ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 207-2 ขุนนางเก่าแก้ค้านหัวชนฝา สวีซื่อออกจากเมืองหลวง
เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา ผู้คนต่างพากันเอ่ยว่า ใต้เท้าสวีมาแล้วๆ กันไม่ได้หยุด
ชื่อเสียงของสวีหงเยี่ยนถึงแม้จะสู้บิดาและพี่ชายไม่ได้ แต่ในอดีตเขาเองก็เคยเป็นคนมีความสามารถที่มีชื่อเสียงของต้าฉู่ เพียงแค่เขาถูกกักตัวไว้อยู่ที่เมืองหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย และได้เป็นเพียงผู้ตรวจการที่ตำแหน่งไม่เล็กไม่ใหญ่และมิได้มีอำนาจหรืออิทธิพลอันใด จึงย่อมสู้บิดาและพี่ชายที่คอยสั่งสอนลูกศิษย์อยู่ที่อวิ๋นโจว จนมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่ได้
สวีหงเยี่ยนเดินไปที่หน้าประตูวัง ทำความเคารพม่อจิ่งฉีและคนอื่นๆ ด้วยความเคารพ แล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมสวีหงเยี่ยน ถวายพระพรฝ่าบาท ไทเฮา ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
สวีชิงป๋อที่อยู่ข้างๆ ก็ทำความเคารพตามเขาเช่นกัน
องค์หญิงเจาหยางขมวดคิ้วเรียว “ใต้เท้าสวี ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
สวีหงเยี่ยนเพียงยิ้มน้อยๆ “ทูลองค์หญิง ด้วยเพราะเรื่องของตระกูลสวีทำให้วุ่นวายกันไปทั้งเมือง กระหม่อมจะไม่รู้ได้อย่างไร ลำบากองค์หญิงและทุกท่านต้องมาช่วยขอร้องแทนตระกูลสวีแล้ว หงเยี่ยนขอขอบพระทัยไว้ ณ ที่นี้ แล้วยัง…ใต้เท้าอาวุโสหลี่…” เขาเหลือบมองศพของชายชราที่อยู่ข้างกำแพง แล้วสวีหงเยี่ยนก็ถอนหายใจยาวออกมา ขอบตาเป็นสีแดงระเรื่อ หันไปโค้งต่ำๆ คารวะศพของผู้อาวุโส เอ่ยว่า “สวีซื่อได้รับความกรุณาอย่างมากจากใต้เท้าอาวุโสหลี่ จนไม่สามารถตอบแทนได้จริงๆ”
จนเมื่อเอ่ยจบแล้ว สวีหงเยี่ยนถึงได้หันไปคุกเข่าให้กันฝูงชน “ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยร้องเรียนให้สวีซื่อ เพียงแต่…เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของตระกูลสวี ทุกท่านจึงไม่ควรเดือดร้อนเพราะตระกูลสวีไปด้วย ทุกท่านเชิญกลับไปเถิด สวีหงเยี่ยนอยู่ที่นี่แล้ว ขอน้อมรับราชโองการของฝ่าบาท”
สวีชิงป๋อที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ เองก็เอ่ยขึ้นเช่นเดียวกันว่า “คุณชายสี่ตระกูลสวี สวีชิงป๋อก็อยู่ที่นี่แล้วพ่ย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉียิ้มเยาะ มองจ้องทั้งสองคนแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าทั้งสองก็ยอมรับผิด?”
