ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 198-2 คลื่นใต้น้ำในวังหลวง
รอจนม่อจิ่งฉีก่นด่าระบายความเคียดแค้นในใจออกมาจนหมดแล้ว ก็หันมาเห็นว่าหลิ่วกุ้ยเฟยกำลังนั่งใจลอยอยู่ จึงเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “สนมรักกำลังคิดสิ่งใด”
หลิ่วกุ้ยเฟยหลุบตาลงเอ่ยว่า “วันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี ก็เพราะเรื่องของฮว่ากั๋วกงหรือเพคะ”
ม่อจิ่งฉีส่งเสียหึเบาๆ “ตาเฒ่าฮว่าเฉินเฟิงนั่น ยามนี้ข้าไม่มีเวลาไปสนใจเขา! ยามนี้แล้วแต่ถานจี้จือยังไม่กลับมาอีก คงถูกม่อซิวเหยาลอบฆ่าไปแล้วกระมัง เจ้าพวกเศษสวะเหล่านั้นกลับมาบอกว่า มีหลายคนเห็นถานจี้จือออกมาจากหรู่หยางกับตา ม่อซิวเหยาพัฒนาขึ้นอีกขั้นแล้วหรือ ลูกไม้เล็กๆ พวกนี้ก็คิดจะมาใช้หลอกข้า”
ก่อนหน้านี้หากม่อซิวเหยาไม่ยอมปล่อยถานจี้จือ ย่อมจับตัวเขาไว้เป็นตายอย่างไรก็จะไม่ปล่อย หากเขาคิดจะสังหารถานจี้จือ ย่อมลงดาบได้อย่างเปิดเผย จะพูดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ มาวันนี้ต่อหน้ากลับทำเป็นปล่อยตัวออกมา แต่ลับหลังกลับลงดาบเสียได้ หลายปีมานี้ม่อซิวเหยาถือว่าพัฒนาขึ้นไม่น้อย!
หลิ่วกุ้ยเฟยหลุบตาลงครึ่งหนึ่ง บดบังแววตาของตน “ฝ่าบาทส่งใต้เท้าถานไปซีเป่ย ย่อมคาดเดาได้ว่าเขามีโอกาสจะตกไปอยู่ในมือของติ้งอ๋อง”
ม่อจิ่งฉีสบถออกมาคำหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยความโกรธว่า “ถานจี้จือก็เป็นพวกไร้ประโยชน์! ไม่เพียงแต่ให้ตนถูกม่อซิวเหยาจับตัวไปได้ แม้แต่ชายาติ้งอ๋องที่ตกมาอยู่ในมือแล้วก็ให้ม่อซิวเหยาช่วยไปได้อีก!”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ม่อจิ่งฉีก็โกรธจนปวดตับ หากจับตัวเยี่ยหลีมาได้ ทั้งยังเป็นเยี่ยหลีที่กำลังตั้งครรภ์ได้หกเดือน ม่อซิวเหยาคงต้องยอมทำตามที่เขาสั่งอย่างว่าง่าย? โอกาสที่ดีเช่นนี้ กลับปล่อยให้หลุดมือไปเปล่าๆ จะให้ม่อจิ่งฉีไม่โกรธได้อย่างไร
หลิ่วกุ้ยเฟยเหลือบตาขึ้นเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมาใต้เท้าถานก็เป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงให้ใต้เท้าถานไปยังซีเป่ย…หม่อมฉันก้าวล่วงไปแล้ว ไม่ควรเอ่ยถามถึงเรื่องในราชสำนัก”
ม่อจิ่งฉีโบกมือ “ไม่เป็นไร ข้าย่อมเชื่อใจเจ้า ว่ากันว่าสุสานหลวงของปฐมฮ่องเต้ที่ก่อตั้งแคว้นกับทรัพย์สมบัติอยู่ในเขตซีเป่ย ที่ถานจี้จือไปครานี้ก็ด้วยเพราะเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่า…”
หลิ่วกุ้ยเฟยนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยปากว่า “เช่นนั้น…เวลานี้ทรัพย์สมบัติของราชวงศ์ก่อนจะไม่ไปเป็นของกองทัพตระกูลม่อหมดแล้วหรือเพคะ”
สีหน้าม่อจิ่งฉีเต็มไปด้วยความโกรธ ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ก็เพราะเรื่องนี้น่ะสิ! หากตำราพิชัยและทรัพย์สมบัติของปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนที่เหลือทิ้งไว้อยู่ในซีเป่ยจริง ความสามารถของกองทัพตระกูลม่อคงเหนือขึ้นไปอีกขั้น! ถานจี้จือเจ้าสมควรตาย…”
หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยถามต่อ ประหนึ่งไม่เห็นความโกรธของม่อจิ่งฉี “อีกอย่าง เกรงว่าจะมิได้มีเพียงตำราพิชัยที่ทิ้งไว้กับสมบัติ แต่ยังมี…แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น…”
