ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 152 ร่องรอยของหมิงเย่ว์
เมื่อจัดการให้เฟิ่งจือเหยาจนสงบลงได้แล้ว เยี่ยหลีนั่งเคาะนิ้วเรียวอย่างใช้ความคิด “คราก่อนพวกเราคิดบัญชีกับเหลยเจิ้นถิงไปครั้งหนึ่ง ดูท่าครานี้เขาคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาคืนเราบ้าง?”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ไม่ว่าจะมีเรื่องคราที่แล้วหรือไม่ เหลยเจิ้นถิงก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกองทัพตระกูลม่ออยู่ดี”
ตั้งแต่การพ่ายแพ้ในครานั้น กองทัพตระกูลม่อก็เหมือนเป็นบาดแผลในใจของเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงมาโดยตลอด ปีนี้อายุอานามเจิ้นหนานอ๋องก็เกือบห้าสิบปีแล้ว ในด้านนายทหารนั้นอาจยังพอฝืนพูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาเฟื่องฟู แต่หากปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีก ชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่มีโอกาสเอาชนะกองทัพตระกูลม่อเพื่อล้างอายในครานั้นได้อีกแล้ว
เยี่ยหลีหันมองม่อซิวเหยา “ช่วงนี้พวกท่านคงต้องยุ่งกันมาก เมืองซิ่นหยางมอบให้ข้าจัดการก็แล้วกัน”
ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีด้วยความรู้สึกผิด พวกเขาแต่งงานกันมาได้เพียงปีกว่าๆ ถึงแม้ตนจะบอกมาตลอดว่า อยากให้อาหลีได้ใช้ชีวิตอย่างที่นางชื่นชอบ แต่เอาเข้าจริงดูเหมือนตั้งแต่วันแต่งงานกันเป็นต้นมา อาหลีก็ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลย
เยี่ยหลีเลิกคิ้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในช่วงคับขัน แล้วแยกย้ายบินไปทางใครทางมันนั้นมิใช่คน แต่เป็นนก หรือว่าท่านอ๋องไม่เชื่อในความสามารถของข้า”
ม่อซิวเหยาคลี่ยิ้ม ชื่นชมสีหน้ามั่นใจและภูมิใจของหญิงสาวตรงหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “เช่นนั้น การวางกำลังป้องกันและเรื่องภายในเมืองต่างๆ ก็ยกให้เป็นหน้าที่อาหลี?”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ท่านวางใจ ข้าก็สบายใจแล้ว”
ข่าวที่ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าส่งมานั้นกะทันหันเกินไปสักหน่อย แต่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีต่างรู้ดีว่า หากไม่มั่นใจจริงๆ แล้ว ฮว่ากั๋วกงไม่มีทางเปิดเผยเรื่องล้อเล่นเช่นนี้เป็นแน่ ถึงแม้ยามนี้จะยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวอันใด แต่ม่อซิวเหยาก็จำเป็นต้องเริ่มจัดวางกำลังกองทัพตระกูลม่อไว้ตามที่ต่างๆ เพื่อรับมือกับการศึกในอนาคตที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ส่วนเมืองซิ่นหยางนั้น เอาเข้าจริงม่อซิวเหยาไม่มีเวลามาไต่ถามมากนัก
เมื่อสั่งให้คนนำแผนที่แคว้นต่างๆ ที่หน่วยกิเลนเก็บข้อมูลและวาดขึ้นเป็นแผนที่ส่งให้ม่อซิวเหยาชุดหนึ่งแล้ว เยี่ยหลีก็ให้คนจัดการจัดห้องหนังสือขึ้นอีกห้องหนึ่ง ก่อนย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว
