ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 195-2 งานเลี้ยงต้อนรับ
เต๋ออ๋องมองค้อน ส่งเสียงหึเย็นๆ “ออกจากเมืองหลวงมาได้พักเดียว แม้แต่เรื่องพิธีรีตองก็ลืมไปหมดแล้วหรือ ดูท่าที่ฮ่องเต้ตรัสว่าเจ้าไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา คงตรัสได้ถูกต้องแล้ว!”
ม่อซิวเหยามองท่าทางโกรธจนเลือดขึ้นหน้าของเต๋ออ๋องเป็นเรื่องสนุก พิธีรีตอง? คิดอยากจะให้เขาทำความเคารพหรือ ในสายตาของเต๋ออ๋อง ยามนี้ม่อซิวเหยาก็เป็นเพียงสามัญชนที่ถูกฮ่องเต้ถอดบรรดาศักดิ์แล้วเท่านั้น หากว่ากันตามหลักแล้วควรทำความเคารพเขาด้วยซ้ำ เพียงแต่น่าเสียดายยิ่งนัก ตั้งแต่เต๋ออ๋องก้าวเข้ามาในเมืองหรู่หยาง ชะตาก็ได้กำหนดไว้แล้วว่าเขาทำได้เพียงอดกลั้นไว้เท่านั้น
“ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา? เหตุใดข้าถึงจำได้ว่าฝ่าบาทตรัสว่าข้าเป็นกบฏที่คิดคดต่อแคว้นไปได้เล่า หือ เฟิ่งซาน?” เขาเอ่ยเรียบๆ คำพูดของม่อซิวเหยาเป็นคำพูดติดตลก แต่ในแววตากลับมีประกายเย็นแผ่ออกมา
เฟิ่งจือเหยาพัดพัดในมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรียนท่านอ๋อง ราชโองการของฝ่าบาทว่าไว้เช่นนั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“บังอาจนักม่อซิวเหยา! เจ้า…” ท่านอ๋องฟังทั้งสองรับส่งกัน แล้วก็ยิ่งเลือดขึ้นหน้า
“เพล้ง” เสียงของตกแตกดังกลบเสียงโกรธจัดของเต๋ออ๋อง ทุกคนหันมองตามเสียงก็เห็นถ้วยชาหยกขาวที่อยู่ในมือม่อซิวเหยาถูกกำจนแตกละเอียด เศษหยกหล่นกระทบพื้นเกิดเป็นเสียงกังวานใส ม่อซิวเหยาค่อยๆ คลายมือออก เศษผงสีขาวค่อยๆ หล่นจากฝ่ามือเขาลงบนพื้นด้านหน้า
เต๋ออ๋องรู้สึกประหนึ่งมีอันใดขึ้นมาจุกที่คอ ปากอ้าๆ หุบๆ อยู่เป็นนานแต่กลับพูดอันใดไม่ออกแม้สักคำ ได้ยินเพียงม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เต๋ออ๋อง เบาเสียงลงหน่อย หากทำให้ชายารักและซื่อจื่อตกใจ…ข้าคงลำบากใจไม่น้อยจริงๆ”
เต๋ออ๋องอดใจสั่นขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้เหตุใดถึงได้นึกถึงทหารเจ็ดพันนายที่ถูกม่อซิวเหยาตัดหัวไปเหล่านั้น เขาอึ้งไปพักใหญ่ สุดท้ายแล้วเต๋ออ๋องก็ไม่กล้าพูดอันใดออกมาอีก ใบหน้าที่ดูอวบอิ่มเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวแดงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด
ม่อจิ่งอวี๋เหลือบมองทุกคนที่อยู่ในห้องโถง แล้วยิ้มตาม “เสด็จลุงดินทางมาไกล เป็นได้ที่จะอารมณ์เสียไปบ้าง ติ้งอ๋องโปรดอภัยด้วย”