สีหน้าของม่อจิ่งฉีเปลี่ยนไปทันที ตวัดสายตาไปมองหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าในสุสานหลวงของปฐมฮ่องเต้มีแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นอยู่”
หลิ่วกุ้ยเฟยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองเขา “ในหนังสือประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อน เคยได้รับแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นมาจริง สมบัติราชวงศ์ก่อนที่เหลืออยู่ในวัง ก็มีหนังสือที่ประทับตราสืบทอดแคว้นไว้เป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ตั้งแต่ที่ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนเสด็จสวรรคตไป ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นร่องรอยของแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นอีกเลย เห็นได้ชัดว่าปฐมฮ่องเต้มิได้ส่งต่อให้กับทายาทรุ่นหลัง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…แท่นประทับหยกก็เป็นไปได้มากที่จะอยู่ในสุสานหลวง หากมิใช่เช่นนั้น…ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อน คงโยนแท่นประทับหยกทิ้งแม่น้ำไปเสียแล้วกระมังเพคะ”
ม่อจิ่งฉีมองประเมินหลิ่วกุ้ยเฟยโดยละเอียด ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “น้อยครั้งนักที่สนมรักจะพูดอันใดยาวๆ เช่นนี้ ดูท่า…เจ้าคงโกรธแค้นม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีมากจริงๆ?”
หลิ่วกุ้ยเฟยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย “หรือว่าฝ่าบาทไม่ทรงแค้น?”
ม่อจิ่งฉีพยักหน้าเอ่ยว่า “สนมรักพูดถูกต้องแล้ว ข้าเองก็แค้น!”
หลิ่วกุ้ยเฟยแค้นที่ม่อซิวเหยาไม่รักนาง แค้นเยี่ยหลีที่แย่งความรักทั้งหมดไปจากนาง ส่วนเขาแค้นในความสามารถและชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋อง และยิ่งแค้นที่ม่อซิวเหยาโชคดีเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ เป็นคนที่มีพรสวรรค์และมากความสามารถ
เขาเป็นโอรสของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ส่วนม่อซิวเหยาเป็นเพียงบุตรคนรองของตำหนักอ๋อง แต่ในขณะที่เขาต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในวังด้วยความระมัดระวังตั้งแต่เด็ก ม่อซิวเหยากลับเป็นคนที่คนทั่วทั้งเมืองหลวง รวมถึงพระโอรสต่างแก่งแย่งที่จะเอาอกเอาใจและเป็นมิตรกับเขา
พวกเขาพี่น้องวางแผนใส่กันเพื่อแย่งชิงความรักและเอ็นดูของเสด็จพ่ออย่างเอาเป็นเอาตาย แม้แต่น้องชายร่วมมารดาของตนยังต้องคอยกีดกัน แต่ม่อซิวเหยากลับบ้าระห่ำและเหิมเกริม ไม่ว่าเขาทำเรื่องอะไร ก็จะมีพี่ใหญ่ ม่อซิวเหวินคอยตามหลังเก็บกวาดให้เขาอย่างจนใจ
ในยามที่เขาตั้งใจอ่านหนังสือโดยไม่หลับไม่นอน เค้นสมองเพื่อเขียนบทความวิเคราะห์ด้วยเพราะอยากได้เพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของเสด็จพ่อ ม่อซิวเหยาเพียงยกพู่กันขึ้นมาขีดเขียนเล่นๆ ออกมาเป็นบทความ ก็สามารถเอาชนะใจคนทั้งราชสำนักและได้รับคำชื่นชมไม่ขาดปาก
ช่างต่างกับเขาที่เป็นถึงพระโอรส ที่แม้แต่สตรีที่มีใจรักยังหลงใหลม่อซิวเหยาอย่างไม่ลืมหูลืมตา…ตั้งแต่ยามที่เขายังเป็นพระโอรส เขาก็ได้ลั่นคำสาบานไว้แล้วว่า จะต้องมีสักวันหนึ่ง ที่เขาจะเหยียบม่อซิวเหยาและตำหนักติ้งอ๋องให้จบดิน!