“พระชายา ไป๋กุ้ยเฟยเอะอะอยากจะขอพบท่านอ๋องตลอดเลยพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่เยี่ยหลีกำลังพิจารณาแผนที่นิ่งอย่างใช้ความคิดอยู่นั้น ฉินเฟิงก็เข้ามาเอ่ยรายงานเสียงต่ำ
ยามนี้งานต่างๆ ที่เกี่ยวกับเมืองซิ่นหยางมีเยี่ยหลีคอยรับผิดชอบทั้งหมด ซึ่งรวมถึงกองทัพตระกูลม่อโดยรอบเมืองซิ่นหยางจำนวนหลายหมื่นนายด้วย
ม่อซิวเหยาวันๆ ยุ่งจนหัวหมุนตั้งแต่เช้าจรดเย็น เรื่องของซูจุ้ยเตี๋ยย่อมต้องมอบหมายให้เยี่ยหลีจัดการไปเองคนเดียว
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่พูดขึ้นมา ข้าก็เกือบลืมไปเสียแล้ว มีข่าวคราวของหานหมิงเย่ว์บ้างหรือไม่”
ฉินเฟิงเอ่ยว่า “ข่าวที่ส่งมาจากซีหลิงยืนยันว่าหานหมิงเย่ว์ออกจากเขตซีหลิงเข้ามาในต้าฉู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ยามนี้ยังไม่พบร่องรอยของเขาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอามือนวดหว่างคิ้ว “ไม่เสียแรงที่เป็นคุณชายหมิงเย่ว์ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยู่ใกล้ๆ เมืองซิ่นหยางนี่ล่ะ”
ฉินเฟิงเอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยที่หานหมิงเย่ว์มีต่อซูจุ้ยเตี๋ย เป็นไปได้มากที่เขาอยู่ละแวกเมืองซิ่นหยาง น่าเสียดายที่หานหมิงเย่ว์เป็นยอดฝีมือด้านการกลบเกลื่อนร่องรอยการเดินทาง ขอเพียงเขาไม่ยอมเปิด พวกเราคงหาร่องรอยของเขาได้ยากพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีระบายยิ้มเย็นเยียบ “หากมีจุดอ่อน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะจับตัวเขาไม่ได้ เพียงแต่…ข้ามิได้เร่งร้อนจะต้องจับตัวหานหมิงเย่ว์ แต่เป็น…เทียนอี้เก๋อที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างหาก ถึงแม้ฐานของเทียนอี้เก๋อในต้าฉู่จะถูกท่านอ๋องถอนรากถอนโคนไปแล้ว และมีหลายส่วนที่มาติดตามรับใช้หานหมิงซีแทน แต่ก็ยากที่จะไม่มีปลาหลุดออกมาจากแหเสียเลย ซึ่งการมีเรื่องเช่นนี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของกองทัพตระกูลม่อได้เลยทีเดียว”
ฉินเฟิงเหลือบตาขึ้นมอง เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “พระชายาวางแผนไว้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ก็ต้องดูว่าความรู้สึกที่หานหมิงเย่ว์มีต่อซูจุ้ยเตี๋ยจะล้ำลึกเพียงใดแล้ว ให้คนลอบปล่อยข่าวออกไปว่า ข้าโกรธแค้นความรักครั้งเก่าระหว่างซูจุ้ยเตี๋ยและท่านอ๋องเป็นอย่างยิ่ง วันๆ หาเรื่องนางไม่ได้หยุด จนถึงขึ้น…คิดอยากจะฆ่านางลับหลังท่านอ๋อง!”
ฉินเฟิงอึ้งไป เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “หานหมิงเหย่ว์จะติดกับหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเหลือบตาขึ้น คลี่ยิ้มเพียงเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าข้ากำลังล้อเล่นหรือ?”
ฉินเฟิ่งไม่เข้าใจ “ความหมายของพระชายาคือ”
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะ “หากหานหมิงเย่ว์ไม่มา…ข้าจะหั่นซูจุ้ยเตี๋ยเป็นชิ้นๆ ส่งไปให้เขา คนทรยศแผ่นดินเพื่อลาภยศ ต้องตาย!”
