ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 218-2 ความเคียดแค้นของบัณฑิตขี้โรค
“ท่านหัวหน้าหน่วยสาม ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีหรือไม่” เยี่ยหลีเดินนำคนเข้ามาในโถงรับแขก อมยิ้มมองชายหนุ่มใบหน้าซีดเหลืองที่นั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ภายในโถงรับแขก
บัณฑิตขี้โรคเมื่อได้ยินเสียงก็หันไปมอง เขาหรี่ตาลงจ้อมเขม็งไปยังสตรีในชุดสีฟ้าที่อยู่ในท่าทีสงบนิ่ง นัยน์ตาปรากฏแววมาดร้าย “แค่กๆ…ชายาติ้งอ๋อง? ไม่ได้พบกันเสียนานจริงๆ อย่างไร? ม่อซิวเหยายังไม่ตายหรือ?”
เยี่ยหลีมิได้โกรธ ระบายยิ้มพลางเอ่ยว่า “ลำบากเจ้าสำนักสามคิดถึงแล้ว ท่านอ๋องสบายดี เพียงแต่เหตุใดเจ้าสำนักถึงต้องลำบากเดินทางจากซีหลิงมาที่เมืองหลีด้วยเล่า”
บัณฑิตขี้โรคจ้องสายตาเยียบเย็นไปทางนาง “ดอกปี้ลั่วอยู่กับเจ้า?” เดิมทีด้วยเพราะที่อยู่ของดอกปี้ลั่ว คนของเขากับคนที่เยี่ยหลีส่งไป ต้องปะทะกันอยู่หลายครา ไม่คิดว่าท้ายที่สุดแล้ว ของสิ่งนั้นจะตกไปอยู่ในมือเยี่ยหลีก่อนเสียได้
เยี่ยหลีหลุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ม่อจิ่งฉีหรือว่าถานจี้จือเป็นคนบอกท่านกัน”
บัณฑิตขี้โรคเลิกคิ้วขึ้น
เยี่ยหลีเอ่ยถาม ยิ้มเรียบๆ ว่า “ระหว่างทางที่เฟิ่งซานเดินทางกลับจากเมืองหลวง เขาบอกข้าว่า ระหว่างทางมีกลุ่มคนที่คิดว่าน่าจะเป็นคนของสำนักเยี่ยนอ๋องตามฆ่า ข้าจึงเดาว่าน่าจะได้พบกับเจ้าสำนักสามในไม่ช้านี้ เพียงแต่…”
เมื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แววตานิ่งขรึมของเยี่ยหลีก็มีประกายเย็นวาบ “ที่เจ้าสำนักสามกล้าเสี่ยงเข้ามาที่เมืองหลีของข้า ด้วยเพราะไม่เห็นข้าและตำหนักติ้งอ๋องอยู่ในสายตา หรือท่านคิดว่าข้าจะเห็นแก่หน้าเจ้าสำนักหลิงจนไม่กล้าทำอันใดท่าน”
เมื่อเอ่ยถึงหลิงเถี่ยหาน สีหน้าบัณฑิตขี้โรคก็ดูย่ำแย่ขึ้นทันที ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยว่า “คนอย่างข้าจำเป็นต้องให้ท่านเห็นแก่หน้าพี่ใหญ่หรือ! ที่ชายาติ้งอ๋องเชิญข้ามานี่มิใช่เพราะมีเรื่องอยากขอร้องข้าหรอกหรือ ได้ยินว่าหมอเทวดาเสิ่นหยาง พักอาศัยอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องมาหลายปี เป็นอย่างไรบ้าง สูตรยาดอกปี้ลั่วเขาศึกษาออกมาได้หรือยัง”
มุมปากเยี่ยหลียกขึ้นเป็นรายยิ้มเพียงบางเบา พยักหน้าเอ่ยยอมรับว่า “เจ้าสำนักสามเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว ที่ข้าเชิญเจ้าสำนักสามมา ก็เพื่อสูตรยาดอกปี้ลั่วจริงๆ”
ใบหน้านิ่งขรึมของบัณฑิตขี้โรคปรากฏรอยยิ้มมาดร้าย “ท่านเลิกคิดเถิด คิดอยากให้ข้าช่วยม่อซิวเหยา เจ้าอย่าฝันไปเลย ไว้รอข้าฝึกทำยาปี้ลั่วลงนรกให้ได้ก่อนเถิด ถึงยามนั้นข้าจะเชิญให้ม่อซิวเหยามาลิ้มลอง!”
