ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 186-1 รับกลับบ้าน (1)
“ท่านอ๋อง ผู้บัญชาการฉินขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ที่ด้านนอกห้องหนังสือ เอ่ยรายงานด้วยความเคารพ
ภายในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยาที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ลืมตาขึ้นทันที ในแววตาไม่มีรอยง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย เอ่ยเรียบๆ ว่า “ให้เขาเข้ามา”
ไม่นาน ฉินเฟิงก็ลากม่อหวาเข้ามาด้วยความรีบร้อน บนใบหน้ามีความตื่นเต้นและยินดีอย่างเก็บไว้ไม่อยู่
กับคนข้างกายเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาผ่อนปรนให้พวกเขามาโดยตลอด หากมิเช่นนั้นแล้ว ด้วยอารมณ์เขาในยามนี้ หานหมิงซีคงได้ตายไปเสียนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงมิได้สนใจที่ฉินเฟิงเสียมารยาทกับเขา
เขาขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เรื่องอันใดถึงได้ลนลานเช่นนี้”
ฉินเฟิงเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เอ่ยเสียงดังว่า “ท่านอ๋อง มีข่าวของพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป มองเปลวเทียนตรงหน้านิ่งงัน ประหนึ่งไม่รับรู้ว่าฉินเฟิงกำลังพูดอันใด
ฉินเฟิงมีความร้อนใจ จึงเอ่ยซ้ำอีกรอบว่า “ท่านอ๋อง มีข่าวของพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ม่อซิวเหยาถึงเรียกสติกลับมาได้ ดวงตาที่หลุบลงอยู่ครึ่งหนึ่งมีประกายวูบไหว เอ่ยด้วยความสงบว่า “พูดมาให้ละเอียด”
ฉินเฟิงไม่ค่อยเข้าใจอาการสงบนิ่งของม่อซิวเหยาสักเท่าไร แต่ม่อหวาที่ยืนอยู่ด้านหลังเขากลับเห็นมือของท่านอ๋องที่กำแน่นอยู่บนโต๊ะ กำลังสั่นไหว จึงรีบก้าวเข้าไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
ซูจุ้ยเตี๋ยที่ถูกฉินเฟิงสอบปากคำ ถึงแม้จะไม่ได้คายความจริงทั้งหมดออกมา แต่ก็เพียงพอให้พวกเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับถานจี้จือไปไม่น้อย ดังนั้นจุดนัดพบทั้งหมดในซีเป่ยของถานจี้จือ จึงรวมอยู่ในจุดที่องครักษ์ลับเฝ้าระวังอยู่ เพียงแต่พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่า พระชายาจะไปตกอยู่ในมือของถานจี้จือ ทั้งยังมาปรากฏตัวพร้อมกันที่เมืองเล็กๆ ไม่ไกลจากหรู่หยางอีกด้วยและและยังส่งจดหมายลับให้พวกเขาจนสำเร็จอีกด้วย
ม่อซิวเหยารับใบสั่งยานั้นมา รหัสลับบนกระดาษ ฉินเฟิงนำไปเขียนบนมุมหนึ่งของกระดาษเรียบร้อยแล้ว เครื่องหมายหน้าตาประหลาดจำนวนหนึ่ง เขียนรวมกันขึ้นเป็นตัวอักษรสองบรรทัด ม่อซิวเหยาเคยเห็นรหัสเหล่านี้ผ่านตาในตำราของหน่วยกิเลน แต่ไม่เคยศึกษาอย่างจริงจัง
เขาเลื่อนสายตาไปทางฉินเฟิง ยามนี้ฉินเฟิงเพิ่งสงบจิตสงบใจตนลงได้ แต่ในแววตายังมีประกายคมกล้าอยู่ “พระชายาบอกว่าปลอดภัยดีทุกอย่าง ขอท่านอ๋องไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
“ปลอดภัย…ไม่ต้องเป็นห่วง…” ม่อซิวเหยาหลับตาเงยหน้าพิงพนักเก้าอี้ พักใหญ่ถึงได้ลุกยืนขึ้น เอ่ยสั่งการว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป รีบเดินทางไปรับตัวพระชายากลับมาเดี๋ยวนี้”
“ท่านอ๋อง!” ม่อหวาก้าวเข้าไปขวางหน้าม่อซิวเหยาไว้ พร้อมสายตาไม่เห็นด้วย “ท่านอ๋อง ให้พวกข้าน้อยเดินทางไปรับตัวพระชายาเองก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องอยู่ดูแลเมืองหรู่หยางจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง วันนี้ก็เป็น…วันขึ้นสิบห้าแล้ว…”
ฉินเฟิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงพอดี ท่านอ๋องไม่ควรเดินทางไปไหนตามใจ จึงรีบเอ่ยสำทับว่า “ที่ผู้บัญชาการม่อพูดมานั้นมีเหตุผล ท่านอ๋อง ข้าน้อยขออาสาเดินทางไปรับตัวพระชายากลับมาพ่ะย่ะค่ะ!”