“ข้าน้อยรับบัญชา”
ณ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้เมืองซิ่นหยาง ภายในบ้านชาวบ้านทั่วไปที่ดูไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง หานหมิงเย่ว์ที่ไม่มีผู้ใดพบร่องร่อยอยู่นานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ใบหน้าคมคายดูซีดเซียวและเหนื่อยล้า และยังดูมีแววกังวลใจให้ได้เห็น
“คุณชาย” ชายในเครื่องแต่งกายสีเทาผลักประตูเดินเข้ามา เอ่ยเรียกด้วยความเคารพ
หานหมิงซีหันกับไปถามว่า “มีข่าวคราวบ้างหรือไม่”
ชายผู้นั้นพยักหน้า “ยามนี้คุณหนูซูอยู่ในจวนผู้ว่าการเมืองซิ่นหยางจริงๆ ขอรับ เพียงแต่…คนของพวกเราเข้าถึงตัวนางไม่ได้เลย”
หานหมิงซีไม่แปลกใจเท่าใดนัก เอ่ยเสียงขรึมว่า “นางคงถูกติ้งอ๋องกักบริเวณไว้”
ชายในชุดเทาส่ายหน้า “ดูเหมือนติ้งอ๋องจะมิได้สนใจคุณหนูซูสักเท่าใดนะขอรับ ตั้งแต่คุณหนูซูไปถึงจวนผู้ว่าการ ตามปกติติ้งอ๋องไม่เคยถามไถ่ถึงนาง ยามนี้งานทั้งหมดในเมืองซิ่นหยางก็มอบหมายให้ชายาติ้งอ๋องเป็นคนจัดการแทนขอรับ”
หานหมิงเย่ว์อึ้งไป หันตัวไปทางเขา “งานทั้งหมดในมืองซิ่นหยางมอบหมายให้ชายาติ้งอ๋องดูแลทั้งหมดหรือ เช่นนั้นติ้งอ๋องกำลังทำอันใด”
ชายในชุดเทาขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าน้อยสงสัยว่า ติ้งอ๋องจะล่วงรู้ถึงแผนการของเจิ้นหนานอ๋องแล้วขอรับ เป็นไปได้สูงที่กำลังลอบวางกำลังอยู่ มิเช่นนั้น…ยามนี้นอกเมืองซิ่นหยางยังคงมีกำลังทหารประจำการอยู่กว่าแสนนาย ติ้งอ๋องไม่มีทางไม่บัญชาการกองทัพด้วยตนเอง คุณชาย เรื่องนี้…ต้องเรียนให้เจิ้นหนานอ๋องรู้หรือไม่ขอรับ”
หานหมิงเย่ว์หันมองเขา เอ่ยเรียบๆ ว่า “พวกเรามาที่นี่เพราะความปลอดภัยของซูจุ้ยเตี๋ย กองทัพตระกูลม่อจะเป็นเช่นไร ไม่เกี่ยวกับพวกเรา เข้าใจหรือไม่”
ชายในชุดเทาอึ้งไปเล็กน้อย รีบพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยไม่รู้อันใดทั้งนั้นขอรับ ในเมื่อพวกเรารู้ที่อยู่ของคุณหนูซูแล้ว จะส่งคนไปช่วยนางออกมาหรือไม่ขอรับ?”
หานหมิงเย่ว์สีหน้ามีความลังเลใจ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ช่วยนางออกมา…จากความสัมพันธ์ในอดีต ติ้งอ๋องไม่น่าจะทำร้ายนาง เช่นนั้น…ให้นางอยู่ในเมืองซิ่นหยางอาจจะปลอดภัยกว่า”
ชายในชุดเทาเอ่ยเสียต่ำว่า “แต่ว่า…ข่าวที่ได้จากจวนผู้ว่าการ คุณหนูซูมิได้อยู่ในจวนผู้ว่าการอย่างสบายเท่าไรนัก หลายวันก่อนยังศีรษะกระแทกจนศีรษะแตก อีกทั้ง ดูเหมือนชายาติ้งอ๋องจะไม่พอใจอย่างมาก ที่แต่ก่อนคุณหนูซูเคยเป็นคู่หมั้นของติ้งอ๋อง ยามนี้ยิ่งท่านอ๋องไม่สนใจเรื่องในจวนผู้ว่าการและเมืองซิ่นหยาง เกรงว่าคุณหนูซูคง…คงไม่ดีเท่าไรนัก…”