สวีชิงป๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ประมุขอยากให้ขุนนางตาย ขุนนางมิอาจไม่ตายได้ ฝ่าบาทต้องการกวาดล้างตระกูลสวี สั่งตัดหัวคนทั้งตระกูล สวีซื่อจะมิกล้าน้อมรับได้อย่างไร เพียงแต่ไม่รู้ว่า ฝ่าบาทอยากให้พวกกระหม่อมรับผิดเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสวีชิงป๋อและสวีหงเยี่ยนทำเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ทำให้ฝูงชนรู้สึกดีกับพวกตนขึ้นอีกหลายส่วน ในขณะเดียวกัน ความไม่พอใจที่มีต่อฮ่องเต้ก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก
ม่อจิ่งฉีดูจะรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจที่ถูกส่งมาจากฝูงชน ขุนนางใหญ่และเชื้อพระวงศ์ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ในใจนึกรู้ดีว่า หากยังดื้อดึงต่อไป ไม่แน่ว่าคงต้องเกิดเรื่องขึ้นอีกเป็นแน่
เขาหลับตาลง ฝืนอดทนความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุขึ้นในใจ เอ่ยว่า “จับตัวสวีหงเยี่ยนและสวีชิงป๋อกลับไปส่งที่จวนผู้ตรวจการ หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามผู้ใดไปพบพวกเขาเด็ดขาด!” พูดจบ เขาก็มิได้สนใจปฏิกิริยาของฝูงชนอีก หมุนตัวเดินกลับเข้าวังไปทันที
ม่อจิ่งฉีที่ดูเหมือนจากไปด้วยความโกรธ แต่ในความเป็นจริง หลายวันมานี้เขาถูกทรมานมาไม่น้อย ยิ่งวันนี้ต้องมาโกรธจัดเช่นนี้อีก หากยังไม่รีบไป เกรงว่าเขาคงฝืนไว้ไม่ไหว
เสนาบดีหลิ่วที่ยืนอยู่ โบกมือสั่งให้คนจับสวีหวเยี่ยนและสวีชิงป๋อกลับจวน ถึงแม้วันนี้จะไม่สามารถจับกุมตระกูลสวีได้ แต่อย่างไรตระกูลสวีกับราชสำนักก็แตกหักกันแน่แล้ว ส่วนตระกูลหลิ่วก็คงได้กลายเป็นตระกูลชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าฉู่ในเร็ววันนี้
สวีหงเยี่ยนและสวีชิงป๋อเอ่ยขอบคุณฝูงชนที่คุกเข่าขอร้องให้พวกเขาอีกครั้ง ถึงได้ถูกจับตัวออกไป ฝูงชนที่หน้าวังต่างก็แยกย้ายกันกลับ
ม่อจิ่งหลีเมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ก็หัวเราะน้อยๆ อย่างมีเลศนัย แล้วเดินตามไทเฮากลับเข้าวังไป
องค์หญิงเจาหยางเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ที่หน้าวังค่อยๆ สงบลง จึงถอนใจยาวด้วยความจนใจ หันมององค์หญิงซีฝูเอ่ยว่า “เสด็จป้า…”
องค์หญิงซีฝูส่ายหน้า ใบหน้าที่แก่ชราดูมีความอ่อนล้าขึ้นหลายส่วน จับมือองค์หญิงเจาหยางขึ้นมาเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเลอะเลือนไปเสียแล้ว…ช่างเถิด เจาหยางไปอยู่เป็นเพื่อนคนแก่อย่างข้าสักสองวันก็แล้วกัน”
องค์หญิงเจาหยางยิ้ม “ที่ตำหนักของเจาหยางก็มิได้มีผู้ใด หากเสด็จป้าไม่รังเกียจ เจาหยางดีใจเสียอีกเพคะ”
เมื่อพยุงองค์หญิงกลับขึ้นรถม้าแล้ว รถม้าทั้งสองคันถึงได้ขับตามกันออกนอกเมืองไป
เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่นั่งดูละครอยู่บนอาคารสูงจนหนำใจ ก็หัวเราะหึหึ “คุณชายชิงเฉินฉลาดล้ำยิ่งนัก ใต้เท้าสวีจากไปเช่นนี้ ดีกว่าจากไปเฉยๆ เสียหลายเท่า”
ไม่เพียงได้ทำลายชื่อเสียงของม่อจิ่งฉี แต่ก็ไม่ทำให้ชื่อเสียงตระกูลสวีเสียหาย ยามนี้เป็นราชวงศ์ที่ผิดต่อตระกูลสวี แต่มิใช่ตระกูลสวีที่มิอาจสู้หน้าราชวงศ์ได้
สวีชิงเฉินลุกยืนขึ้น มองไปทางประตูวังที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน แล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ขอเล่นละครอีกฉากหนึ่ง ก็สามารถไปจากเมืองหลวงได้แล้ว”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉินรู้ได้อย่างไรว่าม่อจิ่งฉีจะกระทำการเช่นนั้น หากเกิดเขาไม่ลงมือเล่า หรือว่าพวกเราจะแสดงละครกันเอง?”