ม่อหวาก็ก้าวขึ้นมาเอ่ยว่า “ข้าน้อยก็ยินดีไปพ่ะย่ะค่ะ!”
ม่อซิวเหยาโบกมือ เอ่ยเสียงขรึมว่า “พอแล้ว ข้ารู้ตัวดี ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เตรียมออกเดินทางในอีกหนึ่งเค่อ ฉินเฟิง เจ้านำคนเดินทางไปกับข้าด้วย”
ถึงแม้จะเป็นห่วงสุขภาพของม่อซิวเหยา แต่ความปลอดภัยของเยี่ยหลีทำให้ทุกคนต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ฉินเฟิงลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนรับคำสั่งแล้วหมุนตัวเดินออกไป
ด้านนอกประตู พวกจั๋วจิ้งที่เพิ่งได้รับข่าว รีบร้อนตามมายืนรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นฉินเฟิงเดินออกมา ก็รีบก้าวเข้าไปหา
ฉินเฟิงพยักหน้าให้ทั้งสาม ก่อนรีบร้อนไปจัดการธุระของตนต่อ
พวกจั๋วจิ้งทั้งสามคนต่างก็อึ้งไป นัยย์ตามีประกายตื่นเต้นยินดีสะท้อนออกมา หลินหานถึงกับขอบตาแดงอย่างอดไม่อยู่ แต่ก็หาได้สนใจไม่ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีอย่างไม่ได้เห็นมานาน
เช้ามืดวันต่อมา เยี่ยหลีตื่นขึ้นมาเก็บของจนเรียบร้อยตั้งแต่เช้า อันที่จริงเยี่ยหลีนอนเกือบไม่หลับเลยทั้งคืน ตั้งแต่ที่ท่านหมอหลินถูกถานจี้จือพาตัวออกไป เยี่ยหลีก็ไม่ได้ยินเสียงเขากลับมาอีกเลย ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกับถานจี้จือเพียงไม่กี่วัน แต่ก็เพียงพอให้เยี่ยหลีรู้จักบุรุษผู้นี้ดีว่าเขามีจิตใจที่โหดเ**้ยมเพียงใด ซึ่งทำให้เยี่ยหลีอดเป็นห่วงชายชราที่เคยช่วยชีวิตตนกับลูกไว้ไม่ได้
นางนั่งอยู่ในโถงดอกไม้ได้พักหนึ่ง ถานจี้จือก็พาซูม่านหลินเดินเข้ามา เมื่อเห็นเยี่ยหลีดูมีท่าทีเหนื่อยอ่อน ก็อดเอ่ยกลั้วหัวเราะออกมาไม่ได้ว่า “เป็นอย่างไร เมื่อคืนชายาติ้งอ๋องไม่ได้พักผ่อนให้ดีหรือ อีกเดี๋ยวก็จะเดินทางออกจากหรู่หยางแล้ว พระชายาอาลัยอาวรณ์ใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “ท่านหมอหลินเป็นอย่างไรบ้าง”
ถานจี้จือตกใจเล็กน้อย มองประเมินเยี่ยหลีอยู่รอบหนึ่ง แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ที่แท้พระชายาก็เป็นห่วงเขาหรือ อย่าบอกข้าน้อยนะว่า พระชายามีความผูกพันฉันศิษย์และอาจารย์กับบิดาข้าจริงๆ”
เยี่ยหลีเอ่ยกับเขาอย่างสงบนิ่งว่า “ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่ที่ท่านหมอหลินถ่ายทอดวิชาทางการแพทย์ให้ข้านั้นเป็นเรื่องจริง ต่อให้เป็นความผูกพันฉันศิษย์และอาจารย์ แล้วมีอันใดไม่ถูกต้องหรือ”
