ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 166-1 สงคราม (2)
การจัดขวนทัพทหารนั้นมิใช่เรื่องที่จะเรียนรู้กันได้อย่างถ่องแท้ภายในเวลาอันรวดเร็ว อย่างน้อยในยามนี้ที่เยี่ยหลีตัวอยู่ในสนามรบก็ยากนักที่จะช่วยเหลืออันใดเฟิ่งจือเหยาได้ ต่อให้นางพอมองเข้าใจ และสามารถคิดสิ่งใดออกได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจให้กองทัพตระกูลม่อที่ต่อสู้อยู่ในการรบอันดุเดือดรับคำสั่งตามที่นางต้องการภายในเวลาอันรวดเร็วได้
อีกอย่าง มือใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่สังเวียนการรบอย่างเยี่ยหลี ถึงอย่างไรก็ไม่อาจหยิ่งทระนงจนคิดว่าตนเองสามารถจัดการขบวนทัพได้เก่งกาจกว่าเจิ้นหนานอ๋องที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามแห่งซีหลิง
เยี่ยหลียืนนิ่งอยู่ด้านบนเป็นนาน จับจ้องการสู้รับทางด้านล่างตาไม่กะพริบ เมื่อเปลี่ยนกระบวนทัพกันไปหลายรูปแบบ ในที่สุดกองทัพตระกูลม่อก็ค่อยๆ เสียรูปขบวน ตกเข้าไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารซีหลิง
“พระชายา…” ฉินเฟิงขมวดคิ้ว คิดอยากพูดอันใดสักอย่างด้วยความร้อนใจ เขาอยู่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาก่อน แต่ก็มิใช่ผู้บัญชาการสูงสุดของเฮยอวิ๋นฉี อีกทั้งความรู้ในเรื่องรูปแบบขบวนทัพของทหารม้าก็มีไม่มากนักอยู่แล้ว เขาจึงไม่ถ่องแท้ในเรื่องเหล่านี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุที่ทำให้เขามองไม่ออกว่า สถานการณ์รบของกองทัพตระกูลม่อดูจะตกเป็นรองเข้าไปทุกที
เยี่ยหลียกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาพูดสิ่งที่คิด นางก้มหน้าลงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “เฟิ่งซานมิใช่คู่ต่อสู้ของเหลยเจิ้นถิงจริงๆ วันนี้พอเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน”
ศึกครานี้ถึงจะดูดุเดือด แต่เอาเข้าจริง ทั้งสองฝ่ายต่างก็มิได้บุกเข้าใส่กันอย่างเต็มกำลัง เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น
ฉินเฟิงเอ่ยว่า “ทัพของเราตกอยู่ท่ามกลางกองทัพของซีหลิงเสียแล้ว เกรงว่าคงจะฝ่าออกมาไม่ได้เช่นนั้น พระชายา…พระชายามีวิธีฝ่าทัพออกมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเฟิ่งมองเยี่ยหลีด้วยสายตามีความหวังประหนึ่งเป็นความเคยชิน เขามาติดตามเยี่ยหลีได้ไม่นานนัก แต่พวกเขาก็ถือเอาชายาติ้งอ๋องเป็นคนที่เก่งกาจไปเสียทุกเรื่องโดยไม่รู้ตัว
เยี่ยหลีส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เรื่องขบวนทัพนั้น ข้าเองก็มีความรู้ไม่มากนักจริงๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเฟิงเองก็รู้สึกหมดหวัง ต่อให้พระชายาเก่งกาจเพียงใด แต่ก็มีอายุเพียงสิบกว่าปี จะรอบรู้ไปเสียทุกอย่างได้อย่างไร แม่ทัพจำนวนมากใช้เวลาหลายสิบปี ก็ใช่ว่าจะเชี่ยวชาญการรบอย่างทะลุปรุโปร่ง ครานี้คนที่เหลืออยู่รอบตัวพระชายาก็มีแต่ผู้บัญชาการทหารที่อายุยังน้อย คนที่พอมีประสบการณ์อย่างหนานโหว เยี่ยหลีก็ส่งเขาไปทำภารกิจอื่นเสียแล้ว อีกอย่าง ในสายตาของฉินเฟิง ต่อให้หนานโหวอยู่ที่นี่ แต่ก็เกรงว่าคงจะรับมือเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงไม่ได้อยู่ดี
เยี่ยหลีนวดนิ้วมือเบาๆ อย่างใช้ความคิด ก่อนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อ…ใช้ทักษะและความรู้แก้ปัญหาไม่ได้ เช่นนั้นคงทำได้เพียง…ใช้กำลังเข้าแก้”
