ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 201-1 สารภาพ
ข่าวเรื่องชายาติ้งอ๋องคลอดบุตรชายออกมาได้อย่างปลอดภัย กระจายไปทั่วเมืองหรู่หยางอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงคนในตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้นที่ดีใจกันจนกระโดดโลดเต้น ชาวบ้านในเมืองหรู่หยางเอง ต่างก็แขวนโคมไฟกันสว่างไสวประหนึ่งเป็นคืนข้ามปีเลยทีเดียว
ถึงแม้ชาวบ้านทั้งหลายจะเคยพบหน้าชายาติ้งอ๋องแค่เพียงครั้งหรือสองครั้ง แต่ในสายตาของประชาชนในซีเป่ยแล้ว ฐานะของชายาติ้งอ๋องมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าติ้งอ๋องสักเท่าไรนัก เรื่องนี้ย่อมเป็นเพราะการทำข่าวที่ยอดเยี่ยมของตำหนักติ้งอ๋อง
ถึงแม้นอกเขตซีเป่ยจะมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องผิดไป ด้วยเพราะเนื้อความในราชโองการของม่อจิ่งฉี แต่ชาวบ้านในซีเป่ยต่างรู้ดีว่า เดิมทีชายาติ้งอ๋องนำทัพออกไปต้านทัพของซีหลิงที่รุกรานเข้ามาทั้งๆ ที่กำลังตั้งครรภ์ จนสุดท้ายถึงขั้นตกหน้าผาหายตัวไป หากมิใช่เพราะชายาติ้งอ๋อง ยามนี้ซีเป่ยก็คงมิอาจรักษาความสงบไว้ได้
ภายใต้สถานการณ์ที่วุ่นวาย ผู้ใดที่สามารถให้ชีวิตสงบสุขกับประชาชนได้ ผู้นั้นก็คือพ่อแม่อีกคนของพวกเขา ดังนั้น เมื่อได้ยินข่าวว่าพระชายาคลอดบุตรได้อย่างปลอดภัย สำหรับชาวบ้านในซีเป่ยแล้ว ต่างตื่นเต้นยินดีไม่แพ้ขึ้นปีใหม่เลยทีเดียว
ตำหนักติ้งอ๋อง ห้องโถงที่อยู่ใกล้ห้องนอนเยี่ยหลีที่สุดมีคนอยู่เต็มไปหมด เมื่อเห็นหมอตำแยอุ้มทารกตัวน้อยที่ล้างจนสะอาดและห่อผ้าสีแดงเดินออกมา ทุกคนก็รีบกรูกันเข้าไปดูทันที
สวีชิงเหยียนถลึงตัวขึ้นเร็วที่สุด จึงถึงเป็นคนแรก “รีบให้ข้าดูเร็วว่าหลานข้าหน้าตาเป็นอย่างไร”
หมอตำแยเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ซื่อจื่อน้อยย่อมหน้าตาดีอยู่แล้วเจ้าค่ะ ต่อไปเมื่อโตขึ้นจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับท่านอ๋องและพระชายาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
สวีชิงเหยียนก้มลงมองเด็กในมือของหมอตำแยด้วยความปิติยินดี แล้วก็นิ่งไปทันที เจ้าตัวเล็กแดงที่เ**่ยวย่นไปทั่วตัวนี่น่ะหรือ ที่หมอตำแยบอกว่าหน้าตาดี และจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต?
