ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 205-2 ลักพาตัวฮ่องเต้
ภายในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ม่อจิ่งฉีเดินหน้าบึ้งเข้ามาจากด้านนอก รังสีที่แผ่ออกมาทำให้ขันทีและนางกำนัลที่เดินตามหลังมา ได้แต่ก้มหน้าด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่กล้ามองผู้เป็นนายที่อยู่ด้านหน้า
ม่อจิ่งฉีหยุดยืนที่ประตู หันกลับไปกวาดตามองทุกคนที่ดูตื่นตระหนกประหนึ่งตั๊กแตนในหน้าหนาว เอ่ยเสียงเย็นอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ไสหัวออกไปให้หมด!”
ในใจทุกคนลอบระบายลมหายใจและต่างพากันล่าถอยออกไป
ชั่วพริบตา ภายในตำหนักก็เหลือม่อจิ่งฉีอยู่เพียงคนเดียว ภายในตำหนักที่หรูหราและเหลืองอร่ามดูเงียบเหงาและเย็นเยียบ ม่อจิ่งฉีก้าวเข้าไปด้านใน แล้วยกเท้าถีบแจกันโบราณที่วางอยู่ด้านข้างแตกทันที จากนั้นของอื่นๆ ภายในห้องก็ค่อยๆ ถูกระบายอารมณ์ใส่ไปตามๆ กัน นางกำนัลและขันทีที่ยืนระวังอยู่ด้านนอกตำหนัก เมื่อได้ยินเสียงของตกแตกดังมาจากด้านใน ก็รู้ทันทีว่าฮ่องเต้กำลังทำลายข้าวของอยู่
“กงกง…” ขันทีเด็กที่เพิ่งมาใหม่เอ่ยถามหัวหน้าขันทีด้วยความเป็นห่วง ที่ฮ่องเต้ทรงทำลายข้าวของเพื่อระบายความโกรธนี้ ไม่เป็นอันใดจริงๆ หรือ
หัวหน้าขันทีดูจะเคยชินกับเรื่องนี้เสียแล้ว จึงเอ่ยถ้วยท่าทีสงบนิ่งว่า “ยืนเฝ้าไว้ให้ดี อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถาม”
“ขอรับ” ขุนนางเด็กพยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
“ม่อซิวเหยา! เยี่ยหลี! ข้าจะต้องฆ่าพวกเจ้าให้ได้!” ภายในตำหนัก เมื่อระบายอารมณ์โกรธไปแล้วรอบหนึ่ง ม่อจิ่งฉีก็กวาดตามองสภาพข้าวของที่เกลื่อนกลาดอยู่กับพื้น ก่อนคำรามขึ้นด้วยความโกรธจัด
เพียงแค่นึกถึงข่าวที่ได้ยินมาจากการออกว่าราชการในยามเช้า ม่อจิ่งฉีก็อดนึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาไม่ได้ ถึงขั้นแทบอยากสั่งตัดหัวคนที่มาส่งจดหมายเสีย
บุตรที่เยี่ยหลีให้กำเนิดขึ้นมา ถึงขั้นกล้าเรียกมันว่าติ้งอ๋องซื่อจื่ออย่างเปิดเผย ตำแหน่งติ้งอ๋องถูกราชโองการของเขาสั่งถอดถอนไปเสียนานแล้ว ที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ ถือเป็นการต่อต้านเขาชัดๆ มันยังถึงขั้นออกหนังสือเชิญชนชั้นสูงจากทุกแว่นแคว้น ให้เดินทางไปเมืองหรู่หยางเพื่อร่วมงานเลี้ยงครบหนึ่งเดือนของติ้งอ๋องซื่อจื่ออย่างเปิดเผย ต้องบอกก่อนว่า เรื่องนี้แม้แต่พระโอรสของต้าฉู่ก็ยังไม่มีสิทธิพิเศษนี้ ม่อซิวเหยาต้องการจะบอกกับทุกคนในใต้หล้าว่า ลูกชายของเขา ม่อซิวเหยา สูงส่งกว่าพระโอรสของเขาอย่างนั้นหรือ
“ม่อซิวเหยา…ม่อซิวเหยา…ที่ข้าฆ่าเจ้าไม่สำเร็จในวันนั้น กลับกลายเป็นเลี้ยงแมวให้กลายเป็นเสืออย่างทุกวันนี้! เจ้ารอข้าก่อนเถิด!”