เยี่ยหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองเขาด้วยความสงบนิ่ง แม้แต่เปลือกตาก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
บัณฑิตขี้โรคมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “สตรีเช่นเจ้านี่ช่างประหลาดนัก เจ้าเป็นสตรีของม่อซิวเหยาจริงๆ น่ะหรือ”
คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย มองเขาด้วยความงุนงง
บัณฑิตขี้โรคมองสำรวจเยี่ยหลีอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “หากไม่มีสูตรยาโบราณของดอกปี้ลั่ว ม่อซิวเหยาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าไม่เป็นกังวลเลยแม้สักนิดหรือ ได้ยินข้าเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่โกรธหรือ อ้อ…ข้าคิดออกแล้ว เดิมทีตอนอยู่ที่หนานเจียงเจ้าก็เคยได้ยินข้าเอ่ยเช่นนี้มาแล้ว ในครานั้นก็ไม่มีความโกรธเผยออกมาให้เห็นแม้สักนิดเช่นกัน แต่เกรงว่าม่อซิวเหยาคงจะเก็บกดความโกรธได้ไม่ดีเช่นท่าน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจเยี่ยหลีก็ได้แต่ยิ้มขื่นๆ นางกดความโกรธไว้ได้ที่ไหนกัน นางเพียงแสร้งทำเป็นว่ากดความโกรธไว้ได้ต่างหาก อันที่จริงยามนี้นางคิดอยากจัดการคนตรงหน้าให้เข็ดหลาบสักทีหนึ่ง น่าเสียดายที่นางทำไม่ได้!
บัณฑิตขี้โรคกวาดตามองสำรวจเยี่ยหลีขึ้นลงอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยกลั้วหัวเราะออกมาว่า “เช่นนี้ก็แล้วกัน หากเจ้าคิดอยากช่วยม่อซิวเหยาจริง ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ต่อไปท่านไปกับข้าก็แล้วกัน หากท่านไปกับข้า ข้าก็จะเปิดใจให้กว้างสักหน่อย ยอมไว้ชีวิตต่ำๆ ของม่อซิวเหยา”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถามเรียบๆ ว่า “ไปกับท่าน? เจ้าสำนักสามสาม ท่านอยากให้ข้าไปกับท่านเพื่ออันใดกัน”
บัณฑิตขี้โรคมองนางด้วยความรังเกียจ พ่นเสียงหัวเราะออกทางจมูก “เจ้าคงมิได้คิดว่าข้าชอบพอเจ้าหรอกกระมัง ด้วยฐานะอย่างเจ้า เป็นสาวใช้ยกน้ำชาเทน้ำก็ถือว่าไม่เลวนัก ว่าอย่างไร”
ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีหน้าเปลี่ยนสีไปนานแล้ว เขาก้าวออกมาคิดอยากเข้าไปจัดการเขา
เยี่ยหลียกมือขึ้นห้าม มองบัณฑิตขี้โรคด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าสำนักสาม ข้าคนนี้มีนิสัยที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หากข้าไม่พอใจเสียแล้ว ก็จะต้องทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจยิ่งกว่าข้า ดังนั้น…หากสามีของข้าเสียชีวิตลง…”
บัณฑิตขี้โรคเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยความดูแคลน “พระชายาคงมิได้คิดจะบอกว่าจะฆ่าภรรยาข้าหรอกกระมัง ขอโทษด้วยจริงๆ ข้ายังมิได้แต่งงาน”
เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ เอ่ยขัดเขาต่อว่า “ข้าก็จะให้คนในครอบครัวอีกฝ่ายทั้งหมดตายเสีย อย่าว่าแต่ญาติพี่น้องของท่านเลย แม้แต่คนที่ท่านรู้จัก ข้าก็สามารถสังหารให้ราบคาบได้”
“ปากดีนักนะ!” หางตาบัณฑิตขี้โรคกระตุกน้อยๆ เอ่ยเสียงเย็นขึ้น ผู้หญิงคนนี้คิดว่าสำนักเยี่ยนอ๋องที่ได้ชื่อว่าเป็นสำนักนักฆ่าอันดับหนึ่งของใต้หล้า ที่แม้แต่เชื้อพระวงศ์ซีหลิงยังไม่เห็นอยู่ในสายตา เป็นคนที่นางบอกจะจัดการก็จะจัดการได้อย่างนั้นหรือ หรือนางคิดว่าเจ้าสำนักสามของสำนักเยี่ยนอ๋องเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ที่แค่เพียงเอ่ยคมขู่ไม่กี่ประโยคก็สามารถเป็นไปตามที่นางต้องการได้แล้ว?