คนที่นั่งอยู่ที่นี่ถึงแม้จะเป็นยอดบุรุษแห่งยุคนี้ แต่ก็มีน้อยคนนักที่เคยเห็นเด็กทารกแรกเกิด แม้แต่สวีชิงเจ๋อกับสวีชิงเฟิงเองก็ยังไม่เคย ยามที่สวีชิงเหยียนเกิดมา กว่าจะได้อุ้มออกมาพบหน้าผู้คนก็อายุได้เกือบเดือนแล้ว ย่อมขาวอวบอ้วนแล้วอย่างแน่นอน ทุกคนต่างหันมองไปทางม่อซิวเหยาที่นั่งนิ่งไม่เอ่ยอันใด
เป็นหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่เอ่ยด้วยสีหน้ายินดีว่า “ซื่อจื่อน้อยช่างเหมือนตอนท่านอ๋องเกิดใหม่ๆ ไม่มีผิด ในที่สุดตำหนักติ้งอ๋องก็มีทายาทแล้ว”
ใบหน้าชายชราที่ตามปกติเคร่งขรึมก็ดูมีรอยยิ้มและรักใคร่เอ็นดู
อาจิ่นยืนกะพริบตาปริบๆ มองเด็กทารกตัวน้อยในอ้อมแขนของหมอตำแยด้วยความประหลาดใจ
สวีชิงเหยียนเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “หัวหน้าพ่อบ้านม่อ ยามที่ท่านอ๋องเพิ่งเกิดก็เป็นเช่นนี้…” ตัวแดงๆ เ**่ยวย่นหยั่งกับลิงอย่างนี้น่ะหรือ
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติว่า “เด็กที่เพิ่งคลอดออกมาก็ล้วนเป็นเช่นนี้ทุกคน ไว้อีกสองสามวันเมื่อลืมตาขึ้นแล้ว ย่อมตัวขาวอวบอ้วนเหมือนตุ๊กตาตัวน้อยๆ”
เฟิ่งจือเหยาทอดถอนใจด้วยความอิจฉาเด็กแดงตัวน้อยๆ “นี่ผ่านมายังไม่ถึงสองปีดี ท่านอ๋องก็มีบุตรชายเสียแล้ว ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คุณชายเฟิ่งซานกับท่านอ๋องอายุเท่ากัน หากท่านสร้างครอบครัวเร็วสักหน่อย เกรงว่าป่านนี้คุณชายน้อยคงจะวิ่งได้แล้ว”
แววตาเฟิ่งจือเหยาครึ้มลงเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า “อันใดจะง่ายเพียงนั้น การได้พบกับที่เหมาะสมกันเช่นท่านอ๋องและพระชายานั้นมิใช่เรื่องง่าย”
ทุกคนยิ้มหัวเราะเล่นกับเด็กน้อย ก่อนอุ้มเข้าไปหาม่อซิวเหยา “ท่านอ๋องดูซื่อจื่อน้อยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาปรายตามองเจ้าตัวเล็กเ**่ยวๆ แดงๆ ที่อยู่ในห่อผ้าเรียบๆ ทั้งสายตาและท่าทางของเขามีแต่ความรังเกียจ เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “อัปลักษณ์!”
เด็กน้อยถึงแม้จะยังมองไม่เห็น ไม่ได้ยินและจำอันใดไม่ได้ แต่เมื่อซื่อจื่อน้อยของตำหนักติ้งอ๋องเติบโตขึ้นแล้วก็ยังคงจำได้ว่าในชีวิตนี้ คำแรกที่ผู้เป็นบิดาเอ่ยกับเขา นั่นก็คือบิดาเขารังเกียจที่เขาเกิดมาอัปลักษณ์ ความแค้นระหว่างบิดาและบุตรจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นมา
เขาปรายตามองบุตรชายทีหนึ่ง ยามนี้ขาทั้งสองข้างของม่อซิวเหยาดีขึ้นมากแล้ว จึงลุกยืนขึ้นเอ่ยถามว่า “พระชายาสบายดีหรือไม่”
หมอตำแยรีบเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ซื่อจื่อน้อยคลอดออกมาได้อย่างราบรื่น พระชายาก็มิได้ทรมานอันใดมากนัก ยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่เพคะ”
สำหรับหมอตำแยแล้ว การคลอดท้องแรกของพระชายา ตั้งแต่เริ่มเจ็บครรภ์ไปจนถึงคลอดบุตรออกมา ใช้เวลาเพียงสองชั่วยามกว่าๆ เท่านั้น ถือว่าไม่ทรมานเท่าไรนักจริงๆ แต่สำหรับม่อซิวเหยาเขากลับมองต่างไป เขารู้เพียงว่าอาหลีเจ็บปวดอยู่หลายชั่วยาม กว่าจะคลอดบุตรหน้าตาอัปลักษณ์นี้ออกมาได้
ม่อซิวเหย่างส่งเสียงหึเบาๆ “ข้าจะเข้าไปดูพระชายา” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินเข้าห้องด้านในไปทันที