“ชายาติ้งอ๋อง เยี่ยหลี…” หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้ว กับชายาติ้งอ๋องที่เกิดในตระกูลมีชื่อเสียงนั้น เอาเข้าจริงเขาก็มีวาสนาได้พบหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ดูเหมือนทุกครั้งก็จะมิได้น่าอภิรมย์เท่าไรนัก จากนั้น หรือแม้แต่ในยามนี้ เขาก็อดนึกอิจฉาในบุญวาสนาของอดีตสหายรักของตนไม่ได้ ชายาติ้งอ๋องถือเป็นภรรยาที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งจริงๆ และดูเหมาะสมกับม่อซิวเหยาและตำหนักติ้งอ๋องเสียยิ่งกว่ายอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่อย่างซูจุ้ยเตี๋ยเสียอีก นางฉลาด หลักแหลม เข้มแข็งและเด็ดขาด ขณะเดียวกัน ก็มีความมุ่งมั่นและความกล้าหาญ หากนางคิดจะกลั่นแกล้งซูจุ้ยเตี๋ย และติ้งอ๋องก็ไม่สนใจเรื่องอันใดเลยแล้ว….ไม่ว่าอย่างไรซูจุ้ยเตี๋ยก็คงสู้เยี่ยหลีไม่ได้
หานหมิงเย่ว์รู้จักสตรีที่ตนหลงรักผู้นี้ดีเสียยิ่งกว่าผู้ใด ว่านางเป็นคนเช่นไร ยามเขาตื่นจากฝันกลางวันยังถึงขั้นถามตนเองในใจว่า ที่ตนทำทั้งหมดนี้มันคุ้มกันหรือไม่ แต่ทว่า… “ให้คนจับตาดูจวนผู้ว่าการไว้ หากมีความเคลื่อนไหวอันใดรีบมารายงานทันที”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” ชายในชุดเทาก้มหน้าลงด้วยความเคารพ
หานหมิงเย่ว์นิ่งคิดเล็กน้อย ถอนใจทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เตรียมตัวที ข้าจะไปซิ่นหยางด้วยตนเอง”
ชายในชุดเทาอึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “คุณชายโปรดใคร่ครวญให้ดี ยามนี้เมืองซิ่นหยางปิดประตูอย่างแน่นหนา คิดจะเข้าจะออกนั้นไม่ง่ายนะขอรับ”
หานหมิงเย่ว์เอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ไปเตรียมตัวเถิด”
“…ขอรับ ข้าน้อยรับบัญชา”
“พระชายา หลายวันนี้ทัพใหญ่ของซีหลิงยังคงปักหลักอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกไปยี่สิบลี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อลอบนำกำลังทหารเกือบสองแสนนายเดินทางอ้อมลงใต้ ดูเหมือนจะไปรวมกำลังเข้ากับทัพทางใต้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยคาดเดาว่า ซีหลิงอาจคิดอ้อมไปปิดท้ายกองทัพเราไว้ แล้วโจมตีเมืองซิ่นหยางขนาบหน้าหลังพ่ะย่ะค่ะ”
บนระเบียบทางเดินที่คดไปเคี้ยวมาของจวนผู้ว่าการ เยี่ยหลีเดินไปพลาง ฟังจั๋วจิ้งที่เดินตามอยู่ด้านหลังเอ่ยรายงานไปพลาง เมื่อได้ยินสิ่งที่จั๋วจิ้งกล่าว คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเล็กน้อย แต่ฝีเท้ายังคงสม่ำเสมอไม่ช้าลงเลยแม้แต่น้อย “ส่งข่าวไปให้ท่านอ๋องด้วยชุดหนึ่ง ทัพซีหลิงที่อยู่นอกเมืองมีความเคลื่อนไหวบ้างหรือไม่”
จั๋วจิ้งเอยว่า “ด้านนอกเมืองหลายวันนี้ ปักปลักทหารอยู่กับที่ไม่มีความเคลื่อนไหวพ่ะย่ะค่ะ”
“เจิ้นหนานอ๋องกำลังทำอันใดหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