สวีชิงเฉินก้มหน้าลงจิบชา อมยิ้มเอ่ยว่า “ไม่จำเป็น ต่อให้ม่อจิ่งฉีไม่ลงมือ ก็มีคนช่วยเขาลงมืออย่างแน่นอน”
แน่นอนว่า เมื่อม่อจิ่งฉีกลับเข้าไปในวังย่อมระบายความโกรธออกมาอีกยกใหญ่ เขาด่าว่าสนมทั้งหลายที่ออกไปคุกเข่าขอร้องพร้อมกับฮองเฮาอย่างไม่ไว้หน้าต่อหน้าทุกคนในวัง และกำลังจะส่งพวกนางเข้าตำหนักเย็น แต่กลับได้ยินฮองเฮาก้าวออกมาเอ่ยว่า “เรื่องในวันนี้ เป็นความคิดของหม่อมฉัน หากฝ่าบาทต้องการลงอาญา ก็ลงอาญาหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
ม่อจิ่งฉีถึงกับต้องระงับความโกรธ กับฮองเฮานี้ เขาทั้งคอยขวางและไม่เคยให้ความโปรดปรานแก่นางมาก่อน แต่นางกลับเป็นภรรยาเอกที่เสด็จพ่อเป็นคนพระราชทานให้แก่เขา ก่อนหน้าที่เขายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ต้องประคับประคองกันมา ดังนั้นเขาจึงให้ความเคารพนางอย่างมากมาตลอด
เมื่อเห็นฮองเฮาเอ่ยเช่นนี้ ม่อจิ่งฉีจึงยิ้มเยาะพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าก็รู้หรือว่าเจ้าเป็นฮองเฮาของข้า เจ้าทำให้ข้าดูไม่ดีต่อหน้าชาวบ้านทั่วทั้งเมืองหลวง”
ฮองเฮาหลุบพระเนตรลง เอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ตระกูลสวีมิได้ด้อยไปกว่าตระกูลอื่น มีความเกี่ยวข้องกับแผ่นดินของต้าฉู่ หากตระกูลสวีมีใจคิดทรยศจริง ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงกระทำอันใด หม่อมฉันย่อมมิกล้ามีความเห็นเป็นอื่น แต่ฝ่าบาทเพคะ ตระกูลสวีมีความผิดจริงหรือ”
ม่อจิ่งฉีถึงกับสะอึก เมื่อเห็นสายตาที่สงบนิ่งและเป็นประกายของฮองเฮาแล้ว เขาก็ถึงกับพูดอันใดไม่ออก พักใหญ่ความอับอายถึงได้เปลี่ยนเป็นความโกรธ โบกมือเอ่ยว่า “คนอื่นๆ ไสหัวออกไปให้หมด! ส่วนฮองเฮา อยู่แต่ในตำหนักของเจ้า ไม่ต้องออกมาอีก! เรื่องในวังหลังให้หลิ่วกุ้ยเฟยเป็นคนจัดการ”
ฮองเฮาก็มิได้คัดค้านอันใด ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลา พี่น้องทั้งหลายไปกับข้าเถิด”
สนมหลายคนย่อมร้องขอให้เป็นเช่นนั้น เดิมทีที่วันนี้พวกนางออกไปร้องขอชีวิตให้ตระกูลสวี เป็นความสมัครใจของพวกนางเอง เมื่อครู่ฮองเฮายังช่วยพวกนางไว้ ในใจจึงนึกซาบซึ้งต่อฮองเฮายิ่งขึ้นไปอีก เดิมทีพวกนางอยู่ในวังก็ไม่เป็นที่โปรดปรานอยู่แล้ว ย่อมมิได้คาดหวังอันใดกับฮ่องเต้
เมื่อเห็นฮองเฮาเดินนำคนออกไปแล้ว ม่อจิ่งฉีก็สะบัดมือ จนทำให้เครื่องเคลือบโบราณบนโต๊ะแตกละเอียด ด้านนอกมีเสียงเอ่ยรายงานของขันทีว่า “ทูลฝ่าบาท หลีอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้มันไสหัวไป!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยตะคอกด้วยความโกรธ
หลิ่วกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆ มองเขาที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยสายตาเย็นเยียบ พริบตานั้นแววตานางก็เกิดประกายดูแควนวาบผ่านไป