ม่อซิวเหยากวาดตามองเขา ยิ้มแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง เช่นนั้นก็คงด้วยเพราะอากาศร้อน เป็นได้ที่จะอารมณ์ร้อนตามไปด้วย ซีเป่ยหรูหราเทียบเท่าเมืองหลวงไม่ได้ ไว้ข้าจะสั่งให้คนจัดเตรียมอาหารดับร้อนให้เต๋ออ๋องมากหน่อยก็แล้วกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของม่อจิ่งอวี๋ดูแข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย แต่เรื่องที่ควรพูด อย่างไรจะไม่พูดก็คงไม่ได้ เขามองออกแล้ว การให้เสด็จลุงที่เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วมาพูดเรื่องเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจทำให้ม่อซิวเหยาโกรธ และหากถึงเวลานั้นพวกเขาก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตรอดกลับไปเลย
“อากาศในซีเป่ยหนาวเหน็บยิ่งนัก ฤดูหนาวอากาศเย็น ฤดูร้อนก็ร้อนจัด สถานที่ก็ห่างไกล ติ้งอ๋องมาออกศึกเสียนานแล้ว ยามนี้ซีเป่ยก็สงบเรียบร้อยดี เหตุใดติ้งอ๋องถึงไม่รีบถอนทัพกลับราชสำนักเล่า พระชายากับซื่อจื่อน้อยจะได้ไม่ลำบาก?”
“ถอนทัพกลับราชสำนัก?” ม่อซิวเหยาทำประหนึ่งได้ยินเรื่องที่น่าขบขัน เขาเลิกคิ้วขึ้นมองม่อจิ่งอวี๋ ไม่ได้พบกันเสียนาน ม่อจิ่งอวี๋ที่เป็นอ๋องว่างงานผู้นี้ ความสามารถในการพูดปดหน้าตาเฉยของเขาเก่งกาจขึ้นไม่น้อย
ม่อจิ่งฉีออกราชโองการยึดยศถาบรรดาศักดิ์และยึดอำนาจทางการทหารของเขาไปแล้ว หนำซ้ำยังประกาศให้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่าเขาเป็นกบฏคิดคดทรยศต่อแคว้น ยามนี้ม่อจิ่งอวี๋ถึงขั้นบอกว่าเขาควรถอนทัพกลับราชสำนัก? สมองของม่อจิ่งอวี๋มีปัญหาหรือว่าสมองเขาเองที่มีปัญหากันแน่?
สมองของม่อจิ่งอวี๋ไม่ได้มีปัญหา แต่สมองของคนที่อยู่เหนือเขาต่างหากที่มีปัญหา!
ม่อจิ่งอวี๋พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ แต่ในใจกลับนึกสาปแช่งม่อจิ่งฉีไปแล้วไม่รู้กี่รอบ อย่าว่าแต่ม่อซิวเหยาอดรนทนเขาไม่ไหวเลย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้องชายแท้ๆ ที่ตั้งตนเป็นกบฏกับเขาเลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้แต่เขาเองก็คงนึกอยากเป็นกบฏด้วยอีกคนเช่นกัน
เขาเหลือบมองซูเจ๋อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทีหนึ่ง ม่อจิ่งอวี๋หวังแต่เพียงว่า ม่อซิวเหยาจะเห็นแก่หน้าใต้เท้าอาวุโสผู้นี้บ้าง เพราะถึงอย่างไรซูเจ๋อก็ถือว่าเป็นอาจารย์ของเขาอยู่ครึ่งหนึ่ง อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมา ม่อซิวเหยาก็ให้ความเคารพผู้อาวุโสท่านนี้อยู่มากอีกด้วย
ซูเจ๋อเมื่อเห็นผมสีเทาของม่อซิวเหยา ก็ได้แต่ลอบถอนใจหนักๆ ในใจ บรรดาผู้อาวุโสอย่างพวกเขาเรียกได้ว่าเห็นม่อซิวเหยามาตั้งแต่เรกเริ่มที่อาจหาญเกรียงไกรมากับตา ยามนั้นเขาเป็นเด็กหนุ่มที่เปล่งประกายดึงดูดสายตาผู้คน จนมาถึงวันนี้ ม่อซิวเหยาเคยเป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุด และเคยเป็นว่าที่หลานเขยที่เขาฝากความหวังอย่างสูงเอาไว้ จากนั้นช่วงสิบปีมานี้ ก็คอยดูเขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างยากลำบากมาตลอด และเขาก็ไม่อาจช่วยอันใดได้
