ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 124-1 รับสารภาพ
“พระชายา”
ภายในห้องหนังสือ เยี่ยหลีวางตัวหมากที่ถือค้างอยู่ในมือลง หันมองไปทางฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงปากประตู “มีอันใดหรือ”
ฉินเฟิงตอบว่า “นักฆ่ายอมสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อหวาที่นั่งอยู่ตรงข้ามเยี่ยหลีตาเป็นประกายขึ้นทันที พร้อมวางตัวหมากลงเช่นกันก่อนหันไปจ้องฉินเฟิงเขม็ง
ฉินเฟิงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “วิธีการของพระชายาใช้ได้ผลจริงๆ เสียด้วย ช่วงเที่ยงวานนี้ พวกนักฆ่าเหล่านั้นเริ่มทนไม่ไหวและยอมรับสารภาพพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่หัวหน้าของนักฆ่านั่นกลับทนมาได้ถึงยามนี้ ถึงได้รับสารภาพพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ เอ่ยพร้อมเก็บกระดานหมากลง “เอาตัวเขาเข้ามา บันทึกคำสารภาพของคนพวกนั้นก็เอาเข้ามาด้วยเลยก็แล้วกัน”
ฉินเฟิงเอ่ยตอบรับพร้อมพยักหน้า
ไม่นาน ชายคนหนึ่งที่หน้าตาอ่อนล้าก็ถูกองครักษ์สองนายคุมตัวเข้ามา เพียงเห็นเส้นเลือดแดงก่ำในดวงตาที่จ้องมองเยี่ยหลีอย่างระมัดระวังก็ดูออกแล้วว่าคนผู้นี้ทนถึงขีดสุดแล้ว การไม่ได้กินไม่ได้ดื่มไม่ได้นอนเป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน ทั้งร่างกายและสติสัมปชัญญะของคนผู้นี้ต้องอ่อนล้าถึงขีดสุดแล้ว ต่อให้ปล่อยเขาออกไป เขาก็คงได้นอนตายอยู่หน้าตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้น
เยี่ยหลีอมยิ้มมองชายที่ถูกจับให้คุกเข่าอยู่กับพื้น “ไม่ได้เจอหน้าหลายวัน ท่านยังสบายดีหรือไม่”
ดวงตาแดงก่ำของชายผู้นั้นประหนึ่งมีประกายไฟพุ่งออกมา จับจ้องหญิงสาวในชุดสีฟ้าเขม็งจนตาแทบถลน
เยี่ยหลีมิได้สนใจแม้แต่น้อย หมุนกำไลหยกในมือเล่น ถอนใจเบาๆ พร้อมเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องมองข้าเช่นนี้ ที่ต้องใช้วิธีนี้กับพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ท่านอ๋องบ้านข้าไม่อยู่ พวกเจ้ามากันจำนวนมากเช่นนี้เพื่อรังแกสตรีบอบบางอย่างข้า ก็คงไม่ถือว่ามีเกียรตินักใช่หรือไม่?”
เดิมทีสติสัมปชัญญะของชายผู้นั้นก็อ่อนล้าเต็มทีแล้ว ที่ยามนี้ยังสามารถถลึงตามองจ้องเยี่ยหลีได้ ก็ถือได้ว่าเขาแข็งแกร่งพอตัวเลยทีเดียว น่าเสียดายก็เพียงสายตาเขาทำอันใดเยี่ยหลีไม่ได้เท่านั้น เขาจึงยอมแพ้ไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ท่านจะเอาอย่างไรกันแน่”
เยี่ยหลีค่อยๆ หุบยิ้มลง เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บอกข้ามาว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคือผู้ใด”
“ข้าบอกไปแล้ว”
เยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็น ก่อนโยนคำสารภาพของเขาในมือลงบนโต๊ะพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คำสารภาพเท็จเหล่านี้น่ะหรือ เกรงว่าจะยังถือว่าเจ้าฝีมือดีไม่ได้นะ จั๋วจิ้ง…”
องครักษ์ลับสามพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะเพิ่มบทเรียนการสอบสวนและการวิเคราะห์ข่าวเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ ปรายตามองชายที่คุกเข่าอยู่กับพื้น “เจ้ายังไม่อยากพูดหรือ เช่นนั้นก็ไปพักผ่อนต่อเถิด เจ้าวางใจได้ ข้าไม่เอาชีวิตเจ้าหรอก ให้เขาพักผ่อนหนึ่งชั่วยามแล้วค่อยสอบสวนต่อ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เยี่ยหลีเอ่ย สีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปทันที
ฉินเฟิงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ให้เขาพักผ่อนจนเพียงพอแล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง จะส่งผลต่อผลที่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หนึ่งชั่วยาม ไม่ต้องกังวลไป เชื่อว่าหากได้พักผ่อนช่วงสั้นๆ แล้ว ชายท่านนี้จะได้รับรู้ถึงผลลัพธ์อันแสนพิเศษของการสืบสวนเช่นนี้แน่”
“ไม่ ข้าพูด…” ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซีดเซียว
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ดีมาก ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา อย่าได้บอกข้าว่าคือท่านผู้นั้นที่ในวังอีก ถึงแม้เจ้าเพิ่งจะยอมสารภาพเอายามนี้ แต่ลูกน้องเจ้าเหล่านั้นก็มิใช่ว่าจะไม่รู้อันใดเลย เจ้าคือเจ้าสำนักเยี่ยซา สำนักมือสังหารอันดับสามแห่งเจียงหูหรือ หือ”
สีหน้าชายผู้นั้นเปลี่ยนไป หันมองเยี่ยหลีอย่างอ่อนแรง ก่อนเอ่ยเสียงพร่าว่า “พระชายาช่างมีความสามารถกว้างขวางนัก”
เยี่ยหลียิ้มถือเอาการชื่นชมของเขาเป็นการยอมรับ เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “คำตอบคือ”
ชายผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด เพียงแต่หากมองจากลักษณะภายนอกกับสำเนียงการพูดแล้ว ดูเหมือนจะเป็นคนซีหลิง”
เยี่ยหลีนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “เขาติดต่อพวกเจ้าจากที่ใดอีก”
ชายผู้นั้นเอ่ยว่า “สำนักเยี่ยซาอยู่ทางใต้ อยู่…แถวๆ หย่งโจว เมื่อตอนที่อีกฝ่ายมาหาพวกเรานั้นติ้งอ๋องยังไม่ไปจากเมืองหลวง ดังนั้นพวกเราจึงไม่คิดที่จะรับงานนี้ แต่อีกฝ่ายยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอย่างมากไม่เกินหนึ่งเดือน ติ้งอ๋องจะต้องเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงว่าจ้างพวกเราด้วยเงินจำนวนมากให้พวกเราแทรกซึมเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงก่อน หากติ้งอ๋องไม่ไปจากเมืองหลวง พวกเราจะไม่ลงมือก็ได้ แล้วเมื่อสิบกว่าวันก่อน ติ้งอ๋องก็เดินทางออกจากเมืองหลวงจริงอย่างที่เขาบอก พวกเราสังเกตการณ์อยู่สิบวัน ก็พบว่าคนที่บุกเข้ามาลอบฆ่าในตำหนักมิได้มีเพียงสำนักเยี่ยซาของพวกเราเพียงสำนักเดียว ดังนั้นถึงได้ตัดสินใจลงมือ”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ดีมาก หัวหน้าของพวกเจ้าอยู่ที่ใด”
ชายผู้นั้นถึงกับตกใจ จ้องมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ที่พวกเจ้าสังเกตการณ์อยู่ได้เป็นสิบวันถึงได้ตัดสินใจลงมือ แสดงว่ามิใช่คนที่ทำอันใดผลีผลาม ข้าไม่เชื่อว่า นักฆ่าหลายวันก่อนหน้านี้ที่มาแล้วไม่ได้กลับออกไป จะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องประเมินความสามารถที่แท้จริงของตำหนักติ้งอ๋องให้ดี ดันทุกรังทำทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็บอกได้เพียงว่า เจ้า…มิใช่หัวหน้าที่แท้จริงใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นชายผู้นั้นก้มหน้าเงียบไม่ตอบ เยี่ยหลีก็มิได้สนใจ เพียงดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมากางลงบนโต๊ะก่อนขีดๆ เขียนอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นส่งให้ฉินเฟิง “นำกลับไปถามเขาตามนี้ หากยังไม่ยอมตอบอีกก็ไม่จำเป็นต้องนำตัวเขากลับไปกลับมาแล้ว ข้าไม่มีความอดทนมากถึงเพียงนั้น”
ฉินเฟิงกวาดตาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษในมือ แล้วจึงหันไปโบกมือสงสัญญาณให้องครักษ์พาตัวออกไป
ม่อหวามองเยี่ยหลีนิ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “พระชายารู้แต่แรกแล้วหรือว่าเขาไม่ใช่หัวหน้าที่แท้จริง หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดถึงต้องเสียเวลากับเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเพียงยิ้ม “ถึงแม้จะรู้ว่าเขาเป็นเพียงคนมาดูลาดเลา แต่เราก็ยังมิรู้ว่าคนจากสำนักเยียซาที่เหลืออยู่ อยู่ที่ใดมิใช่หรือ ข้าคิดว่า…หากไม่รีบหาคนเหล่านั้นให้พบ พวกเราจะมีปัญหาใหญ่”
ม่อหวากัดฟันเอ่ยว่า “ต่อให้ท่านนั้นในวังมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ต้องรู้ถึงแผนการของคนเหล่านี้เป็นแน่ หลายวันนี้ที่องครักษ์ลับออกตามหาตัวพวกเขาในเมืองหลวง ก็ถูกขัดแข้งขัดขาตลอด จะต้องเป็นคำสั่งของท่านนั้นเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “องครักษ์ลับถึงขั้นถูกองครักษ์ในวังขัดขวางได้ง่ายๆ แล้วหรือ”
ม่อหวาสีหน้านิ่งแข็ง พูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ พักหนึ่งถึงได้กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าพระชายามีวิธีการอันชาญฉลาดอันใดหรือ!”
เยี่ยหลียักไหล่ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “วิธีการอันชาญฉลาดนั้นไม่มีหรอก เพียงเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น”