เยี่ยหลีระบายยิ้มเอ่ยว่า “ต่อให้เจ้าสำนักสามสงสัยในความสามารถของข้า อย่างไรก็คงไม่นึกสงสัยในความสามารถของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและหน่วยกิเลนหรอกกระมัง หรือว่าที่เจ้าสำนักสามตัดสินใจจะเป็นอริกับตำหนักติ้งอ๋องมาตั้งหลายปีเช่นนี้ กลับไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของศัตรูโดยละเอียดอย่างนั้นหรือ ข้าเพียงไม่เข้าใจว่า เจ้าสำนักสามมีความแค้นฝังลึกอันใดกับท่านอ๋องของข้า ท่านถึงได้ฝังใจเช่นนี้ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง หากไม่มีดอกปี้ลั่ว ด้วยสุขภาพท่านในยามนี้ที่ไม่รู้จะลาโลกไปเมื่อใด ท่านจะแก้แค้นได้อย่างไร ข้าลองดูสีหน้าและสุขภาพของเจ้าสำนักสามในยามนี้ ก็ดูเหมือนท่านจะสุขภาพย่ำแย่ลงกว่าเมื่อยามที่อยู่หนานเจียงอีกมากใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่าถึงยามนั้น จะเป็นท่านอ๋องของข้าที่พิษในกายออกฤทธิ์ก่อน หรือเป็นเจ้าสำนักสามที่ป่วยจนสิ้นใจไปก่อนกันแน่”
บัณฑิตขี้โรคหน้าตาบิดเบี้ยวจ้องเขม็งไปที่เยี่ยหลีด้วยความไม่พอใจ เขามีชะตาที่ตกระกำลำบากมาตั้งแต่เล็กๆ จนทำให้มีนิสัยประหลาดที่จะต้องแก้แค้นให้จงได้ หากจะถามว่าเขากับม่อซิวเหยามีความแค้นฝังลึกอันใดต่อกัน ก็ถือว่าไม่มีจริงๆ แต่หากว่าในโลกนี้ คนที่ต้องการหมายเอาชีวิตม่อซิวเหยามากที่สุด เขากลับติดหนึ่งในสาม
ซึ่งนั่นด้วยเพราะในยามนั้น ฝ่ามือของม่อซิวเหยาทำให้เขาสูญเสียวิทยายุทธไปกว่าครึ่ง ทำลายชีพจรหัวใจ และบาดเจ็บภายในอย่างหนัก และตั้งแต่นั้นวิทยายุทธของเขาก็ไม่ไปไหนอีกเลย สุขภาพร่างกายก็กลายมาเป็นเจ็บออดๆ แอดๆ เช่นในปัจจุบัน แต่หากว่ากันไปที่ต้นตอความแค้นแล้ว นั่นก็เพราะสำนักเยี่ยนอ๋องเป็นฝ่ายมาลอบสังหารม่อซิวเหยาก่อน ถึงทำให้เกิดผลเช่นนี้ จากนั้นบัณฑิตขี้โรคก็โกรธแค้นม่อซิวเหยามาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นความแค้นที่ฝังเข้าไปถึงกระดูกดำ หากไม่ตายก็จะไม่ลดละ ซึ่งนั่นก็เปรียบประหนึ่งความรักที่หานหมิงเย่ว์มีต่อซูจุ้ยเตี๋ยที่มิอาจหาเหตุผลได้
