ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 213-1 เจิ้นหนานอ๋องขอเจรจา
พอเยี่ยหลีถือดาบวงพระจันทร์กระโดดลงจากเวที อวิ๋นถิงก็รีบก้าวเข้ามาเอ่ยด้วยความอิจฉาว่า “พระชายา ดาบฝังอัญมณีที่ท่านชนะได้มา ให้ข้าน้อยขอยืมดูสักหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
นั่นเป็นดาบฝังอัญมณีที่มีชื่อเสียงของเป่ยหรงเชียวนะ ถึงแม้นักตีดาบของต้าฉู่มีอยู่มากก็จริง ดาบฝังอัญมณีที่มีชื่อเสียงก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ฝีมือการตีดาบกลับสู้ซีหลิงและเป่ยหรงไม่ได้ ยิ่งเป่ยหรงเดิมทีเป็นแคว้นที่เชี่ยวชาญด้านการใช้ดาบอยู่แล้ว ดาบที่ตีออกมาทั้งหมดก็เป็นดาบชั้นดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดาบวงพระจันทร์ที่มีชื่อเสียงเลย
เยี่ยหลีปรายตามองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
อวิ๋นถิงนึกถึงเรื่องที่ตนก่อไว้เมื่อครู่ รอยตื่นเต้นยินดีบนใบหน้าก็หายวับไปทันที เปลี่ยนเป็นเศร้าสลดและเกรงกลัวแทน
เมื่อมองสีหน้าเศร้าสลดของเขาจนพอใจแล้ว เยี่ยหลีถึงได้อมยิ้มพลางโยนดาบส่งให้เขา
อวิ๋นถิงรีบเอ่ยขอบคุณ หยิบขึ้นพินิจดูโดยละเอียดด้วยความชื่นชม ใช้สายตาชื่นชมแทนคำพูด
“ฝีมือการยิงธนูของพระชายาช่างเหนือชั้นประหนึ่งเทพ ข้าน้อยเลื่อมใสยิ่งแล้ว” เฉินอวิ๋นที่อยู่ข้างกายเยี่ยหลี เอ่ยขึ้นจากใจจริง
ตั้งแต่เมื่อปีก่อนที่เขาได้ประลองกับพระชายาที่ลานฝึก เฉินอวิ๋นก็รู้สึกเลื่อมใสในพระชายาที่อายุยังน้อยผู้นี้ยิ่งนัก ยิ่งเมื่อผ่านเหตุการณ์ในวันนี้มา ยิ่งทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสศรัทธาจากใจจริง
เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มันเหลือเชื่ออย่างที่เจ้าพูดเมื่อไรกัน ก็แค่ใช้ความพยายามมากกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น ในสนามรบ ไม่มีความจำเป็นต้องให้ทุกคนยิงลวดทองแดงใต้ต้นไม้ยามกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้หรอก พวกเจ้าเป็นนักรบที่ออกไปสังหารศัตรูในสนามรบ มิใช่คนที่ออกไปแสดงบนเวที”
เฉินอวิ๋นเพียงยิ้ม มิได้เอ่ยอันใด รู้ดีว่าพระชายากำลังปลอบใจตน จึงได้แต่ลอบหมายมั่นในใจว่ากลับไปเขาจะต้องขยันฝึกยิงธนูให้มากกว่านี้เสียแล้ว
เฉินอวิ๋นกับอวิ๋นถิงพักอาศัยอยู่ในค่ายทหาร จึงมิได้ไปทางเดียวกับเยี่ยหลี ก่อนแยกตัวกลับ อวิ๋นถิงถึงได้ส่งดาบคืนให้เยี่ยหลีด้วยความเสียดาย
เมื่อเห็นสายตาละห้อยของเขา เยี่ยหลีจึงยิ้มเรียบๆ ก่อนโยนดาบกลับใส่มือเขา “ชอบก็เก็บไว้เถิด”
“หา?” อวิ๋นถิงนิ่งอึ้งไปด้วยตื่นเต้นยินดีเป็นที่สุด
เฉินอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างเขา ได้แต่กรอกตาใส่เขาทีหนึ่ง หากมองเพียงสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างน่าเวทนาของอวิ๋นถิง ผู้ใดไม่รู้คงคิดว่าสิ่งที่พระชายาจะนำกลับไปมิใช่ดาบเล่มหนึ่ง แต่เป็นสตรีในดวงใจของเขา เฉินอวิ๋นรู้ดีว่า แต่ไหนแต่ไรมาพระชายาใจกว้างกับคนใกล้ชิดมาโดยตลอด จึงมิได้เอ่ยขัดสีหน้าซื่อเซ่อของเขา
จนเมื่ออวิ๋นถิงตั้งสติกลับมาได้ ถึงได้ชูดาบด้วยสองมือพลาองเอ่ยถามด้วยความมึนงงว่า “พระชายา…จริงหรือ ให้ข้าน้อยจริงหรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “ข้ามิได้มาเพื่อดาบเล่มนี้ของเขาอยู่แล้ว แค่เพียงบังเอิญมาพบเข้าเท่านั้น อีกอย่างในตำหนักก็ไม่มีคนที่ชอบใช้ดาบประเภทนี้อยู่ ในเมื่อเจ้าชอบก็เก็บไว้เถิด”
เมื่อเทียบกับดาบที่มีความโค้งงอเช่นนี้แล้ว เยี่ยหลีนึกชอบดาบตรงๆ ที่มีความบางและคมอย่างกริชและดาบปลายแหลมเสียมากกว่า อีกทั้งดาบที่มีความหรูหราของอัญมณีประดับตกแต่งอยู่เช่นนั้น ก็ไม่เหมาะที่จะพกพาติดตัวอยู่แล้ว
เมื่อได้รับคำยืนยันจากเยี่ยหลี อวิ๋นถิงก๋นิ่งอึ้งได้แต่เทินดาบขึ้นด้วยสองมือ ท่าทางของเขาประหนึ่งอยากเอาดาบงับเข้าไปในปากเพื่อดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น
เฉินอวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังอดลอบก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยไมได้ ด้วยเพราะอายที่จะเดินร่วมทางไปกับเขา
เยี่ยหลีมองเฉินอวิ๋นแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าจำได้ว่าเฉินเสี้ยวเว่ยใช้หอก แต่อย่างไรก็จำเป็นต้องมีอาวุธพกติดกายไว้ป้องกันตัวสำหรับการโจมตีระยะใกล้ ข้าเพิ่งได้ดาบหานซีมาใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ ไว้ข้าจะให้คนส่งไปให้ ลองดูว่าเข้ามือหรือไม่”
เฉินอวิ๋นยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ดาบหานซีจะไม่โก้หรูเท่าดาบวงพระจันทร์ในมืออวิ๋นถิง แต่เรื่องความคมกล้าย่อมไม่ด้อยไปกว่าดาบวงพระจันทร์ ด้วยเพราะดาบเหล่านั้นออกมาจากมือช่างตีดาบคนเดียวกัน อีกทั้ง ดาบนั้นยังนำไปใช้จริงได้ดีกว่าดาบวงพระจันทร์ที่ประดับประดาไปด้วยอัญมณีอีกด้วย ดาบวงพระจันทร์นั้น เมื่อเป่ยหรงอ๋องได้ไป ก็นำไปประดับตกแต่งเสียจนหรูหรา แต่ดาบหานซียังคงรักษาความเรียบง่ายและความคมกล้าไว้ ดังเช่นยามที่มันออกมาจากมือช่างตีดาบ
“ข้าน้อยขอบพระคุณพระชายามากพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มพลางโบกมือ “ไม่ต้องหรอก อาวุธที่ดีเมื่อได้พบกับเจ้าของที่ดี ก็ถือเป็นเรื่องดี ข้าไปก่อนล่ะ นานๆ จะมีเวลาว่างสักที พวกเจ้าค่อยๆ เดินเล่นกันไปเถิด”
“น้อมส่งพระชายา”
จุดที่คณะของเยี่ยหลีพูดคุยกันอยู่นั้น อยู่ห่างจากเวทีประลองแค่เพียงสิบกว่าก้าว ที่เยี่ยหลีโยนดาบวงพระจันทร์ประดับอัญมณีไปให้อวิ๋นถิงโดยไม่เสียดาย ย่อมอยู่ในสายตาผู้คนจำนวนไม่น้อย