เรื่องในครานี้ เป็นความผิดของม่อซิวเหยาหรือไม่นั้น ซูเจ๋อไม่รู้ ตระกูลซูห่างจากการเป็นบุคคลสำคัญในราชสำนักมาไกลมากแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ซูเจ๋อรู้ดีอยู่แก่ใจ นั่นคือ ม่อซิวเหยาไม่สามารถกลับเมืองหลวงได้ในยามนี้! ดังนั้น เมื่อเขารับรู้ได้ถึงสายตาของม่อจิ่งอวี๋ที่ส่งมา ซูเจ๋อจึงทำเพียงก้มหน้าลงจิบชาเงียบๆ ประหนึ่งไม่รู้ไม่เห็นกระนั้น
เมื่อซูเจ๋อไม่ยอมเอ่ยปาก ม่อเจียนที่ไม่ค่อยมีบทบาทและคำพูดไม่ค่อยมีน้ำหนักย่อมไม่สามารถพูดอันใดได้ ม่อจิ่งอวี๋จึงได้แต่นึกหัวเสียอยู่ในใจ แต่ก็มิอาจทำอันใดได้
บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ดูหนักอึ้งขึ้นทันที สายตาเรียบนิ่งของเยี่ยหลีค่อยๆ กวาดมองทุกคนเงียบๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ทุกท่านเดินทางมาไกล เชื่อว่าคงเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว เหตุใดถึงไม่ไปพักผ่อนอาบน้ำอาบท่ากันเสียก่อน ไว้มีธุระอันใดค่อยพูดกันเย็นนี้?”
เมื่อไปต่อก็ไม่ได้ ถอยกลับก็ไม่ได้ ม่อจิ่งอวี๋จึงรีบคว้าโอกาศนี้ไว้แทบไม่ทัน เขารีบยิ้มเอ่ยว่า “พระชายากล่าวถูกต้องแล้ว ข้าเสียมารยาทไปเอง”
เมื่อเยี่ยหลีเอ่ยปาก ม่อซิวเหยาย่อมไม่มีอันใดให้พูดอีก เขามองเยี่ยหลีด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแล้วเอ่ยถามว่า “เหนื่อยแล้วหรือ เดี๋ยวข้าส่งเจ้ากลับไปพักก็แล้วกัน”
พูดจบก็ไม่สนใจแขกเหรื่อที่นั่งอยู่ในห้องโถงอีก รีบประคองเยี่ยหลีให้ลุกขึ้น แล้วหันไปสั่งเฟิ่งจือเหยากับเว่ยลิ่นให้ดูแลแขกให้ดีแล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที
เมื่อเห็นม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีหายไปจากปากประตูแล้ว เต๋ออ๋องถึงได้ระบายอารมณ์ออกมา เขาชี้ไปที่ประตู เอ่ยตะกุกตะกักว่า “นั่น…นั่นหมายความเช่นไรกัน”
ม่อจิ่งอวี๋ได้แต่ยิ้มขื่น จับเต๋ออ๋องไว้ แล้วเอ่ยปลอบโยนว่า “ชายาติ้งอ๋องเพิ่งตั้งครรภ์เป็นท้องแรก ทั้งยังเพิ่งแคล้วคลาดกลับมาจากการถูกจับตัวไป ก็เป็นปกติที่ติ้งอ๋องจะต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา เหตุใดเสด็จลุงจึงต้องโกรธเกรี้ยวด้วยเล่า”
เต๋ออ๋องส่งเสียงหึทีหนึ่ง ยกน้ำชาที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นกระดกลงคอ ถึงได้เก็บกลั้นความโกรธในใจกลับลงไป
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “ท่านอ๋องทั้งสอง เดิมทีท่านอ๋องของพวกเราพักอาศัยอยู่ในจวนผู้ว่าการ พื้นที่คับแคบจึงได้จัดเตรียมที่พักให้พวกท่านไว้ที่โรงเตี๊ยม ยามนี้ท่านอ๋องกับพระชายาย้ายเข้ามาที่ตำหนักแห่งใหม่พอดี ขอเชิญท่านอ๋องและใต้เท้าทั้งสองพักอยู่ที่ตำหนักก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
เต๋ออ๋องกรอกตาบนใส่เขา เขาไม่มีทางไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมอยู่แล้ว ตัวเขามีศักดิ์เป็นถึงลุงของฮ่องเต้ ทั้งยังมาด้วยราชกิจ หากถูกจับโยนให้ไปอยู่โรงเตี๊ยม กลับไปเขาคงได้ถูกคนทั้งเมืองหลวงหัวเราะเยาะเอา?