“ทูลฝ่าบาท เสนาบดีหลิ่วขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอก หัวหน้าขันทีเอ่ยรายงานขึ้นด้วยความระมัดระวัง
แววตาม่อจิ่งฉีขรึมไป เอ่ยเสียงเย็นว่า “ให้ไสหัวเข้ามาเดี๋ยวนี้!”
ประตูตำหนักถูกผลักเปิดจากด้านนอก แล้วก็ถูกปิดกลับลงอย่างรวดเร็ว เสนาบดีหลิ่วเดินเข้ามาด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นสีหน้าม่อจิ่งฉีถึงได้คุกเข่าลงคารวะ “กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท”
ม่อจิ่งฉีส่งเสียงหึเย็นๆ แล้วเอ่ยถามว่า “ฎีกาวันนี้ ท่านเสนาบดีเห็นว่าอย่างไร”
ม่อจิ่งฉีไม่เรียกให้เขายืนขึ้น เสนาบดีหลิ่วก็มิกล้าลุกขึ้นโดยพลการ เขาเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองขึ้น “ทูลฝ่าบาท ที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ถือว่ามีความผิดอย่างร้ายแรง ตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ม่อซิวเหยากระทำเรื่องที่ผิดกฎระเบียบไว้มากมาย แสดงให้เห็นถึงจิตใจอันชั่วร้ายที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างชัดเจน ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงให้อภัยเขาสักกี่ครั้ง แต่เขาก็ยังคงทำตัวตามอำเภอใจ และดูจะยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ ขอฝ่าบาททรงมีราชโองการลงโทษสถานหนักด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดของเสนาบดีหลิ่วดูจะถูกใจม่อจิ่งฉีอยู่มาก สีหน้าจึงดูอ่อนลง พยักหน้าเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด ท่านเสนาบดีมีความเห็นเช่นไร”
เสนาบดีหลิ่วนิ่งคิดเล็กน้อย ประสานมือทูลตอบว่า “ม่อซิวเหยาอยู่ไกลถึงซีเป่ย ต่อให้ฝ่าบาททรงคิดอยากลงอาญา เกรงว่าพระราชอำนาจของพระองค์จะไปไม่ถึง เท่าที่กระหม่อมดูแล้ว ควรจับคนของตำหนักติ้งอ๋องในเมืองหลวงมาไว้เป็นตัวประกัน อีกอย่าง ตระกูลสวีที่อวิ๋นโจว ก็เป็นญาติทางฝั่งสะใภ้ของตำหนักติ้งอ๋อง ไปมาหาสู่กับตำหนักติ้งอ๋องมาแต่ไหนแต่ไร ขอฝ่าบาทได้โปรดมีราชโองการจับคนตระกูลสวีทั้งตระกูล มาประหาร เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างให้กับคนอีกนับร้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“เรื่องนี้…” ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะไม่ชอบใจตระกูลสวีมานานเต็มทีแล้ว แต่เมื่อพูดว่าจะจับมาประหารทั้งตระกูล กลับทำให้เขามีท่าทีลังเลเล็กน้อย
เสนาบดีหลิ่วรีบเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ตระกูลสวีควบคุมดูแลสำนักศึกษาหลีซานที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของต้าฉู่ ในการสอบเคอจวี่ว์ทุกครั้ง บัณฑิตจากสำนักศึกษาหลีซานจะมีชื่อติดโผในจำนวนมาก อีกทั้งขุนนางจำนวนนับร้อย หรืออาจจะมากถึงเกือบครึ่งหนึ่งของราชสำนัก ล้วนมาจากสำนักศึกษาหลีซาน เมื่อใดก็ตามที่ตระกูลสวีเทไปเข้าข้างฝ่ายม่อซิวเหยา เช่นนั้นขุนนางและบัณฑิตเหล่านี้…”
เสนาบดีหลิ่วไม่ได้เอ่ยจนจบ แต่ข้อความที่เขาละเอาไว้ ก็เพียงพอให้ม่อจิ่งฉีต้องกลับไปคิด
แล้วสีหน้าม่อจิ่งฉีเปลี่ยนไปตามคาด พยักหน้าเอ่ยว่า “เสนาบดีหลิ่วพูดได้ถูกต้องนัก เรื่องนี้มอบหมายให้เสนาบดีหลิ่วจัดการก็แล้วกัน แต่จำไว้ว่าอย่าให้ประชาชนมากล่าวโทษเอาได้”