ครู่ใหญ่ จู่ๆ บัณฑิตขี้โรคก็หัวเราะหึหึขึ้นมา พักใหญ่ถึงได้หยุดเสียงหัวเราะลง เชิดคางขึ้นเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “ชายาติ้งอ๋อง ไม่ว่าท่านจะพูดอันใดก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ข้าตายก็จะต้องลากม่อซิวเหยาให้ตายตกไปตามๆ กันด้วยให้จงได้ ส่วนเรื่องสูตรยาโบราณของดอกปี้ลั่ว พวกท่านก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย ในใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดสามารถคิดค้นได้หรอก หากถึงเวลานั้นทำให้ยาถอนพิษที่จะช่วยชีวิตกลายเป็นยาพิษที่เอาชีวิตเขาเข้าแล้วล่ะก็ อย่ามาโทษว่าข้าไม่เคยเตือนท่านก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ หัวเราะออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าสำนักสามก็พักอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องเป็นการชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน ท่านจะลองดูก็ได้ว่าท่านอ๋องจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า หรือท่านจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า ต่อให้ไม่มียาถอนพิษ ขอเพียงท่านอ๋องยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ยังสามารถยืนเรียกลมเรียกฝนอยู่บนที่สูงได้ ส่วนท่าน…ในหนึ่งปีมีครึ่งปีที่ต้องนอนซมอยู่บนเตียง ต่อให้สามารถหลอกขายยาพิษที่ไม่มีประโยชน์พวกนั้นได้อยู่ แต่ก็เป็นเพียงการหลบอยู่ใต้ก้นเจ้าสำหนักหลิง เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ที่ทำอันใดไม่ได้ก็เท่านั้น”
น้ำเสียงของเยี่ยหลีอ่อนหวานและราบเรียบ แม้แต่สีหน้ายังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและสุภาพ แต่กระนั้นสิ่งที่พูดออกมาจากปากนาง กลับเป็นประหนึ่งดาบแหลมคมที่ทิ่มแทงเข้ากลางหัวใจของบัณฑิตขี้โรคอย่างไม่ลังเล
ดวงตาบัณฑิตขี้โรคเบิกโพลง สายตาที่จ้องเขม็งไปทางเยี่ยหลีมีความตื่นกลัวที่พูดไม่ออกซ่อนอยู่ เขาถลึงตัวลุกขึ้นพุ่งเข้าใส่เยี่ยหลี “สารเลว! เจ้าพูดจาไร้สาระ!”
แต่เขาไม่มีโอกาสได้แม้แต่จะต้องตัวเยี่ยหลี ลมจากฝ่ามือหอบหนึ่งพุ่งกระแทกเข้าใส่เขาอย่างจัง จนกระเด็นไปตกลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่
เขายังไม่ทันตั้งตัวได้ ก็มีน้ำเสียงเย็นเยียบที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารดังขึ้นที่หน้าประตู “บัณฑิตขี้โรค? ข้าว่าเจ้ามิได้อยากเป็นบัณฑิตขี้โรค แต่อยากเป็นบัณฑิตมรณะมากกว่าสินะ!”
บุรุษร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู อยู่ในชุดผ้าไหมสีม่วงกุ้นชายลายเมฆ ผมขาวประหนึ่งหิมะปรกลงมาตามสบาย รังสีและความสง่างามเหนือคนทุกผู้ที่แผ่ออกมาโดยไม่ตั้งใจนั้น จะเป็นผู้ใดไปได้ หากมิใช่ม่อซิวหยา