สีหน้าถานจี้จือที่มองไปทางเยี่ยหลีดูมีความแปลกประหลาดและเยาะหยัน เขาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “จะว่าไป พระชายาช่างดูไม่เหมือนคนในราชวงศ์เอาเสียเลย ยามนี้แม้แต่ตัวเองยังเอาตัวรอดได้ยาก แต่พระชายากลับมีใจคิดเป็นห่วงคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลียิ้มเยาะเรียบๆ “ใต้เท้าถานสามารถเอ่ยตัดขาดความสัมพันธ์กับคนที่มีบุญคุณเลี้ยงดูมากว่ายี่สิบปีได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา ช่างดูเหมือนเป็นคนในราชวงศ์เสียยิ่งกว่าข้าอีกจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นสายเลือดของราชวงศ์ก่อน”
ถานจี้จือถูกเยี่ยหลีพูดจี้ใจดำเช่นนี้ สีหน้าเขาจึงดูย่ำแย่ขึ้นทันที เอ่ยเสียงเย็นว่า “ในเมื่อพระชายาเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกันเถิด”
“เชิญใต้เท้าถานตามสบาย” เยี่ยหลีเพียงเอ่ยเรียบๆ
เมื่อออกมาจากโรงเตี๊ยม ถึงแม้จะมีเพียงเยี่ยหลี ถานจี้จือ และซูม่านหลินสามคนกับบ่าวไพร่อีกสามสี่คน แต่เยี่ยหลีก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่ลอบจับตาดูพวกเขาอยู่อย่างชัดเจน หลายวันนี้ ถึงแม้นางจะถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในเรือน ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ แต่เยี่ยหลีก็พอประมาณได้ว่า ในเรือนหลังเล็กที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในสุดที่นางกับท่านหมอหลินพักอยู่นั้น อย่างน้อยก็มีคนกว่าสิบคนซ่อนตัวอยู่ จึงย่อมไม่ต้องพูดถึงที่อื่นๆ หากองครักษ์ลับใจร้อนบุกเข้ามาเสียก่อน ในเรือนที่เล็กและแคบเช่นนั้น คงได้เกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อออกมายืนด้านนอกโรงเตี๊ยมแล้ว เยี่ยหลีหันกลับไปมองโรงเตี๊ยมผุพังที่รกร้างอีกครั้ง นางยังคงไม่เห็นแม้แต่เงาของท่านหมอหลิน ถานจี้จือยังไม่ได้สมบัติลับที่เขาต้องการ ก็ยังไม่น่าเล่นงานท่านหมอหลินถึงตาย เยี่ยหลีทำได้เพียงนึกหวังในใจ
ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มีทหารกองทัพตระกูลม่อเดินผ่านไปผ่านมาจริงๆ ทั้งหมดต่างเดินสองคนต่อหนึ่งแถว มองดูแล้วไม่เหมือนกำลังมองหาผู้ใดอยู่ แต่ประหนึ่งกำลังเดินตรวจตราธรรมดาเท่านั้น
ถานจี้จือย่อมสังเกตเห็นถึงจุดนี้ เขาขมวดคิ้ว โบกมือให้ซูม่านหลินพยุงเยี่ยหลีขึ้นนั่งบนรถม้าที่จอดอยู่ ไม่นาน รถม้าก็เริ่มเคลื่อนออกไปด้านนอกเมือง
ซูม่านหลินนั่งตรงข้ามเยี่ยหลี มองประเมินนางด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ก่อนหน้านี้ถึงแม้ซูม่านหลินมักเข้าไปค่อนแคะเหน็บแนมนางที่เรือนหลังเล็กอยู่เป็นประจำ แต่ตามปกติมักมีท่านหมอหลินอยู่ด้วยเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้อยู่กันสองต่อสอง
เยี่ยหลีมองหญิงงามตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่
ดวงตาคู่งามของซูม่านหลินยกขึ้นเล็กน้อย ส่งเสียงหึเบาๆ อย่างดูแคลน จ้องหน้าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “ท่านรู้ว่าข้าเป็นใคร?”