ชาวบ้านทั่วไปย่อมคิดว่าพระชายาใจกว้างต่อผู้ใต้บังคับบัญชา อีกทั้งยังใจดีมีเมตตา แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้กลับอดหน้าบึ้งตึงลงไม่ได้
บนหอหนิงเซียงเก๋อ เยียหลี่ว์เหยี่ยและม่อจิ่งหลีต่างจ้องมองแผ่นหลังบางที่ค่อยๆ เดินไปท่ามกลางฝูงชนพร้อมๆ กันโดยมิได้นัดหมาย
ในแววตาของเยียหลี่ว์เหยี่ยปรากฏแววบึ้งตึงและโกรธเกรี้ยว เยี่ยหลีเปิดเผยฐานะของฮูเหยียนลี่ว์ต่อหน้าธารกำนัล หนำซ้ำหลังจากชนะได้ดาบวงพระจันทร์ประดับอัญมณีไปแล้ว กลับมอบให้พลทหารเสี้ยวเว่ยตัวเล็กๆ ไปอย่างไม่ไยดี ซึ่งนี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการดูถูกเป่ยหรงและตัวเขา เยียหลี่ว์เหยี่ย
เยียหลี่ว์เหยี่ยที่มีความทระนงตนมาโดยตลอด ต้องพบตอตะปูในมือของเยี่ยหลีอีกครั้ง จะให้เขากลืนความโกรธเกรี้ยวนี้ลงไปได้อย่างไร
เยียหลี่ว์เหยี่ยลุกยืนขึ้น คิดจะกระโดดลงจากหน้าต่างเพื่อตามแผ่นหลังที่ค่อยๆ เดินหายไปท่ามกลางฝูงคน แต่ในทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันเย็นเยียบที่พุ่งมายังตนโดยไม่ปกปิดแววสังหารเลยแม้แต่น้อย เมื่อมองตามสายตานั้นไปยังหน้าต่างฝั่งตรงข้ามที่เปิดกว้างอยู่ ก็เห็นว่ามีบุรุษผมขาวประหนึ่งหิมะกำลังใช้สายตาเย็นเยียบจ้องมองมาที่เขา เยียหลี่ว์เหยี่ยถึงกับสะดุ้งในใจ พยายามอย่างยิ่งที่จะกดความเย็นวาบในใจก่อนค่อยๆ กลับนั่งลง
ม่อซิวเหยาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเมื่อเห็นเขากลับนั่งลง มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ พร้อมชูจอกสุราในมือไปทางเขา
เยียหลี่ว์เหยี่ยส่งเสียงหึเย็นๆ ยกจอกสุราของตนขึ้นกระดกจนหมดทันที
“ไม่เสียแรงที่ชายาติ้งอ๋องเป็นสตรีประหลาดแห่งยุคที่ไม่มีผู้ใดเหมือน ข้าเลื่อมใสนัก” ภายในห้องที่เงียบสงบ รัชทายาทเป่ยหรงอ๋อง เยียหลี่ว์หงมองม่อซิวเหยาพลางเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
เมื่อครู่ทุกคนต่างมัวแต่สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีประลอง จึงไม่มีผู้ใดทันเห็นว่ารัชทายาทเป่ยหรงกับท่านติ้งอ๋องก็มองเหตุการณ์นั้นอยู่บนขึ้นสองของภัตตาคารริมถนนเช่นกัน
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ แต่บนใบหน้าที่เย็นเยียบกลับมีความอบอุ่นขึ้นหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าคำชื่นชมของเยียหลี่ว์หงทำให้เขาพอใจเป็นอย่างยิ่ง
องค์หญิงหรงหวานั่งอยู่ข้างกายเยียหลี่ว์หง ความงดงามตราตรึงใจและความหยิ่งทระนงของการเป็นท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงที่นางเคยมีเมื่อยามอยู่ในเมืองหลวงของต้าฉู่ เมื่อไปอยู่ยังต่างแคว้นกลับมีความอ่อนหวานและอ่อนโยนอย่างสตรีเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