เสนาบดีหลิ่วยิ้ม “ฝ่าบาทวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลสวีกับม่อซิวเหยาล้วนรู้กันทั่ว ยามนี้สิ่งที่ม่อซิวเหยากระทำ เรียกได้ว่าขัดต่อธรรมเนียมประเพณี ตระกูลสวีไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจไม่ร่วมรับผิดชอบเรื่องนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก ท่านเสนาบดีออกไปก่อนเถิด”
“กระหม่อมทูลลา”
เมื่อเห็นเสนาบดีหลิ่วล่าถอยออกไปแล้ว อารมณ์ของม่อจิ่งฉีก็ดูจะดีขึ้นมาก เขาแทบอดใจรอไม่ไหวด้วยความอยากรู้ว่า หากม่อซิวเหยารู้ว่าเขาจับตัวคนตระกูลสวีไป ม่อซิวเหยาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสเห็นด้วยตนเอง ช่างน่าเสียใจจริงๆ
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาที่ท้ายทอย แล้วภาพตรงหน้าม่อจิ่งฉีก็ดับมืดลง และตกเข้าสู่ห้วงแห่งความมืดมิดทันที
จนเมื่อม่อซิวเหยารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตนมิได้อยู่ในตำหนักบรรทมอันหรูหราเหลืองอร่ามเสียแล้ว แต่กลับมาอยู่ภายในห้องที่ว่างเปล่า ไม่มีอันใดอยู่ในห้องเลยแม้สักอย่างเดียว นอกจากเก้าอี้ที่ตนนั่งอยู่แล้ว ก็ไม่มีเครื่องเรือนอย่างอื่นให้เห็นอีก จนไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า เขามาอยู่ที่ใด แต่มีข้อหนึ่งที่ม่อจิ่งฉีรู้ดี นั่นคือเขาถูกลักพาตัวมาเสียแล้ว และที่ที่เขาอยู่ในยามนี้ ก็มิใช่ในวังอย่างแน่นอน
ม่อจิ่งฉีใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาก้มลงมองเชือกที่พันธนาการเขาไว้กับเก้าอี้ พยายามดิ้นรนอย่างไร้ความหวัง “ใครก็ได้! ใครก็ได้เร็วเข้า! คนชั่วจากที่ใดที่บังอาจถึงเพียงนี้ ออกมาให้ข้าเห็นหน้าบัดเดี๋ยวนี้!”
ประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ ขณะถูกผลักเปิดออก ม่อจิ่งฉีหันหลังให้ประตูอยู่จึงไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น แต่เขารู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามา จึงตะโกนเสียงเข้มว่า “พวกเจ้าช่างอาจหาญนัก ถึงขั้นกล้าลักพาตัวข้า ยังไม่รีบมาแก้มัดข้าอีก เผื่อว่าข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“ตายจริง ข้ากลัวเสียเหลือเกิน…” น้ำเสียงเยือกเย็นเจือแววเยาะหยันดังขึ้นจากด้านหลัง
ม่อจิ่งฉีผินหน้าไปมอง ก็เห็นว่ามีชายในชุดดำสามคนยืนอยู่ด้านหลัง พวกเขาอยู่ในชุดดำตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่ใบหน้าก็ยังมีผ้าดำพันไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น
ม่อจิ่งฉีมองแล้วก็มองอีก พบว่าเขามองไม่ออกเลยว่าทั้งสามคนนี้เป็นคนที่เขารู้จักหรือไม่รู้จัก
“พวกเจ้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าลักพาตัวข้ามีโทษเช่นไร” ม่อจิ่งฉีเอ่ยถามเสียงเข้ม
เฟิ่งจือเหยาหรี่ตาลงมองบุรุษในชุดมังกรสีเหลืองอร่ามตรงหน้า หน้าตาไม่เลวเลยจริงๆ คนตระกูลม่อล้วนหน้าตาไม่เลวกันทุกคน แต่สีหน้าท่าทางของเขาดูต่างกับติ้งอ๋องไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงแม้เขาจะพยายามรักษาท่าทีให้สงบ แต่เฟิ่งจือเหยาก็ยังคงสังเกตเห็นประกายหวาดกลัวในแววตาของเขา เขายิ้มอย่างใช้ความคิด รู้จักกลัวก็ดี
“ลักพาตัวฮ่องเต้มีโทษเช่นไรหรือ” เฟิ่งจือเหยายิ้มหน้าระรื่นแล้วเอ่ยถามม่อจิ่งฉีว่า “ในกฎหมายของต้าฉู่มีเรื่องลักพาตัวฮ่องเต้ด้วยหรือ”
ม่อจิ่งฉีถึงกับพูดไม่ออก ในกฎหมายของต้าฉู่ย่อมไม่มีกฎข้อนี้ ด้วยเพราะคงไม่มีผู้ใดกล้าลักพาตัวฮ่องเต้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว “บังอาจ!”