ฉินเฟิงอึ้งไป ไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยหลีสักเท่าไร เห็นเพียงเยี่ยหลีค่อยๆ เดินลงจากแท่นสูง เข้าไปหาเฟิ่งจือเหยาที่ยืนสังเกตการณ์การรบอยู่บนกำแพงเมือง
ในขณะที่ฉินเฟิงยังไม่ทันได้ใคร่ครวญอันใดนั้น ก็มีลูกไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นบนอากาศ พร้อมกับเสียงที่แหลมบาดหู จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าม้าพร้อมความสั่นสะเทือนที่แรงไปถึงฟ้าดังมาจากมุมทางตะวันตกเฉียงใต้ ประหนึ่งพายุหมุนลูกสีดำที่พัดพาไปทั่วสมรภูมิรบ
ในชั่วเวลาเดียวกันนั้นเอง กองทัพตระกูลม่อที่ถูกทัพซีหลิงแยกกระจัดกระจายออกเป็นสี่ห้าส่วน ก็กับเข้าประสานกันภายในชั่วพริบตา เพื่อฝ่าวงล้อมจากใจกลางกองทัพศัตรูออกมา อีกทั้งยังได้ร่วมสร้างขบวนทัพกับเพื่อนนายทหาร เป็นรูปธนูขนาดใหญ่อันคมกริบ แทงทะลุผ่านขบวนทัพขนาดใหญ่มหึมาของซีหลิงออกมาได้
ส่วนหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่เพิ่งเข้ามาเมื่อครู่ ก็มิได้อลหม่านอยู่กับการรบราฆ่าฟัน หรือรีบถอยหนีออกไป แต่พวกเขาวิ่งวนไปมาอยู่ในสมรภูมิรบ จนทำให้รูปขบวนที่เคยเป็นระเบียบ แตกกระจายออกไปเป็นหลายส่วนทันที
เบื้องหลังทัพใหญ่ของซีหลิง ที่มีกลุ่มคนยืนดูอยู่ บรรดาผู้บัญชาการทหารของซีหลิงเมื่อเห็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหันเช่นนั้น ก็ต่างมีสีหน้าตกอกตกใจ “นี่มันขบวนทัพอันใดกัน!”
เจิ้นหนานอ๋องหุบยิ้มบนใบหน้าลง ทอดสายตามองไปบนกำแพงเมืองอย่างใช้ความคิด “นี่มันขบวนทัพอันใดกัน!” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพอันทรงพลังแล้ว ขบวนทัพอันใดก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น
ความสามารถที่แท้จริงของกองทัพตระกูลม่อ เอาเข้าจริงแล้วยังเหนือกว่ากองทัพซีหลิงขั้นหนึ่ง ที่ต่างกันก็มีเพียงกำลังทหารและผู้บัญชาการทหารที่เก่งกาจเท่านั้น เมื่อเขาคิดจะต่อสู้กับกองทัพตระกูลม่อแล้ว เขาก็เตรียมพร้อมที่จะสูญเสียสิ่งที่ควรเสียไป ยามนี้เมื่อมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีใหม่เข้ามาเพิ่ม จะแพ้หรือชนะนั้นก็ยากจะคาดเดาได้
ผู้บัญชาการทหารที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยแนะนำขึ้นว่า “ให้ทัพหลังกดดันเข้าไปกำจัดกองทัพตระกูลม่อด้านนอกเมืองให้สิ้นซากดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้นหนานอ๋องส่ายหน้า “ไม่ทันแล้ว พวกมันเตรียมถอนกำลังแล้ว”
และก็เป็นอย่างที่เจิ้นหนานอ๋องพูด จากนั้นก็ได้ยินเสียงกลองถอนกำลังดังมาจากเมืองหงโจว และประตูเมืองหงโจวก็เปิดออกในทันที กองทัพตระกูลม่อที่เมื่อครู่เพิ่งฝ่าออกไปจากวงล้อมของทัพซีหลิงมาได้ กรูกันเข้าเมืองภายใต้การคุ้มกันของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีทันที หน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่รั้งอยู่ด้านหลังเองก็ควบม้ามุ่งหน้าเข้าเมืองเช่นกัน โดยมีห่าธนูของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่ประจำการอยู่บนกำแพงเมือง ยิงเข้าใส่ทหารซีหลิงที่ไล่ตามหลังมา
เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ผู้บัญชาการหทารที่อยู่ข้างเจิ้นหนานอ๋องก็ต่างพากันสบถออกมา “คนตงฉู่ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี เอาชนะพวกเราไม่ได้ก็หนีไปเสียอย่างนั้น!”