หมอตำแยอดสูดหายใจในความรักอย่างลึกซึ้งที่ท่านอ๋องมีต่อพระชายาไม่ได้ ในใต้หล้านี้บุรุษที่ไม่มัวแต่ดูบุตรที่เกิดใหม่ แต่กลับรีบเข้าไปดูภรรยานั้นมีอยู่ไม่มากเลยจริงๆ
เมื่อแน่ใจแล้วว่าหลานนอกตระกูลของตนไม่ได้มีหน้าตาอัปลักษณ์ สวีชิงเหยียนก็เดินเข้าไปเล่นกับเขาต่อด้วยความยินดี เขายื่นนิ้วเข้าไปจิ้มผิวเ**่ยวๆ ของทารกน้อยด้วยความระมัดระวัง “หลานเอ้ย ข้าคือท่านลุงเล็กนะ”
เฟิ่งจือเหยากรอกตาใส่เขา “ยามนี้เขาจะฟังเข้าใจหรือ” พูดจบก็ก้มตัวลงไปดูทารกน้อยอย่างไม่ยอมอีกฝ่าย “อ้อ? ตอนเด็กๆ ท่านอ๋องก็หน้าตาเช่นนี้หรือ หัวหน้าพ่อบ้านม่อ?”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อยกเขาขึ้นสำรวจโดยละเอียดครู่หนึ่ง “เด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ โดยมากก็หน้าตาเช่นนี้กระมัง”
“หลบหน่อยๆ!” เสิ่นหยางกับท่านหมอหลินเดินคู่กันเข้ามา ปรายตามองผู้คนโดยรอบ “ข้าจะตรวจสุขภาพให้ซื่อจื่อ คนที่ไม่ได้ทำอันใดช่วยหลบออกไปหน่อย”
ถึงแม้ทุกคนจะไม่ยินดี แต่กลับทำได้เพียงมองเสิ่นหยางรับทารกน้อยมาจากหมอตำแยมาอย่างคล่องแคล่ว
ม่อซิวเหยาเดินเข้าไปในห้องอีกครั้ง บรรดาสาวใช้ช่วยกันเก็บกวาดห้องจนสะอาดเรียบร้อย เยี่ยหลีนั่งเอาหลังพิงฟูกด้านหลังอยู่บนเตียง ถึงใบหน้าจะดูซีดเซียวไปบ้าง แต่สีหน้ากลับดูไม่เลวเลยทีเดียว หลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวกำลังพูดคุยเป็นเพื่อนนางอยู่
เว่ยหมัวมัวนั่งอยู่ข้างเตียง ในมือถือโจ๊กอยู่ชามหนึ่ง เตรียมจะป้อนให้เยี่ยหลี เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเดินเข้ามา หมัวมัวทั้งสองก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ
ม่อซิวเหยาโบกมือเอ่ยถามว่า “อาหลีเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินหมัวมัวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พระชายาสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นอันใดมากเพคะ สตรีที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ๆ แล้วมีกำลังวังชาเยี่ยงพระชายาในขณะนี้ถือว่าหาได้ยาก ท่านอ๋องวางใจเถิดเพคะ”
ม่อซิวเหยารับถ้วยโจ๊กจากมือเว่ยหมัวมัว พลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าอยู่เป็นเพื่อนอาหลีก็พอแล้ว”
หมัวมัวทั้งสองต่างระบายยิ้ม หันมองเยี่ยหลีทีหนึ่งก่อนเดินออกไป ท่านอ๋องมิได้มัวแต่ดูซื่อจื่อน้อยอยู่ที่ด้านนอก แต่กลับรีบเข้ามาหาพระชายา ด้วยเพราะให้ความสำคัญกับพระชายา พวกนางย่อมต้องดีใจแทนพระชายาเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นม่อซิวเหยาถือถ้วยโจ๊กมาป้อนตนอย่างตั้งใจ เยี่ยหลีก็ได้แต่เอ่ยว่า “ข้ากินเองก็ได้”
อันที่จริงมีแค่ตอนระหว่างคลอดเท่านั้นที่เจ็บปวดทนแทบขาดใจ แต่เมื่อคลอดออกมาแล้ว นางก็ไม่ได้รู้สึกอันใดเท่าไรนัก ต้องให้คนช่วยป้อนที่ไหนกัน
ม่อซิวเหยายกหนี หลบมือเยี่ยหลีที่หมายจะเข้ามาถือชามไว้เอง ก่อนยกช้อนส่งโจ๊กขึ้นถึงปากเยี่ยหลีด้วยความระมัดระวัง
เยี่ยหลีทำอันใดไม่ได้ ได้แต่อ้าปากกินโจ๊กเข้าไป แล้วเอ่ยถามว่า “ได้ดูลูกหรือยังเพคะ หลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวต่างบอกว่าเขาเหมือนข้าตอนเด็กๆ ไม่มีผิด ถึงแม้…ข้าจะดูไม่ออก…”