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะเยาะทีหนึ่ง ก่อนก้มตัวลงวางศอกลงบนพนักเก้าอี้ กดสายตาลงมองม่อจิ่งฉีแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อพวกเราเชิญฝ่าบาทมาที่นี่ ย่อมรู้ดีว่าผลที่ตามมาเป็นเช่นไร ดังนั้นฝ่าบาทอย่าได้ตรัสอันใดไร้สาระอีกเลย มิเช่นนั้น…”
มือที่เคยว่างเปล่า จู่ๆ ก็ปรากฏกริชเล็กๆ เล่มหนึ่งขึ้น เฟิ่งจือเหยาถูคมมีดลงบนหลังคอของม่อจิ่งฉีเบาๆ คมมีดที่เย็นเยียบ ทำให้ลำคอของม่อจิ่งฉีเย็นวาบจนขนลุก “เจ้า…เจ้าคิดจะทำอันใด”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่ยืนหลังติดกำแพงอยู่เอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “อันที่จริงก็ไม่มีอันใด แค่เพียงคิดอยากขอยืมของสิ่งหนึ่งจากฝ่าบาทเท่านั้น ฝ่าบาททรงร่ำรวยมหาศาล เชื่อว่าคงไม่ใจแคบถึงเพียงนั้นกระมัง”
คำพูดของเหลิ่งเฮ่าอวี่ถึงแม้จะฟังดูแล้วนุ่มนวลหาใดเปรียบ แต่กลับทำให้คนฟังมิอาจมองข้ามแววข่มขู่ในน้ำเสียงนั้นได้
ม่อจิ่งฉีเหลือบมองคมมีดบนลำคอของตนอย่างรวดเร็วทีหนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าอยากได้สิ่งใด”
“ดอกปี้ลั่ว” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยเสียงต่ำ
ม่อจิ่งฉีอึ้งไป เอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าพูดถึงอันใด ดอกปี้ลั่วอันใดกัน”
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะเสียงเย็น “ได้ยินว่าดอกปี้ลั่วสามารถชุบชีวิตคนตายได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากกริชในมือข้าปักลงไป…ดอกปี้ลั่วจะสามารถช่วยท่านกลับมาได้หรือไม่”
ม่อจิ่งฉีรู้สึกเจ็บน้อยๆ ที่ลำคอ แล้วรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างไหลออกมาจากลำคอ นั่นมันเลือดของเขา! ใจเขาหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ม่อจิ่งฉีรีบละล่ำลำลักเอ่ยว่า “ช้าก่อน! ดอกปี้ลั่วสูญหายไปกว่าร้อยปีแล้ว ผู้ใดกันที่บอกเจ้าว่าข้ามีดอกปี้ลั่วอยู่”
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องนี้จะบอกท่านก็ไม่เป็นไรหรอก มีคุณชายท่านหนึ่งแซ่ถาน ชื่อจี้จือ ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงรู้จักหรือไม่”
ม่อจิ่งฉีอึ้งไป ถานจี้จือ? หากเป็นคนอื่นพูดไม่แน่ว่าอาจพอบ่ายเบี่ยงไปได้ แต่หากเป็นถานจี้จือเขาย่อมรู้โดยละเอียด ด้วยเพราะของสิ่งนั้นเดิมทีเป็นของที่ถานจี้จือนำมาถวายให้เขา เขาคิดว่าถานจี้จือถูกม่อซิวเหยาฆ่าตายไปแล้วเสียอีก หรือว่า… “พวกเจ้าเป็นคนของม่อซิวเหยา?!”
ดูเหมือนเฟิ่งจือเหยาจะมองออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใด จึงเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วจะดีกว่า คนที่รู้ว่าของสิ่งนั้นอยู่กับฝ่าบาทมีอยู่ไม่น้อยทีเดียว ถานจี้จือยังมีชีวิตอยู่ และยามนี้ก็อยู่ในเมืองหลวง”
“เขาอยู่ในมือพวกเจ้า?”
เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “ถึงแม้พวกเราเองก็กำลังตามหาเขาอยู่ เพียงแต่ยามนี้แค่รู้ว่าดอกปี้ลั่วอยู่ที่ใดก็เพียงพอแล้ว ดูท่าคุณชายถานก็มิได้จงรักภักดีต่อฝ่าบาทถึงเพียงนั้น เท่าที่ข้าน้อยรู้ คุณชายถานกลับมาถึงเมืองหลวงตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว ฝ่าบาทไม่ทรงทราบหรือ”
ม่อจิ่งฉีลอบโกรธแค้นในใจ เขาไม่รู้เลยจริงๆ เดิมทีเขายังคิดว่าม่อซิวเหยาต้องลอบสังหารถานจี้จือไปแล้วอย่างแน่นอน ยามนี้ดูท่าม่อซิวเหยาคงจะปล่อยตัวเขามาจริงๆ แต่เป็นเขาเองที่ไม่ยอมกลับมา ไม่ต้องพูดแล้ว… เขาจะต้องทรยศตนอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ม่อจิ่งฉีก็ใจสั่นขึ้นทันที ถานจี้จือทรยศตน เช่นนั้นหมายความว่าเรื่องนั้น ม่อซิวเหยาจะรู้แล้วหรือไม่!”
“ข้านับถือฝ่าบาทเสียจริง ในเวลาเช่นนี้ยังใจลอยได้อีก” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “พูดมาเถิด ที่อยู่ของดอกปี้ลั่ว หรือชีวิตของฝ่าบาท?”
“หากฆ่าข้าแล้ว พวกเจ้าก็อย่าคิดจะหนีไปจากเมืองหลวงเลย!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยอย่างโกรธจัด
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะ “ผู้ใดบอกท่านกันว่ายามนี้พวกเราอยู่ในเมืองหลวง หากข้าฆ่าท่านในยามนี้ ยังสามารถเดินเข้าเมืองหลวงไปหาที่พักได้อย่างผึ่งผายอีกด้วย ดอกปี้ลั่วอย่างไรก็อยู่ในเมืองหลวง ข้าน้อยค่อยๆ หาได้ไม่เป็นไร ในเมื่อฝ่าบาททรงดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ดูท่าต้าฉู่ของพวกเราคงต้องเปลี่ยนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ให้ขึ้นครองราชย์เสียแล้ว”
พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นเตรียมเสียบกริชเข้าที่ลำคอของม่อจิ่งฉีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ช้าก่อน!” ม่อจิ่งฉีร้องด้วยความตกใจ เมื่อเห็นกริชหยุดก่อนเสียบเข้าที่ลำคอของตนก็อดเหงื่อแตกด้วยความตกใจไม่ได้
“ข้าพูด…” ม่อจิ่งฉีใบหน้าขาวซีด ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ดอกปี้ลั่วอยู่ที่…ตำหนักบรรทมของฮองเฮา”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป ตาหงส์หรี่ลงเอ่ยเสียงเย็นว่า “ของสำคัญเช่นนั้นท่านเอาไปไว้ที่ตำหนักฮองเฮาหรือ”
ม่อจิ่งฉีเอ่ยว่า “ด้วยเพราะเป็นของสำคัญ เก็บไว้ในตำหนักฮองเฮาถึงจะไม่เป็นที่สะดุดตา ภายนอกดอกปี้ลั่ว หน้าตาประหนึ่งหยก แปดปีก่อนข้าได้ให้คนปรับแต่งขึ้นเป็นเครื่องประดับมอบให้ฮองเฮา และสั่งให้นางรักษาไว้ให้ดี ดังนั้นนางไม่มีทางใช้ดอกปี้ลั่วหรือมอบให้คนอื่นอย่างแน่นอน”
เฟิ่งจือเหยาลุกยืนขึ้น เอ่ยว่า “ทางที่ดีสิ่งที่พระองค์ตรัสควรเป็นความจริง”
“ข้าไม่มีทางพูดปด พวกเจ้าจะปล่อยข้าไปเมื่อใด”
เฟิ่งจือเหยาเดินออกไปทางประตู “ขอเพียงพวกเราได้ของสิ่งนั้นมา ก็สามารถปล่อยท่านไปได้ทันที แต่หากของสิ่งนั้นมีปัญหาอันใด ผลที่ตามมาท่านคงรู้ดีว่าเป็นเช่นไร!”
ม่อจิ่งฉีเอ่ยอย่างเศร้าหมองว่า “ข้ารู้แล้ว”