องค์หญิงหรงหวานั่งเอนพิงกายอยู่กับเยียหลี่ว์หงอย่างอ่อนหวาน คอยรินสุราให้เขาเป็นระยะๆ ในแววตาคู่งามที่เคยมีแววคมกล้าน้อยๆ กลับดูหลากหลายและขมขื่นเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
แค่เพียงสองปีก่อนหน้านี้ นางไม่เคยเห็นชายาติ้งอ๋องอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นแค่ชั่วเวลาเพียงสองปี นางกับชายาติ้งอ๋องกลับห่างกันเสียจนแม้แต่นางจะพูดคุยแบบเท่าเทียบกันนางยังรู้สึกกระดาก แล้วยิ่งเมื่อครู่ได้เห็นท่าทางสุขุมสบายๆ ของชายาติ้งอ๋องยามอยู่บนเวทีประลองกับฝีมือการยิงธนูที่แม้แต่นักแม่นธนูที่ดีที่สุดของเป่ยหรงก็ยากที่จะเทียบได้แล้ว องค์หญิงหรงหวาก็รู้ดีว่า ในชาตินี้ชายาติ้งอ๋องเป็นบุคคลที่ตนไม่อาจเทียบได้ไปตลอดชีวิต
ประตูห้องถูกผลักเข้ามาจากด้านนอก เยี่ยหลีอมยิ้มยืนอยู่หน้าประตู เอ่ยว่า “รัชทายาทเยียหลี่ว์ ข้ามารบกวนแล้ว?”
เยียหลี่ว์หงอึ้งไป ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างรวดเร็ว “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ที่พระชายามา ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง รีบเข้ามาเถิด”
เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในห้อง เดินไปข้างกายม่อซิวเหยา
ม่อซิวเหยายื่นมือไปประคองนางให้นั่งลง เอ่ยเสียงอ่อนว่า “หาสักคนไปเล่นเป็นเพื่อนเขาก็พอ อาหลีจะออกแรงเองไปเพื่ออันใด”
เยี่ยหลียิ้ม “ข้าก็แค่อยากเห็นว่านักแม่นธนูอันดับหนึ่งของเป่ยหรงเก่งกาจเพียงใดก็เท่านั้น”
เยียหลี่ว์หงยกจอกขึ้นพลางส่งยิ้มไปให้ “ให้พระชายาเห็นขันแล้ว ข้าขอคารวะพระชายาหนึ่งจอก ฮูเหยียนลี่ว์ผู้นั้น ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักแม่ธนูอันดับหนึ่งแห่งเป่ยหรง แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ฮูเหยียนลี่ว์ในยามนี้…”
เยียหลี่ว์หงยิ้มพร้อมส่ายหน้า “พวกเราอย่าไปเอ่ยถึงคนที่ทำให้เสียอารมณ์พรรค์นั้นเลย มา พระชายา ท่านอ๋อง เชิญ”
เยี่ยหลียกจอกเหล้าขึ้นพร้อมยิ้มเรียบๆ “รัชทายาทเชิญ ชายารัชทายาทเชิญ”
ก่อนหน้าวันงานเลี้ยงครบเดือนของติ้งอ๋องซื่อจื่อสักสองสามวัน ทั่วทั้งเมืองหรู่หยางเต็มไปด้วยเสียงเพลงและการร่ายรำ แต่เบื้องหลังการร้องเล่นเต้นระบำนั้น มีการนัดหมายและทำข้อตกลงบางอย่างเกิดขึ้น
เช่นว่า การเจรจากับหนานจ้าวและการซื้อตัวยาจำนวนมากจากหนานจ้าวในแต่ละปี และเช่นว่าการลอบซื้อเสบียงอาหารจำนวนมากจากคลังเสบียงต้าฉู่บางแห่ง หรือการตกลงกันอย่างลับๆ กับรัชทายาทเป่ยหรงเรื่องการสงบศึกที่ชายแดนเป็นการชั่วคราว เป็นต้น ซึ่งล้วนดำเนินไปโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ดังนั้นเมื่อเทียบกับความบันเทิงเริงรมณ์ของผู้คนที่ด้านนอกแล้ว คนในตำหนักติ้งอ๋องกลับยุ่งเหยิงยิ่งกว่าปกติอีกหลายส่วน