เยี่ยหลีหลุบตาลง ข้าไม่อยากรู้สักนิดว่าท่านเป็นใคร “หากแม้แต่ตัวแม่นางหลินเองยังไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
ซูม่านหลินปรายตามองนางอย่างถือดี “ท่านไม่ต้องมาทำเป็นแกล้งโง่ ข้ารู้ว่าท่านเดาฐานะของข้าได้ตั้งแต่แรกแล้ว ชายาติ้งอ๋อง ยามอยู่ที่หนานจ้าว ท่านอ้างตนว่าเป็นคู่หมั้นของสวีชิงเฉินมาหลอกข้ากับนังโง่อันซี ท่านคิดว่าข้าจะขวางท่านไม่ได้หรือ”
เยี่ยหลีเหลือบตาขึ้นมองนาง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เช่นนั้น…ธิดาเทพมีอันใดจะชี้แนะหรือ”
หากเทียบกับองค์หญิงอันซีที่ดูปกครองแคว้นได้อย่างเข้าทีตั้งแต่อายุยังน้อยแล้ว เยี่ยหลีดูไม่ออกจริงๆ ว่า ซูม่านหลินที่อยู่ตรงหน้านางผู้นี้มีสิทธิ์อันใดไปเรียกอีกฝ่ายว่านังโง่ หรือแท้จริงแล้วคนโง่เง่าที่แท้จริงมักคิดว่าผู้อื่นนั้นโง่เง่า?
“ท่านรู้ว่าข้าอยากพูดเรื่องใด หากรู้ว่าควรทำเช่นไรก็นั่งหุบปากของเจ้าให้ดีก็แล้วกัน มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” ซูม่านหลินเอ่ยขู่เสียงขรึม
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว นางย่อมเข้าใจว่าที่นางพูดนั้นหมายถึงเรื่องใด ที่แท้นางก็ลอบตอแยพี่ใหญ่ลับหลังถานจี้จืออย่างนั้นหรือ ซูม่านหลินถึงขั้นกลัวถานจี้จือ จุดนี้ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เพราะไม่ว่าในสายตาของผู้ใด ต่อให้ถานจี้จือมีฐานะเป็นสายเลือดของราชวงศ์ก่อน แต่ในยามนี้เขาก็เป็นเพียงคนเดินหนังสือของฮ่องเต้ เป็นเพียงคนที่อยากได้เงินไม่มีเงิน อย่างได้อำนาจไม่มีอำนาจ อยากได้คนไม่มีคนเท่านั้นเอง
ส่วนซูม่านหลิน นางเป็นถึงธิดาเทพแห่งหนานเจียง ไม่ว่าจะเรื่องฐานะหรืออำนาจก็ดูจะสามารถต่อกรกับรัชทายาทหญิงแห่งหนานเจียงได้เลยทีเดียว ซ้ำยังมีหนานจ้าวอ๋องและม่อจิ่งหลีคอยลอบหนุนหลัง ต่อให้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันอย่างไร ก็ควรเป็นถานจี้จือที่ยอมอ่อนให้ซูม่านหลินถึงจะถูก ดูท่า ที่นางประเมินเขาไว้จากสิ่งที่เขาทำในสุสานหลวง คงจะต่ำเกินไปเสียแล้ว