เจิ้นหนานอ๋องมิได้โกรธ แต่กลับหัวเราะออกมา “เมื่อเอาชนะไม่ได้ ก็ย่อมต้องหนี เพียงแต่…ที่เยี่ยหลีทำเช่นนี้ทำให้ข้าเข้าใจเรื่องหนึ่งว่า ในเมืองหงโจวนั้น…ไม่มีผู้บัญชาการทหารที่สามารถแบกรับภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงได้แล้ว จะอาศัยเพียงเฟิ่งจือเหยาคนเดียวน่ะหรือ ไว้ลับฝีมือให้คมกว่านี้อีกสักสามสี่ปี บางทีอาจจะรับหน้าที่นี้ได้ แต่ตอนนี้ยังไก่อ่อนไปสักหน่อยนะ”
ผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างนิ่งคิด จะมิใช่ได้อย่างไร กำลังทหารทั้งสองฝ่ายมีพอๆ กัน แต่สุดท้ายคนตงฉู่กลับต้องให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเข้าช่วยถึงสามารถถอนกำลังกลับเข้าเมืองไปได้ หากมิใช่ในกองทัพไม่มีคนมีความสามารถแล้ว จะหมายความเช่นไร
“ม่อซิวเหยาต้องสู้ศึกกับกองทัพทั้งสามฝ่ายพร้อมๆ กัน ต่อให้ม่อซิวเหยาเก่งกาจเพียงใดก็คงดูแลไม่ไหว เกรงว่าผู้บัญชาการกองทัพตระกูลม่อคงจะติดตามม่อซิวเหยาข้ามด่านไปหมดแล้ว”
“ก็คงเป็นเช่นนั้น นี่ม่อซิวเหยาถึงขึ้นยกพื้นที่ในเขตซีเป่ยให้สตรีนางหนึ่งเป็นผู้ดูแล แค่นี้ก็รู้แล้วว่ากองทัพตระกูลม่อไม่มีผู้ใดแล้วจริงๆ!” ความเห็นของผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
เจิ้นหนานอ๋องหันมองไปทางร่างในชุดสีอ่อนบนกำแพงเมืองอีกครั้ง หลายวันนี้ กองทัพตระกูลม่อสู้ไปถอยไปอยู่ทุกวัน ชัยชนะในวันนี้ยิ่งทำให้ผู้บัญชาการทารทั้งหลายของซีหลิงเริ่มรู้สึกดูถูกกองทัพตระกูลม่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่เจิ้นหนานอ๋องที่เป็นหัวหน้าผู้บัญชาการทหารกลับไม่คิดเช่นนั้น ไม่เพียงไม่คิด แต่กลับยิ่งเห็นชายาติ้งอ๋องที่อายุยังน้อยผู้นี้สำคัญขึ้นไปอีก
หลายวันนี้พวกเขาเอาชนะได้ติดต่อกันนั้นไม่ผิด แต่พวกเขากลับไม่ได้อันใดที่จับต้องได้จากเมืองหงโจวเลย ตลอดเส้นทางมานี้ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่สุกพร้อมเก็บเกี่ยวก็ถูกแย่งเก็บไปจนหมดเสียแล้ว แม้แต่พืชพันธุ์จำนวนน้อยนิดที่ไม่อาจแย่งเก็บไปได้ ก็ถูกเผาเสียจนราบไปหมด หลายวันนี้ที่กองทัพตระกูลม่อพยายามต้านทัพ สู้บอกว่าคอยขัดแข้งขัดขาพวกเขาเพื่อให้ชาวบ้านในหงโจวชิงเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ไปได้ก่อนเสียยังดีกว่า
ตามรายงานข่าวที่เขาได้รับมา เยี่ยหลีถึงขั้นส่งทหารในกองทัพตระกูลม่อ มาช่วยชาวบ้านเก็บเกี่ยวผลผลิตเสียด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ยิ่งเป็นตัวเร่งให้พวกเขาต้องตีเมืองหงโจวมาไว้ในมือให้จงได้ ด้วยเพราะอีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้ ซีเป่ยจะเข้าสู่ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บจริงๆ แล้ว ถึงเวลานั้นหลายพื้นที่คงเต็มไปด้วยหิมะ ปิดเส้นทางการเดินทาง ต่อให้มีเสบียงอาหาร ก็ใช่ว่าจะเดินทางต่อไปได้ และเสบียงอาหารและยุทธปัจจัยที่พวกเขามี ก็ไม่มีทางเพียงพอไปถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าอย่างแน่นอน
ยิ่งเข้าใกล้หงโจว เจิ้นหนานอ๋องก็ยิ่งรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง กองทัพตระกูลม่อตั้งใจล่อพวกเขาให้เคลื่อนทัพเข้ามาในหงโจว แต่เขายังไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของกองทัพตระกูลม่อหรือจะพูดอีกอย่าง ก็คือจุดประสงค์ของเยี่ยหลี
เบื้องหลังหงโจว คือพื้นที่โล่งกว้างภายในด่าน ดูจากหลายวันนี้ เยี่ยหลีก็มิได้มีความมั่นใจว่าจะจำกัดพวกเขาให้อยู่นอกเมืองหงโจวได้ กองทัพตระกูลม่อในยามนี้ แม้แต่ยอดฝีมือในเรื่องการจัดขบวนทัพสักคนก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ
อันที่จริง เจิ้นหนานอ๋องไม่เข้าใจเอาเสียเลย เขาคิดมาตลอดว่าตนคอยระมัดระวังเยี่ยหลีมากพอแล้ว แต่ในยามนี้เขากลับคิดว่าในกองทัพตระกูลม่อไม่มีแม่ทัพที่สามารถบัญชาการรบด้วยตัวคนเดียวได้ ซึ่งถือเป็นการประมาทนางอย่างหนึ่งแล้ว และเขายิ่งไม่คิดว่า สิ่งที่เยี่ยหลีต้องการไม่ใช่การกันทัพซีหลิงให้อยู่นอกเมืองหงโจว แต่เป็น…การกำจัดกองทัพสองแสนนายของซีหลิงให้สิ้นซากในหงโจว!