ในขณะที่เขากำลังใคร่ครวญสิ่งที่หลิ่วกุ้ยเฟยคาดเดานั้น สีหน้าม่อจิ่งฉีก็ยิ่งบึ้งตึงลงเรื่อยๆ หากให้ม่อซิวเหยาได้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นไปจริงๆ ถึงเวลานั้นจะไม่กลายเป็น…บัญชาสวรรค์ไปจริงๆ หรือ ดูท่าม่อซิวเหยาคงคิดทำอันใดกับใต้หล้านี้ไว้แล้วแน่ๆ
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ม่อจิ่งฉีย่อมนั่งไม่ติด ลุกยืนขึ้นก้าวเดินออกไปทันที
หลิ่วกุ้ยเฟยก็ไม่เอ่ยรั้งเขา เพียงมองเขาเดินออกจากประตูไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยเท่านั้น
เมื่อได้ยินเสียงออกเดินของขบวนเสด็จ ภายในตำหนักก็เงียบสงัดลงอีกครั้ง
“ท่านไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องตระกูลสวี” เสียงของถานจี้จือดังขึ้นภายในตำหนัก
“เจ้ายังไม่ไปอีก” หลิ่วกุ้ยเฟยหน้าบึ้งลง เอ่ยด้วยความไม่พอใจ
ถานจี้จือรู้ว่าตนไม่เป็นที่ต้อนรับ จึงไม่ฝืน “เดี๋ยวก็จะไปแล้ว ดูท่าฝ่าบาทก็จะสนใจแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นอยู่เหมือนกัน?”
หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงหึเบาๆ “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยบอกเขาเรื่องแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น เจ้าคิดว่าหากเขาตั้งสติได้ เขาจะไม่นึกสงสัยเจ้าหรือ”
ม่อจิ่งฉีทำอื่นใดไม่ค่อยเป็น แต่เรื่องขี้ระแวงนั้นถึอว่าเขาเชี่ยวชาญเป็นที่สุด ขอเพียงมีเงื่อนงำเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าถูกหรือผิดเขาจะนึกระแวงไว้ก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน
ถานจี้จือเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าคอยติดตามรับใช้เขามาสิบปี ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว เตรียมจะเปลี่ยนฐานะตนเองอยู่ ต่อไปเกรงว่าคงไม่มีเวลามาพบพระสนมกุ้ยเฟยมานักแล้ว ช่างตัดใจได้ยากเสียจริง”
“ไสหัวไป!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างเยือกเย็น
ถานจี้จือถอนใจเบาๆ เดินไปข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟยแล้วจับเส้นผมของนางขึ้นมาเอ่ยเสียงเบาว่า “รั่วโยว ไว้รอให้พวกเราได้แผ่นดินในใต้หล้ามาเสียก่อน ข้าจะต้องมอบม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีให้เจ้าจัดการอย่างแน่นอน…”
“ไสหัวไป!”
ภายในเมืองหรู่หยาง
ม่อซิวเหยานั่งพิงพนัก มองเต๋ออ๋องและม่อจิ่งอวี๋ตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย เมื่อคืนวาน ซูเจ๋อเกิดป่วยหนักขึ้นกะทันหัน เช้าวันนี้แม้แต่จะลุกจากเตียงก็ยังไม่ไหว ย่อมไม่อาจมาร่วมในการประชุมครั้งนี้ ส่วนม่อเจียนก็ประหนึ่งถูกผู้คนลืมเลือนไปเสียอย่างนั้น เพียงนั่งเป็นแขกอยู่ด้านข้างเท่านั้น
ไม่ได้พบกันหนึ่งคืน สีหน้าของเต๋ออ๋องดูเก็บคมดาบกลับเข้าไปไม่น้อย ม่อซิวเหยาลอบพยักหน้า นี่ต่างหากถึงจะเป็นเต๋ออ๋องที่หลุดรอดจากการเข่นฆ่าเพื่อชิงตำแหน่งฮ่องเต้ไปได้ หลายปีนี้ที่อยู่อย่างสงบสุข เกรงว่าคงทำให้เขาลืมเลือนว่าอันใดที่เรียกว่าความระแวดระวังตัวของเชื้อพระวงศ์ไปแล้ว
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงจิบชา แล้วเอ่ยถามว่า “ที่เต๋ออ๋องและอวี๋อ๋องมาในครานี้ ด้วยเพราะฮ่องเต้มีราชโองการอันใดจะให้ข้าหรือ”
เต๋อและและอวี๋อ๋องหันไปสบตากัน ทั้งคู่ต่างได้ยินแววแดกดันที่อยู่ในน้ำเสียงของม่อซิวเหยา