กลางดึกสามวันให้หลังที่เกิดเรื่องขึ้นที่หน้าประตูวัง จวนผู้ตรวจการเกิดไฟไหม้ขึ้น จากนั้นก็มีเสียงฆ่าฟันดังลอยออกมา กว่าองครักษ์จากจวนหย๋าเหมินประจำเมืองหลวง และคนที่มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลสวีที่อยู่ในเมืองจะไปถึง จวนผู้ว่าการก็พังพินาศลงหมดแล้ว ผู้คนที่ฝ่าเข้าไปในจวน พบเพียงบ่าวรับใช้คนสองคนที่รอดพ้นจากอันตรายมาได้ ส่วนคนอื่นๆ ล้วนเป็นศพที่ถูกไฟคลอกจนกลายเป็นตอตะโก จนแยกไม่ออกว่าผู้ใดคือคนตระกูลสวี ผู้ใดคือนักฆ่า
แต่ในที่เกิดเหตุ มีคนเหยียบถูกแผ่นป้ายองครักษ์ของวังหลวงที่ถูกเผาจนเหลือเพียงครึ่งชิ้น ถึงแม้จะมีคนจากในวังมารับช่วงจวนผู้ตรวจการไปอย่างรวดเร็ว และขับไล่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป แต่ข่าวบางข่าวก็ถูกลอบปล่อยออกมาจากในที่ลับ จึงยิ่งทำให้บรรยากาศทั่วทั้งเมืองหลวง ตกอยู่ท่ามกลางความฉงนสงสัย
ด้านนอกเมืองหลวงห่างไปยี่สิบลี้ บนถนนเส้นเล็กๆ ที่ปลอดผู้คน เหลิ่งเฮ่าอวี่ประสานมือเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ใต้เท้าสวี คุณชายชิงเฉิน คุณชายสี่ เดินทางครั้งนี้โปรดรักษาตัวด้วย”
รถม้าหน้าตาซอมซ่อสองคันที่ไม่สะดุดตาจอดอยู่ด้านข้าง สวีชิงเฉินนั่งอยู่บนรถม้า ยิ้มบางๆ ให้เหลิ่งเฮ่าอวี่ “ครานี้ลำบากคุณชายเหลิ่งช่วยเป็นธุระให้แล้ว รักษาตัวด้วย”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้ม “การทำงานให้ท่านอ๋องถือเป็นหน้าที่ของพวกข้าน้อย เป็นธุระเมื่อใดกัน ตลอดเส้นทางที่ทุกท่านเดินทางไปนี้ จะมีองครักษ์ลับและหน่วยกิเลนคอยลอบอารักขา เรื่องความปลอดภัยคงไม่ต้องเป็นกังวล ส่วนเรื่องบ่าวไพร่ในจวนผู้ตรวจการ ข้าน้อยจะช่วยจัดการให้ดี ขอใต้เท้าสวีโปรดวางใจ”
สวีหงเยี่ยนพยักหน้า “ลำบากคุณชายเหลิ่งแล้ว ข้าขอลา ณ ที่นี้”
“ทุกท่านรักษาตัวด้วย” เหลิ่งเฮ่าอวี่อมยิ้มพร้อมพยักหน้า เปิดทางให้พวกเขา
รถม้าค่อยๆ ออกเดินทางไป บนรถม้าคันหลังมีสวีฮูหยินนั่งอยู่ แต่ข้างกายสวีฮูหยินกลับมิใช่สาวใช้คนเดิมที่เคยติดตามอยู่เป็นประจำ แต่กลับเป็นคุณหนูแห่งตระกูลฉิน ฉินเจิง
ฉินเจิงอยู่ในชุดผ้าธรรมดาๆ ทั่วไปเช่นเดียวกับสวีฮูหยิน แต่ความงามยังคงเป็นที่ตราตรึงใจ มือข้างหนึ่งของนางจับแน่นอยู่ที่ชายเสื้อของสวีฮูหยิน เห็นได้ชัดว่าการออกจากบ้านครั้งแรก ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจไม่น้อย
สวีฮูหยินตบหลังมือนางเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “เจิงเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้ว ต่อไปข้าจะต้องให้เจ๋อเอ๋อร์จัดงานแต่งงานให้เจ้าอย่างยิ่งใหญ่ให้ได้”
ใบหน้าเรียวของฉินเจิงแดงขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำว่า “ในเมื่อเจิงเอ๋อร์หมั้นหมายกับคุณชายรองแล้ว มีอันใดลำบากไม่ลำบากกันเจ้าคะ”
เมื่อสวีฮูหยินเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งเอ็นดูนางขึ้นไปอีก ยิ้มด้วยความรักใคร่แล้วเอ่ยว่า “เด็กดี หากเจ้าเด็กชิงเจ๋อนั่นกล้ารังแกเจ้า แม่จะจัดการให้เจ้าเอง!”
“ท่านป้า…”
ต้นเดือนเก้า จวนผู้ตรวจการถูกนักฆ่าบุก ทั่วทั้งจวนกลายเป็นทะเลเพลิง
หลังจากนั้นสิบวัน คุณหนูตระกูลฉิน ฉินเจิงที่หมั้นหมายกับคุณชายรองตระกูลสวีมาตั้งแต่เล็กๆ ก็ล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้น ไม่ถึงครึ่งเดือนสาวงามก็ได้ลาจากโลกนี้ไปอีกคน