ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 196-1 ออกจากงานไปก่อน
“เต๋ออ๋องเป็นอันใดหรือ ข้าดูสีหน้าเต๋ออ๋องไม่ค่อยดีเลย มีตรงใดที่ข้าละเลยไปหรือไม่” ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประมุข มือหนึ่งประคองเยี่ยหลี อีกมือหนึ่งถือถ้วยเหล้า มองดูสีหน้าเต๋ออ๋องที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้านอบน้อม
เต๋ออ๋องถึงกับสะอึกไป ควรพูดว่า ตั้งแต่เขาเข้าเมืองหรู่หยางมา มีตรงใดบ้างที่เขาไม่ถูกละเลยจะดีกว่า ถึงแม้งานเลี้ยงในคืนนี้จะจัดได้อย่างยิ่งใหญ่และเอิกเกริก แต่ขอเพียงเป็นคนที่มีลูกตา ก็จะมองออกว่า งานเลี้ยงต้อนรับเป็นเพียงสิ่งที่เสริมเข้ามาเท่านั้น แท้จริงแล้วงานเลี้ยงนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับการกลับมาของชายาติ้งอ๋องและซื่อจื่อน้อยในอนาคตที่กำลังจะลืมตาดูโลกเสียมากกว่า
เต๋ออ๋องเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “มิกล้า ข้าจะกล้าว่าว่าติ้งอ๋องละเลยได้อย่างไร”
ม่อซิวเหยาทำประหนึ่งฟังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเต๋ออ๋อง หัวเราะเสียงก้องแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีก็ดี เต๋ออ๋องเดินทางมาลำบากแล้ว คืนนี้เหตุใดถึงไม่ดื่มให้หนำใจเล่า”
ม่อจิ่งอวี๋ที่นั่งอยู่ด้านข้าง เห็นสีหน้าเต๋ออ๋องจะเปลี่ยนอีกครั้ง ก็รีบยื่นมือไปดึงไว้ เอ่ยเสียงต่ำว่า “เสด็จลุง มีเรื่องอันใดไว้ค่อยพูดกันเถิด แสดงความโกรธต่อหน้าผู้คนไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นถึงได้หัวเราะเสียงก้อง เอ่ยว่า “เสด็จลุง ติ้งอ๋องบอกว่าท่านเดินทางมาลำบากแล้ว หลานขอดื่มให้เสด็จลุงหนึ่งจอก”
ม่อซิวเหยากวาดตามองทั้งสองที่มีสีหน้าประหลาด ยิ้มเรียบๆ และไม่ได้สนใจพวกเขาอีก ผินหน้าไปพูดล้อเล่นกับแม่ทัพและขุนนางต่างๆ ที่นั่งถัดลงไปแทน
ม่อจิ่งอวี๋พยายามอย่างมากที่จะข่มความโกรธของเต๋ออ๋องไว้ เอ่ยเสียงต่ำกับเขาด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “เสด็จลุง ใจเย็นก่อน ยามนี้พวกเราอยู่ใต้ชายคา…”
เต๋ออ๋องโพล่งออกมาทันที เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “เช่นนั้นแล้วอย่างไร หรือว่าเขาจะกล้าฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ”
เรื่องนั้นก็ไม่แน่ ม่อจิ่งอวี๋เอ่ยขึ้นในใจ หันไปเอ่ยกับเต๋ออ๋องเสียงเบาว่า “เสด็จลุง ยามนี้ซีเป่ยเป็นเขตแดนของติ้งอ๋อง หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ผู้ใดก็มิอาจทำอันใดเขาได้ ท่านยังจำได้หรือไม่ เดิมทีเรื่องชายาติ้งอ๋อง…ทหารเจ็ดพันคนนั่น ม่อซิวเหยาสั่งฆ่าโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา แล้วฝ่าบาทสามารถทำอันใดเขาได้?” อย่างเก่งก็เพียงออกราชโองการอีกสักสองสามฉบับ ว่ากล่าวม่อซิวเหยาว่าเป็นคนโหดเ**้ยมอย่างไร สังหารผู้บริสุทธิ์อย่างไรเท่านั้น แต่นั่นจะมีประโยชน์อันใด ม่อจิ่งฉีกล้าส่งทหารมาต่อสู้กับม่อซิวเหยาหรือ ราชโองการสองสามฉบับนั่นเมื่ออยู่ที่เขตซีเป่ยนี้แล้ว เกรงว่าคงมีประโยชน์สู้กระดาษแผ่นหนึ่งก็ยังไม่ได้