เด็กตัวแดงๆ เ**่ยวๆ นางดูไม่ออกจริงๆ ว่าเหมือนนางที่ตรงใด บางทีตอนนางเด็กๆ อาจจะหน้าตาแบบนี้? เด็กทารกไม่ได้ว่าหน้าตาเหมือนกันหมดหรือ
ม่อซิวเหยาคิดถึงที่หัวหน้าพ่อบ้านพูด มุมปากกระตุกเล็กน้อยพลางพยักหน้า “ข้าดูแล้ว น่ารักมาก”
เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขา เลิกคิ้วเรียวด้วยความสงสัย
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ขอเพียงเป็นบุตรที่อาหลีคลอด จะน่ารักหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก”
จนเมื่อเยี่ยหลีกินหมดไปครึ่งชามแล้ว หลินหมัวมัวถึงได้อุ้มเด็กน้อยเข้ามา
เยี่ยหลีเพิ่งดูลูกของนางได้เพียงครู่เดียวก็ถูกอุ้มออกไปแล้ว ครานี้เมื่อได้มองดูอีกครั้งก็ให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นในใจ เด็กคนนี้เป็นบุตรของนางกับม่อซิวเหยา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง และเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดในโลกนี้
นางรับเด็กที่หลินหมัวมัวอุ้มอยู่มาอย่างเบามือ เยี่ยหลีผินหน้ามองเมื่อเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่แดงแจ๋กับดวงตาที่ยังปิดสนิท ก็อดยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาไม่ได้ นางยื่นนิ้วไปจิ้มแก้มเล็กๆ และจับมือเล็กๆ ของเด็กน้อยด้วยความรักใคร่ รู้สึกเพียงตนกำลังมองสิ่งของเล็กๆ อยู่ แล้วในใจก็บังเกิดความรักใคร่และปิติยินดีอันอ่อนโยนขึ้นมาทันที
ม่อซิวเหยามองรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าของเยี่ยหลี แล้วก้มลงมองเด็กน้อยที่หลับสนิทอยู่กับอกของนาง ก็ให้รู้สึกว่าเด็กคนนี้ข่างขัดหูขัดตาเสียเหลือเกิน
“ดูสิ นี่ก็คือลูกของเรานะ ต่อไปจะเรียกท่านว่าพ่อ เรียกข้าว่าแม่ ท่านชอบหรือไม่” เยี่ยหลียื่นเด็กน้อยมาตรงหน้าม่อซิวเหยา แล้วอมยิ้มเอ่ยถามเขา
ม่อซิวเหยาพยักหน้า ยื่นมือไปรับเด็กมา “เจ้าเพิ่งคลอดลูกเสร็จ อย่าเหนื่อยนักเลย ให้ข้าอุ้มเถิด”
เยี่ยหลีมองเขาด้วยความสงสัย “ท่านเป็นหรือ”
หลายเดือนนี้ ม่อซิวเหยาไม่เป็นมิตรกับเด็กคนนี้เอาเสียเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะไปเรียนการอุ้มเด็กมาก่อน
ม่อซิวเหยาลังเลเล็กน้อย ถึงแม้เข้าจะคิดว่าอุ้มอย่างไรก็เหมือนกัน แต่เมื่อเห็นเด็กตัวเล็กที่ห่ออยู่ในผ้าแล้ว ช่างดูบอบบางประหนึ่งหากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เสียหายได้เลยกระนั้น ถึงแม้ในใจเขาจะไม่ต้อนรับเจ้าเด็กน้อยที่เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมาแย่งอาหลีกับเขาในอนาคต แต่เขาก็รู้ว่าอาหลีชอบเขามาก
เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของเขา เยี่ยหลีก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ นางส่งลูกน้อยให้กับมือเขา “อุ้มแบบนี้…เบามือหน่อย…” นางสอนม่อซิวเหยาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก่อนส่งลูกน้อยเข้าสู่อ้อมแขนของม่อซิวเหยา
ม่อซิวเหยาก้มลงมองเจ้าตัวเล็กในมือ แล้วรู้สึกเกร็งไปหมดทั้งตัว
เมื่อเห็นม่อซิวเหยานั่งเกร็งอยู่ข้างเตียง ท่วงท่าดูไม่สบายเหมือนยามปกติ เยี่ยหลีก็ลอบปิดปากหัวเราะ