เว่ยลิ่นหันมองทุกคนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนหมุนตัวออกไปสั่งการให้คนเตรียมจัดสถานที่
ยามกลางคืน ภายในเมืองหรู่หยางสว่างไสวไปด้วยโคมไฟ ซึ่งต่างจากยามเช้าที่มีคนอยู่เพียงไม่กี่คนออกไปต้อนรับ แต่ภายในงานเลี้ยงกลับยิ่งใหญ่อย่างสมเกียรติเป็นพิเศษ
งานเลี้ยงต้อนรับจัดอยู่บนกำแพงเมืองทางด้านทิศตะวันตกของเมืองหรู่หยาง ซึ่งอยู่ตรงกับถนนใหญ่เซวียนอู่พอดี เมื่อมองลงมาจากด้านบนจะเป็นฝูงชนยืนกันอยู่เต็มไปหมด ทั้งสองฟากถนนทุกที่ต่างเต็มไปด้วยแสงสีจากโคมไฟ แลดูครึกครื้นผิดหูผิดตา
ด้านบนกำแพงเมืองก็มีสุราและการแสดงอยู่ไม่ได้ขาด ไม่ว่าจะเป็นขุนนางสายบุ๋นสายบู๊ทั้งในเมืองหรู่หยางและในเมืองใกล้เคียง รวมถึงบุคคที่มีชื่อเสียงของเมืองหรู่หยางต่างได้รับเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
ถึงแม้ติ้งอ๋องจะเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองหรู่หยางได้ครึ่งปีแล้ว แต่ชาวบ้านในหรู่หยางที่เคยเห็นติ้งอ๋องตัวเป็นๆ กลับมีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ส่วนชายาติ้งอ๋องก็เรียกได้ว่าไม่เคยแง้มใบหน้าออกมาให้คนนอกได้เห็นเลย ดังนั้นเมื่อได้เห็นติ้งอ๋องในชุดสีขาวขลิบมังกรสีเงินกับผมขาวประหนึ่งหิมะ จับจูงสตรีผู้แสนงดงามในชุดสีฟ้าที่กำลังตั้งครรภ์อยู่หกเดือน กำลังพากันเดินขึ้นบันไดบนกำแพงเมือง ก็ทำให้ทุกคนต่างอึ้งตะลึงไป ภาพที่คนทั้งสองคนหนึ่งในชุดสีขาวคนหนึ่งในชุดสีฟ้าเดินเคียงคู่กันนั้น ยิ่งทำให้ดูกลมกลืนและเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งพวกเขาเป็นเช่นนี้กันมาตั้งแต่เกิดกระนั้น
ม่อซิวเหยาประคองเยี่ยหลีก้าวขึ้นไปยังแท่นด้านบน ก่อนประคองนางให้นั่งลงอย่างระมัดระวัง ด้านล่างมีนายทหารจำนวนมากที่ไม่ได้พบหน้าม่อซิวเหยามานานนั่งอยู่ และยิ่งเป็นทหารที่ก่อนหน้านี้เคยติดตามเยี่ยหลีก็ยิ่งตื่นเต้นยินดีเข้าไปใหญ่ ต่างเอ่ยประสานเสียงขึ้นพร้อมกันว่า “เหล่าข้าน้อยคารวะท่านอ๋องและพระชายา!”