เต๋ออ๋องสามารถอยู่กับม่อจิ่งฉีที่เป็นโรคขี้ระแวงมาได้นมนานหลายปีเช่นนี้ และยังได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ ย่อมมิใช่คนโง่ เพียงแต่เขาเป็นท่านอ๋องที่อายุมากที่สุดในรุ่นของฮ่องเต้องค์ก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ในยามปกติแม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเรียกเขาว่าเสด็จลุง แต่หลายปีมานี้เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับม่อซิวเหยาตรงๆ เลยสักครั้ง ด้วยสัญชาตญาณเขา เขามักรู้สึกว่าอย่างไรม่อซิวเหยาก็ต้องเคารพเขาอยู่บ้าง อีกทั้งโดยธรรมชาติของเขาก็เป็นคนให้ความสำคัญกับฐานะและหน้าตาอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อถูกม่อซิวเหยาเมินเฉยเช่นนี้ จึงทำให้สงบไว้ไม่ได้เอาเสียเลย
ยามนี้เมื่อได้ยินคำทัดทานของม่อจิ่งอวี๋ และเห็นว่าบรรยากาศด้านบนกำแพงเมืองเต็มไปด้วยความครื้นเครง บรรดาขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก็ฟังคำสั่งของม่อซิวเหยา ในสายตาพวกเขามีตัวแทนพระองค์ฮ่องเต้อย่างพวกเขาเสียที่ใด ด้านบนกำแพงเมืองมีลมเย็นพัดมาหอบหนึ่ง เต๋ออ๋องถึงกับตัวสั่นไปทั้งตัว ประหนึ่งรู้แจ้งขึ้นในทันใด และตกใจจนถึงกับเหงื่อแตกทั้งตัวเลยทีเดียว
สิบกว่าปีมานี้เขาอยู่อย่างสุขสบายมานานเกินไป จนลืมไปเสียนานแล้วว่ายามที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังไม่ขึ้นครองราชย์นั้น ทุกคนต่างแก่งแย่งชิงดีกันอย่างน่าสยดสยองเพียงใด ก็เป็นได้ที่เขาจะรู้สึกถือดีขึ้นมา
ยามนี้เขาได้สติขึ้นมาในทันที จึงเริ่มนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ตนเองทำมาตลอดหลายปี และถึงขั้นเริ่มนึกสงสัยว่า ที่ม่อจิ่งฉีส่งตนมาซีเป่ยนั้นด้วยเพราะไม่ถูกใจอันใดตนหรือไม่ จึงคิดอยากยืมมือม่อซิวเหยากำจัดมาตน
ม่อจิ่งอวี๋มีหรือจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอันใด แต่เมื่อเห็นสีหน้าเขาแล้ว ถึงแม้จะยังดูไม่ดีเท่าไรนัก แต่ก็ดูว่าจะใจเย็นลงแล้ว เขาถึงได้เบาใจแล้วยกจอกเหล้าขึ้นชื่นชมการร่ายรำต่อไป
เยี่ยหลีที่นั่งอยู่ด้านบนย่อมเห็นพฤติกรรมของเต๋ออ๋องและอวี๋อ๋องที่ปฏิบัติต่อกัน นางเห็นเต๋ออ๋องนั่งรินเหล้าเองดื่มเหล้าเองด้วยสีหน้าบึ้งตึง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอวี๋อ๋องพูดอันใด แต่ก็ดูออกว่ากำลังพยายามเกลี้ยกล่อมเต๋ออ๋องอยู่ ในใจลอบหมายหัวเขาไว้ว่า อวี๋อ๋องเป็นคนเจ้าแผนการพอสมควร
“อาหลี เจ้าดูอันใดอยู่หรือ” ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงอมยิ้มมองเยี่ยหลี