คิ้วเข้มของจั๋วจิ้งผูกเข้าหากันแน่น เอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “หลายวันนี้ทัพของซีหลิงปักหลักไม่เคลื่อนไหว เจิ้นหนานอ๋องเองก็ไม่มีข่าวคราวอันใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฝีเท้าเยี่ยหลีชะงักลงเล็กน้อย นิ่งคิดครู่หนึ่งเอ่ยว่า “ให้คนไปสืบที เจิ้นหนานอ๋องยังอยู่ในกองทัพหรือไม่ อีกอย่าง ไปเรียนท่านอ๋องด้วยว่าทางที่ดีให้ท่านระวังเมืองเจียงซย่าไว้สักหน่อย ที่เหลยเถิงเฟิงนำทัพไปทางใต้ ไม่แน่ว่าคิดจะตีขนาบเมืองซิ่นหยาง”
“พ่ะย่ะค่ะ” จั๋วจิ้งพยักหน้ารับคำสั่ง แล้วเอ่ยว่า “หลายวันนี้ท่านที่อยู่ที่เรือนเล็กอาละวาดหนักมาก พระชายาว่าควรจัดการเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีหันมองไปทางเรือนเล็กที่อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ยามเดินอยู่บนระเบียบทางเดินจึงมองไม่เห็นอันใด แต่หลายวันนี้ที่ซูจุ้ยเตี๋ยอาละวาดเอะอะอยู่ภายในเรือนพยายามจะออกมาให้ได้ จะเอานู่นจะเอานี่ไม่ได้หยุดนั้น เยี่ยหลีรับรู้มาโดยตลอด
เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ “นางอยากอาละวาดก็ปล่อยให้อาละวาดไปเถิด มีข่าวหานหมิงเย่ว์บ้างหรือไม่”
จั๋วจิ้งพยักหน้า “เมื่อวานมีข่าวส่งมาว่า พบลูกน้องของหานหมิงเย่ว์ที่เป็นคนของเทียนอี้เก๋ออยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้เมืองซิ่นหยางพ่ะย่ะค่ะ แต่ยามที่ตามไปถึงนั้นพบเพียงบ้านว่างเปล่าไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นแล้ว พระชายาคาดเดาได้ถูกต้อง หานหมิงเย่ว์อยู่ใกล้ๆ เมืองซิ่นหยางนี่เองพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อย เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “บางทียามนี้เขาอาจเข้าเมืองมาแล้วก็เป็นได้ ขอเพียงเข้ามาแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหาเขาไม่พบ ซิ่นหยางในยามนี้ไม่เหมือนกับในอดีตเสียด้วย”
เดิมทีเมืองซิ่นหยางนั้นมีประชากรอยู่จำนวนมากและหลากหลาย แต่ในยามนี้ นอกจากทหารแล้วก็ไม่มีชาวบ้านธรรมดาเหลืออยู่สักเท่าใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อค้าที่เดินทางเข้าออกเลย คณะของหานหมิงเย่ว์หากคิดจะกลบเกลื่อนร่องรอยก็คงจะไม่ง่ายนัก
“ระวังภายในจวนผู้ว่าการไว้ให้ดี อย่าให้คนบุกเข้ามาจับคนออกไปได้เชียว หากพบร่องรอยของพวกหานหมิงเย่ว์เมื่อใด ให้ปิดตายเมืองซิ่นหยางทันที ให้เข้าได้แต่อย่าให้ออกไปโดยเด็ดขาด หานหมิงเย่ว์คงไม่คิดว่าเมืองซิ่นหยางจะเข้ามาได้ง่ายๆ เช่นนั้นกระมัง” หากนางมิได้คิดที่จะให้ใครบางคนเข้ามาติดกับเองแล้ว แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าได้คิดจะบินออกไปจากเมืองซิ่นหยางนี้เลย
จั๋วจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พระชายาโปรดวางใจ บางทีพวกเราอาจไม่เก่งเรื่องการซ่อนหัวซ่อนหางอย่างหานหมิงเย่ว์ แต่หากหานหมิงเย่ว์คิดจะฉกคนไปจากมือพวกเราแล้ว เกรงว่าก็คงไม่ง่ายเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า หยุดยืนที่หน้าประตูห้องหนังสือที่ตนเพิ่งจัดแต่งใหม่ แล้วเอ่ยกับจั๋วจิ้งว่า “ไปจัดการธุระเถิด”