เมื่อได้รับการตะโกนต้อนรับจากทุกคน ขุนนางสายบุ๋นจึงต่างพากันลุกขึ้นทำความเคารพตาม “เหล่าข้าน้อยคารวะท่านอ๋องและพระชายา ยินดีกับท่านอ๋องและพระชายาที่ได้ซื่อจื่อน้อยพ่ะย่ะค่ะ!”
ถึงแม้จะมิได้เฝ้ารอเจ้าตัวน้อยที่แอบอยู่ในท้องอาหลีไม่ยอมออกมาเสียทีสักเท่าไร แต่ยามนี้ม่อซิวเหยาก็อารมณ์ดีไม่น้อย โบกมือเอ่ยว่า “ทุกท่านเชิญตามสบาย”
ในขณะเดียวกัน เสียงที่ดังก้องมาจากด้านบนกำแพงเมืองได้ยินไปถึงประชาชนที่เดินเล่นอยู่ที่ด้านล่าง ก็เห็นว่าชาวบ้านทั้งหลายที่เดิมเล่นสนุกอยู่ที่ด้านล่างนั้น ต่างหันหน้าไปทางกำแพงเมืองและคุกเข่าลง มีคนเอ่ยนำขึ้นว่า “ขอให้ท่านอ๋องและพระชายาพลานามัยแข็งแรงพันปี และยินดีที่พระชายาได้กลับมาอย่างปลอดภัย!”
เมื่อมีคนเอ่ยนำ ชาวบ้านที่เหลือก็ย่อมเอ่ยตาม และ ณ ขณะนั้นเอง เสียงของพวกเขาก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมืองหรู่หยาง
ม่อซิวเหยายกจอกสุราพร้อมลุกยืนขึ้น มองลงไปยังชาวบ้านที่ด้านล่าง แล้วเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “ตามสบาย คืนนี้ขุนนางและประชาชนมาเฉลิมฉลองร่วมกัน เชิญทุกคนตามสบาย ข้าขอดื่มให้พวกท่านหนึ่งจอก”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาพร้อมกำลังภายในดังสะเทือนไปรอบทิศ ประชาชนที่ด้านล่างจึงต่างพากันลุกขึ้น ตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี บรรยากาศจึงยิ่งดูครึกครื้นขึ้นกว่าเมื่อครู่
ด้านบนกำแพงเมือง ทุกคนต่างพากันลุกยืนขึ้นพร้อมถ้วยเหล้า “ขอบพระคุณท่านอ๋อง พระชายา”
เมื่อดื่มเหล้าหมดแล้ว ม่อซิวเหยาจึงนั่งลงแล้วเอ่ยว่า “เชิญทุกท่านตามสบาย ไม่ต้องเคร่งเครียดไป”
การร่ายรำและเสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศด้านบนกำแพงเมืองเป็นไปอย่างกลมเกลียว มีเพียงสีหน้าของเต๋ออ๋องและอวี๋อ๋องที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งแขกด้านหน้าเท่านั้น ที่ดูย่ำแย่เสียเหลือเกิน
ทั้งสองคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ติ้งอ๋องที่ราชสำนักพยายามทำลายชื่อเสียงมาตลอด ใช้เวลาเพียงครึ่งปี ก็สามารถทำให้ขุนนางและประชาชนในเมืองหรู่หยางต่างยอมรับและรักใคร่เขาได้ถึงเพียงนี้
ที่ว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับ สู้บอกว่าม่อซิวเหยาอยากให้พวกเขาและราชสำนักตาสว่างเสียยังดีกว่า