เยี่ยหลีส่ายหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่มีอันใด วันนี้ท่านตั้งใจใช่หรือไม่” ตั้งใจที่จะละเลยเต๋ออ๋อง หากมิใช่เพราะมีอวี๋อ๋องคอยห้ามไว้ เกรงว่าเต๋ออ๋องคงระเบิดอารมณ์ไปเสียนานแล้ว
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ยกถ้วยน้ำผลไม้คั้นสดขึ้นส่งให้ถึงปากนาง เอ่ยเรียบๆ ว่า “เต๋ออ๋องผู้นี้ ยิ่งอายุมาก ยิ่งวางตัวไม่เป็น หากไม่กำราบเสียก่อน เขาคงได้เชิดจมูกขึ้นถึงฟ้าแล้ว และข้าเองก็ไม่ชอบถูกคนดูถูกมาแต่ไหนแต่ไร”
เยี่ยหลีจิบน้ำผลไม้ในจอกเหล้า ความเย็นจากน้ำแตงโมและรสหวานอ่อนๆ ถูกปากนางเป็นอย่างยิ่ง
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเบาว่า “แช่แข็งมาอาจจะเย็นไปสักหน่อย แต่ท่านเสิ่นบอกว่า ดื่มสักหน่อยไม่เป็นอันใด เหนื่อยแล้วหรือ หากเหนื่อยแล้วพวกเราก็กลับกันก่อน”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “อีกเดี๋ยวข้ากลับไปเองก็ได้ ท่านออกจากงานไปก่อนจะดีหรือ”
ม่อซิวเหยาก้มหน้าเอ่ยยิ้มๆ ว่า “งานเลี้ยงเช่นนี้จำเป็นต้องให้พวกเราอยู่ตลอดที่ไหนกัน เกรงว่าจะมีแต่พวกเขาอยากให้พวกเราออกไปเร็วๆ จะได้สนุกกันได้อย่างเต็มที่น่ะสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีก็หันมองลงไปยังทุกคนที่อยู่ด้านล่าง ขุนนางสายบุ๋นก็ช่างเถิด นี่แม้แต่แม่ทัพสายบู๊ก็ยังนั่งดื่มเหล้าชมการแสดงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เยี่ยหลีเคยเห็นแม่ทัพสายบู๊เหล่านี้มาก่อน ตามปกติพอดื่มเหล้าขึ้นมาแล้ว ก็ไม่เคยมีเกรงใจ พวกนางอยู่ที่นี่มีแต่จะทำให้พวกเขาเกร็งกันมากกว่าจริงๆ
ม่อซิวเหยาประคองเยี่ยหลีให้ลุกขึ้น ทุกคนที่อยู่ด้านล่างเมื่อเห็นท่านอ๋องและพระชายายืนขึ้น จึงต่างหยุดสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ลงทันที หันมองขึ้นไปด้านบนด้วยความเคารพ
ม่อซิวเหยายิ้ม “ข้ากับพระชายาอยู่ที่นี่ พวกเจ้าก็ทำอันใดกันไม่สะดวก ข้าขอดื่มให้พวกเจ้าอีกจอกหนึ่ง จากนั้นเชิญทุกท่านตามสบายก็แล้วกัน”
พูดจบก็ยกจอกเหล้าขึ้นยื่นไปทางทุกคนพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็กระดกดื่มจนหมด
เยี่ยหลียืนอยู่ข้างม่อซิวเหยา ยกจอกเหล้าในมือขึ้นพร้อมยิ้มน้อยๆ เช่นกัน “ข้าเองก็ขอดื่มให้พวกท่านด้วย เชิญทุกท่านตามสบาย”
ทุกคนเอ่ยขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บัญชาการทหารที่เคยทำศึกร่วมกับเยี่ยหลี ยิ่งดูดีใจเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เยี่ยหลีที่ยืนอยู่ไกลๆ ยังเห็นว่าบนใบหน้าอ่อนเยาว์และหล่อเหลาของอวิ๋นถิงนั้นแดงก่ำ และเอ่ยขอบคุณนางเสียงดังทีเดียว
ม่อซิวเหยาโบกมือให้ทุกคนตามสบาย ก่อนประคองเยี่ยหลีกลับออกไปจากงานเลี้ยง คนที่เหลือจึงเริ่มเฉลิมฉลองกันต่อ ฟังจากเสียงแล้ว ดูครึกครื้นขึ้นไม่น้อยทีเดียว