อวี๋อ๋องประสานมือเอ่ยว่า “ติ้งอ๋องอภัยด้วย ข้ากับเสด็จลุงเพียงได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาถ่ายทอดพระประสงค์เท่านั้น เชื่อว่าเมื่อวานท่านอ๋องคงจะฟังเข้าใจแล้ว พระประสงค์ของฝ่าบาทคือต้องการให้ท่านอ๋องกลับเมืองหลวงโดยทันที แน่นอนว่า ราชโองการก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงประกาศออกมาด้วยความพิโรธ ถึงแม้จะมิอาจเพิกถอน แต่แน่นอนว่าฝ่าบาทย่อมมอบทุกอย่างที่ควรเป็นของท่านอ๋องคืนให้ท่านอ๋องอีกครั้ง”
อวี๋อ๋องเองก็มิกล้าพูดอันใดมาก เพียงถ่ายทอดความต้องการของม่อจิ่งฉีออกมาทั้งหมดเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาก็ไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว
ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงก้อง “พระประสงค์ของฝ่าบาท ข้าเข้าใจแล้ว แต่เกรงว่าคงทำตามพระประสงค์ไม่ได้”
อวี๋อ๋องถึงกับใจแป๊ว นี่ติ้งอ๋องหมายมั่นที่จะเป็นปฏิปักษ์กับต้าฉู่แล้วหรือ
ม่อซิวเหยายกมือขึ้นห้ามเขาที่กำลังคิดจะเอ่ยปาก “อวี๋อ๋องได้โปรดกลับไปทูลต่อฮ่องเต้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝ่าบาททรงกระทำก่อนหน้านี้ กองทัพตระกูลม่อจำได้ขึ้นใจ ต่อให้ข้ายอมเสี่ยงเชื่อฝ่าบาทในครานี้ ก็เกรงว่ากองทัพตระกูลม่อคงไม่มีทางรับปาก”
อวี๋อ๋องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ตำหนักติ้งอ๋องทุกรุ่นต่างจงรักภักดีต่อแคว้น เหตุใดท่านอ๋องถึงต้องตัดขาดกันเช่นนี้ ต่อให้มีสิ่งใดไม่พอใจ ขอเพียงท่านอ๋องเอ่ยออกมา ข้าจะต้องนำไปทูลต่อฝ่าบาทให้ท่านเป็นแน่ แล้วทุกอย่างค่อยไปตกลงกัน”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น “ค่อยตกลงกัน? ความหวังดีของอวี๋อ๋อง ข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว เช่นเดียวกัน อวี๋อ๋องสามารถไปทูลต่อฝ่าบาทและขุนนางทั้งราชสำนักได้ว่า ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ ซีหลิงจะไม่มีทางได้รุกรานเข้าไปในต้าฉู่ผ่านทางซีเป่ยอย่างแน่นอน”
อวี๋อ๋องร้องโอดครวญในใจ ขอเพียงกองทัพตระกูลม่อยังอยู่ในซีเป่ย ซีหลิงย่อมไม่มีโอกาสรุกรานเข้าไปผ่านทางซีเป่ยอย่างแน่นอน แต่ซีหลิงกับต้าฉู่ก็มีส่วนทางซีหนานที่มีเขตแดนติดต่อกันอยู่นี่สิ ถึงแม้เส้นทางจะยากลำบากและอันตรายกว่าทางซีเป่ยหลายเท่า แต่ขอเพียงมีความตั้งใจ หากทหารทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากันที่เขตซีหนานในยามนี้ ทหารต้าฉู่ย่อมเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ซีหลิงคิดอยากรุกรานเข้ามาผ่านทางซีหนานก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เต๋ออ๋องเอ่ยถามม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าจริงจัง “ติ้งอ๋อง เจ้าตัดสินใจแน่แล้ว?”
ม่อซิวเหยาหลุบตาลงยิ้มเรียบๆ “ข้าเพียงอยากเปิดทางรอดให้กับกองทัพตระกูลม่อกับภรรยาและบุตรของข้าเท่านั้น ตำหนักติ้งอ๋องทุกรุ่นคอยปกป้องคุ้มครองต้าฉู่ ต่อให้ไม่มีคุณงามความดี อย่างไรก็มีความพยายาม อย่างไรข้าก็มิอาจให้ตำหนักติ้งอ๋องจบสิ้นลงที่ข้ากระมัง หากเป็นเช่นนั้น ต่อไปข้าจะมีหน้าไปพบเสด็จพ่อกับเสด็จพี่และบรรพบุรุษติ้งอ๋องทุกรุ่นในปรโลกได้อย่างไร”
เต๋ออ๋องนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนพยักหน้า “ดี ข้ากับอวี๋อ๋องก็ได้เอ่ยโน้มน้าวท่านไปหมดแล้ว ราชโองการของฝ่าบาทพวกเราก็ส่งมาถึงแล้ว เรื่องอื่นก็จะไม่พูดให้มากอีกแล้ว หวังเพียงติ้งอ๋องจะไม่ลืมว่า คนของตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อ อย่างไรก็เป็นประชาชนของต้าฉู่”
ม่อซิวเหยาอมยิ้ม มิได้ตอบอันใด