเป่ยหรงไปพร้อมกันน่ะสิ”
“แต่ว่าข้า…” เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นขมวดคิ้วมุ่น
เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยเรียบๆ ว่า “เรื่องที่จะให้เจ้าแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องนั้น เดิมทีก็เป็นความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหัน โอกาสสำเร็จมีเพียงสามส่วนเท่านั้น และสามส่วนนี้ยังต้องดูท่าทีของชายาติ้งอ๋องอีกด้วย แต่ยามนี้ดูท่าว่า โอกาสสำเร็จเพียงครึ่งส่วนก็คงยังไม่มี เจ้ากลับเป่ยหรงไปรอเป็นชายารององค์รัชทายาทก็แล้วกัน”
เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เอ่ยด้วยความร้อนรนว่า “ไม่…พี่ชาย รัชทายาทต้องฆ่าข้าเป็นแน่ อีกอย่าง…เรื่องที่เกิดในต้าฉู่จะต้องแพร่ออกไปถึงเป่ยหรงแล้วอย่างแน่นอน รัชทายาทไม่มีทางรับข้า…” ชายารองรัชทายาท…ธรรมเนียมของเป่ยหรงและต้าฉู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภรรยารองหรืออนุที่มีฐานะต่ำกว่าพระชายาองค์รัชทายาททั้งหมด จะเรียกว่าชายารอง แต่ทุกคนก็คือทาสขององค์รัชทายาทเท่านั้นเอง หากฐานะเดิมของตนเกิดมาเป็นชนชั้นสูงก็ยังดีหน่อย แต่หากสตรีที่มีชาติกำเนิดเป็นทาสอย่างนางแล้ว ต่อให้ได้เป็นชายารองขององค์รัชทายาท ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ให้กำเนิดทายาท และยิ่งไม่ได้รับอนุญาตให้มีทรัพย์สมบัติเป็นของตนเอง และไม่ได้รับอิสระอีกด้วย นอกจากตอนร่วมห้องกับองค์รัชทายาทแล้ว ยามปกติก็ไม่ต่างอันใดกับทาสคนหนึ่ง ต่อให้นางถูกโบยจนตาย แม้แต่ท่านพ่อบุญธรรมของนางอย่างเฮ่อเหลียนเจินก็ยังไม่อาจพูดอันใดได้ หนำซ้ำองค์รัชทายาทกับเยียหลี่ว์เหยี่ยยังมีความเจ็บแค้นกันอย่างลึกซึ้ง สตรีที่ถูกส่งเข้าตำหนักองค์รัชทายาท อยู่ได้ไม่ทันถึงครึ่งเดือนก็จะถูกส่งกลับออกมา สภาพที่น่าสยดสยองเช่นนั้นทำให้เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นถึงกับขนลุกแม้ยามฝันในยามค่ำคืน
ดังนั้นที่เยียหลี่ว์เหยี่ยเดินทางมารับตัวเจ้าสาวที่ต้าฉู่ในครานี้ นางจึงคิดทำทุกวิถีทางเพื่อขอตามาด้วยให้ได้ แล้วยิ่งเมื่อยามที่เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยว่าคิดจะส่งนางเข้าตำหนักติ้งอ๋อง นางจึงตกปากรับคำอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย บางครานางถึงขั้นคิดว่า ขอเพียงไม่ต้องกลับไปเป่ยหรง ต่อให้นางต้องอยู่เป็นสาวใช้ที่ต้าฉู่ ด้วยความสามารถของนางก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ชูคออ้าปากขึ้นมากับเขา แต่หากต้องกลับไปยังเป่ยหรง สิ่งที่รอนางอยู่เกรงว่าคงจะมีแต่ความตายเท่านั้น
“อย่าคิดทำอันใดไม่ดีเชียว ตระกูลเฮ่อเหลียนเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งหลายปี อย่างไรก็คงไม่เสียเปล่าใช่หรือไม่” เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยเรียบๆ พร้อมปรายตามองเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นที่เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จาอยู่ “เจ้าวางใจเถิด คนที่เคยเห็นหน้าเจ้ามีอยู่ไม่มากนัก องค์หญิงหรงหวาก็ไม่เคยเห็นหน้าเจ้า ส่วนเรื่องชื่อก็เปลี่ยนเสียก็ใช้ได้แล้ว ถึงอย่างไรบุตรสาวบุญธรรมของท่านลุงก็มิได้มีเพียงเจ้าแค่คนเดียว ในเมื่อเจ้าจัดการติ้งอ๋องไม่ได้ เช่นนั้นก็ยอมรับชะตากรรมกลับไปอยู่ตำหนักรัชทายาทแต่โดยดีก็แล้วกัน ถือว่าข้าได้ให้โอกาสเจ้าแล้ว”
เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นใจกระตุกขึ้นทันที ความร้ายกาจของเยียหลี่ว์เหยี่ยเป็นเช่นไรนางย่อมรู้ดี จึงรีบเอ่ยตอบเสียงสั่นว่า “ข้ารู้แล้วเพคะ”