จั๋วจิ้งโค้งตัวลา เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ก็เห็นม่อซิวเหยากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หลังโต๊ะหนังสือ นางจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หลายวันนี้ม่อซิวเหยายุ่งไม่ได้หยุด ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันมาสองวันแล้ว
ม่อซิวเหยาวางหนังสือในมือลง หัวเราะเบาๆ “ทำไมหรือ อาหลีไม่อยากเห็นหน้าข้าหรือ”
เยี่ยหลีมองค้อนเขาเล็กน้อย “ข้าให้จั๋วจิ้งส่งของไปให้ท่าน แต่ท่านกลับอยู่ที่นี่ ไม่ทำให้เขาไปเสียเที่ยวหรือ”
ม่อซิวเหยาอมยิ้มลุกขึ้นเดินมาจูงนางให้ไปนั่งลงด้วยกัน “เป็นข้าที่ไม่ดีสินะ มีเรื่องสำคัญอันใด อาหลีบอกข้ามาเลยก็ได้ นานๆ ทีข้าจะแอบอู้มาหาอาหลีได้เชียวนะ”
เยี่ยหลีเอามือนวดหว่างคิ้ว ได้แต่เหลือบมองม้วนกระดาษและฎีกาบนโต๊ะ “ท่านอ๋องยังมีเวลามาอู้อีกหรือ น่าเสียดายที่ข้ากลับยุ่งไม่ได้หยุด”
ม่อซิวเหยามองสิ่งที่อยู่บนโต๊ะแล้วขมวดคิ้ว เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “เหตุใดถึงได้มีงานมากมายเช่นนี้ คนข้างกายอาหลียังมีไม่พอใช้สินะ ข้าส่งคนมาให้เจ้าเพิ่มอีกสามสี่คนดีหรือไม่”
เยี่ยหลีโบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าเองก็ยุ่งไม่น้อย ยามนี้เมืองซิ่นหยางมีเรื่องรอให้จัดการอยู่มากมาย ช่วยไม่ได้ที่ข้าจะยุ่งบ้าง ไว้อีกสักพักคงดีขึ้น อีกไม่กี่วันเรื่องหานหมิงเย่ว์ก็น่าจะเรียบร้อย ถึงเวลานั้นองครักษ์ลับสี่คงกลับมา คนข้างกายข้าก็จะพอใช้แล้ว”
ม่อซิวเหยาโอบกอดนางไว้ ก้มลงเอ่ยด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “หากรู้แต่แรกว่าอาหลีฝึกคนเก่งเช่นนี้ ตอนนั้นข้าก็ลืมไป น่าจะส่งองครักษ์ลับหญิงให้อาหลีแทน”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “นี่ท่านอ๋องกำลังหึงหรือ”
“ภรรยาช่างหลักแหลมนัก” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นเบาๆ
เยี่ยหลีส่งเสียงหึเบาๆ “นับวันท่านอ๋องยิ่งเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ นะเพคะ ยามนี้หึงได้แม้แต่กับคนข้างกายข้า?”
ม่อซิวเหยาถอนใจอย่างตัดพ้อ เขาเองก็ไม่อยากให้ตนเองเป็นสามีที่ขี้หึงเสียหน่อย แต่อาหลีกลับเป็นที่สะดุดตามากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเวลาที่ตนได้อยู่กับเยี่ยหลีก็น้อยกว่าพวกจั๋วจิ้ง ฉินเฟิงอยู่มาก ที่สำคัญที่สุดคือ จนถึงยามนี้ อาหลีก็ยังไม่เคยบอกว่ารักเขาเลย… กลับไปนี้พวกจั๋วจิ้งก็ควรถึงเวลามีครอบครัวได้แล้ว…
“หากงานล้นมือเกินไป ก็ให้พี่รองมาช่วยเจ้าเถิด”
เยี่ยหลีถึงกับกรอกตาบน “พี่รองมาในฐานะของทหารผู้สังเกตการณ์ของทัพใหญ่ ให้มาอยู่เสียกับข้า ใช้ได้ที่ใดเพคะ”
“ก็ถ้าเป็นพี่รองข้าวางใจได้นี่” ม่อซิวเหยาเอ่ยเบาๆ
“…”