เมื่อลงมาจากกำแพงเมือง ม่อซิวเหยาสั่งให้องครักษ์ผู้ติดตามและสาวใช้ที่คอยรับใช้ถอยออกไป เขาประคองเยี่ยหลีเดินเรื่อยๆ ไปตามท้องถนน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นต่างพากันออกมาเดินเล่นกันเป็นกลุ่ม โดยมีโคมไฟสองข้างทางคอยให้ความสว่าง
จางอวี้ที่เพิ่งรับตำแหน่งผู้ว่าการคนใหม่ จัดการงานได้ครบถ้วนรอบคอบดีไม่น้อย บนถนนมิได้มีเพียงผู้คนออกมาชื่นชมแสงสีจากโคมไฟเท่านั้น แต่ยังมีการแสดงประเภทต่างๆ คอยดึงดูดความสนใจของผู้คนอีกด้วย หากมิใช่เพราะผมสีขาวของม่อซิวเหยาเป็นที่สะดุดตาเกินไป เกรงว่าที่พวกเขาสองคนมาเดินปะปนอยู่กับฝูงชนเช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดรู้ตัว
เมื่อได้เห็นทั้งสอง ชาวบ้านต่างพากันตกอกตกใจและเข้ามาทำความเคารพกันยกใหญ่
ม่อซิวเหยารีบทำท่าทางบอกว่าทุกคนไม่ต้องตื่นตกใจไป จับมือเยี่ยหลีให้เดินออกไปในที่ที่มีคนน้อย แล้วก้มลงมองผมสีขาวของตนที่หน้าอก “สะดุดตาคนเกินไปจริงๆ ด้วย แค่จะเดินบนถนนเป็นเพื่อนเจ้าก็ยังไม่ได้เลย”
เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นี่ก็แสดงว่าชาวบ้านรักและเคารพท่านอย่างไร น้อยครั้งนักที่ชาวบ้านในเมืองจะได้เห็นท่าน ย่อมต้องสนใจใคร่รู้เป็นธรรมดา เดี๋ยวอีกหน่อยพวกเขาก็ชินเอง”
หากออกจากบ้านแต่ละทีก็มีคนเข้ามาทำความเคารพเช่นนี้ พวกเขาคงไม่ต้องออกไปไหนมาไหนกันแล้ว ยามอยู่ในเมืองหลวงมีขุนนางและคุณหญิงคุณนายอยู่กันเต็มไปหมด หากชาวบ้านเห็นเขาแล้วต้องเข้ามาทำความเคารพกันทุกคน คงทำความเคารพกันไม่หวาดไม่ไหว
ม่อซิวเหยายิ้มมองเยี่ยหลี “ในเมื่อชมเทศกาลโคมไฟไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ค่อยๆ เดินกลับกันเถิด”
ตำหนักติ้งอ๋องอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมากนัก ทั้งสองเดินจับมือกัน ค่อยๆ เดินไปตามถนนที่ไม่มีผู้คนมากนัก คืนนี้ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างไปรวมตัวกันอยู่ที่เทศกาลโคมไฟหมดแล้ว ถนนเส้นอื่นๆ จึงดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ
ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปภายใต้แสงจันทร์ เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “เต๋ออ๋องกับอวี๋อ๋อง ท่านคิดจะจัดการเช่นไร”
ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ อย่างใจเลื่อนลอยว่า “สองคนนี้ไม่มีอิทธิพลอันใดหรอก รอดูว่าพรุ่งนี้เขาจะพูดอย่างไรก็แล้วกัน ม่อจิ่งฉีคิดว่าคนทั้งใต้หล้าเป็นคนโง่ไปหมดหรือไร ยามนี้ส่งคนมาเกลี้ยกล่อมให้ข้าถอนทัพกลับราชสำนัก…หึหึ…”
ม่อซิวเหยาจะไม่รู้เลยจริงๆ หรือว่า ตั้งแต่ที่เขาสังหารทหารเจ็ดพันคนและมาปักหลักอยู่ที่เมืองหรู่หยาง เขาก็กลับไปไม่ได้อีกแล้ว ยามนี้เขารั้งอยู่ที่ซีเป่ย ราชสำนักยังพอรักษาดุลยภาพไว้ได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขากลับไป สิ่งที่รอเขากับกองทัพตระกูลม่ออยู่ คงมีเพียงฎีกาเรื่องที่ตนประพฤติตัวไม่เหมาะสมและคงมีแต่โทษตายสถานเดียว น่าเสียดาย…ยามนี้เขายังไม่นึกอยากตายแม้สักนิดเดียว
หากม่อจิ่งฉีเป็นคนหลักแหลมสักนิด เขาก็ไม่ควรส่งคนมายั่วโมโหเขาอีก การคิดวางแผนเช่นม่อจิ่งฉี ในสายตาของม่อซิวเหยาแล้ว จะนับเป็นพวกหางแถวก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ หากเขาคิดว่า ที่ตำหนักติ้งอ๋องปกป้องคุ้มครองต้าฉู่มารุ่นแล้วรุ่นเล่า เพียงเพราะเพื่อชื่อเสียงว่าตนจงรักภักดีแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็ผิดมหันต์แล้ว
“เช่นนั้น…ใต้เท้าซูเล่า” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงต่ำ
ความเคารพที่ม่อซิวเหยามีต่อซูเจ๋อนั้นเป็นเรื่องจริง การเคารพต่อฟ้า ดิน ประมุข ญาติพี่น้อง ครูอาจารย์นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างครูอาจารย์มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าสิ่งอื่น ถึงแม้เดิมทีม่อซิวเหยาจะถูกซูจุ้ยเตี๋ยหักหลังทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพนั้น แต่หากจะกล่าวว่ามิใช่เพราะเขาเห็นแก่หน้าซูเจ๋อ เยี่ยหลีคงไม่เชื่อ อีกทั้ง บุตรชายและหลานชายคนเดียวของซูเจ๋อ ต่างก็เสียชีวิตเพื่อตำหนักติ้งอ๋อง ด้วยความผูกพันเช่นนี้ ซูเจ๋อในใจของม่อซิวเหยาเกรงว่าคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนในครอบครัว
ม่อซิวเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ผู้อาวุโสซูไม่มีอันใดในเมืองหลวงให้ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว หากเขายินดีที่จะอยู่ซี่เป่ย ข้าย่อมเลี้ยงดูเขาไปจนตาย หากยังวางเรื่องในราชสำนักไม่ลง ก็ส่งคนไปคอยดูแลเขาเงียบๆ ก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ถอนใจออกมาเบาๆ “ท่านก็รู้ว่าที่ข้าพูดถึงมิใช่เรื่องนี้ ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นญาติเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสซู ที่ม่อจิ่งฉีส่งผู้อาวุโสอายุเจ็ดสิบกว่าปีให้เดินทางรอนแรมมาไกลเช่นนี้ เกรงว่าก็คงด้วยเพราะเหตุดนี้กระมัง หลายวันนี้…นักฆ่าที่บุกเข้ามาในจวนกว่าครึ่งก็เป็นคนของม่อจิ่งฉี ดูท่าม่อจิ่งฉีคงคิดต่างกับถานจี้จือ ดูเขาจะไม่อยากให้ซูจุ้ยเตี๋ยตาย”
นัยน์ตาม่อซิวเหยาเป็นประกายแดงวาบ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ซูจุ้ยเตี๋ยอย่างไรก็ต้องตาย ผู้อาวุโสซูไม่มีทางขอร้องแทนนางหรอก”
ซูเจ๋อเป็นคนเถรตรง ที่เกลียดที่สุดก็คือคนทรยศหักหลัง เดิมทีที่ซูจุ้ยเตี๋ยหลบหนีออกไปจากเมืองหลวง ก็เป็นการทำลับหลังซูเจ๋อ และด้วยนิสัยของซูเจ๋อ ก็ไม่มียอมรับซูจุ้ยเตี๋ยเป็นหลานอีกอย่างแน่นอน